ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 384 เมล็ดพันธุ์ฉันก็ดีกว่านาย !
สีหน้าของสือมูเฉินก็ได้เปลี่ยนไปในทันที : “ สือจิ่น ? ! เธอ……”
“ พี่เฉิน ฉันกลับมาหนิงเฉินแล้ว ” ซูสือจิ่นระงับการเต้นของหัวใจพร้อมกับพูดว่า : “ ขอโทษนะคะ ที่ก่อนหน้านี้ไปแล้วไม่ได้บอกก่อน แล้วก็ทำให้พวกพี่ต้องเป็นห่วง ”
สือมูเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็หยุดชะงักไปสองวิ : “ อยู่ไหน ?”
“ วันนี้เพิ่งจะถึงบ้านค่ะ ” ซูสือจิ่นถือโทรศัพท์เอาไว้ด้วยความมือสั่นและหัวใจก็เต้นด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก : “ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของฉัน และมันก็พอดีกับที่อยากจะเจอหวันหว่านและพี่เฉินมากๆ พวกเรานัดสังสรรค์กันหน่อยไหม !”
สือมูเฉินหรี่ตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักเล็กน้อย : “ นัดสังสรรค์อาจจะไม่ได้มีแค่ฉัน เสี่ยวถางและหวันหว่านที่ไปงานนะ สือจิ่น เธอคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วใช่ไหม ?”
ซูสือจิ่นรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ก็เลยตอนกลับไปว่า : “ ค่ะ พี่เฉิน พี่จัดการได้เลย ”
“ หวันหว่านยังเด็กมาก ถ้าเกิดว่าไปข้างนอกก็ต้องพกขวดนมกับผ้าอ้อม มันค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ” สือมูเฉินก็ได้ตัดสินใจพูดว่า : “ ห้าโมงเย็น พรุ่งนี้ทุกคนก็มาที่บ้านฉันละกัน ! ฉันจะบอกสีเกอกับชิงเจ๋อเอง ”
เมื่อซูสือจิ่นได้ยินชื่อของหยานชิงเจ๋อแล้วด้วยสัญชาตญาณก็เลยกัดไปที่ริมฝีปาก จากนั้นถึงจะพูดตอบกลับไปว่า : “ โอเคค่ะ ”
พอวางสายไป เธอก็นั่งอยู่ด้านหน้าเตียง ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองนั้นจู่ๆก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
ในเวลานี้ สือมูเฉินก็ได้บอกเรื่องที่ซูสือจิ่นกลับมาให้หลานเสี่ยวถางฟัง จากนั้นก็โทรไปหาหยานชิงเจ๋อ
*
ในช่วงเวลานี้ของหยานชิงเจ๋อก็มักจะวิ่งสองทางอยู่ตลอด
มีอยู่หลายครั้งที่เขาจะต้องเอางานขึ้นไปบนเครื่องทำมันให้เสร็จ และดูเหมือนว่าเขาจะบินตลอดเวลา ดังนั้นมันทำให้เขาแทบจะไม่ต้องปรับความแตกต่างของเวลาเลย
ในขณะเดียวกันก็แทบจะลืมไปเลยว่าวันเป็นวันอะไร
เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากสือมูเฉิน เขาก็เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงล็อบบี้ตรวจเช็คปลอดภัยของสนามบิน เขาลากกระเป๋าสัมภาระที่จะไปต่างประเทศ ส่วนมืออีกข้างก็เลื่อนรับสาย : “ พี่เฉิน ผมกำลังอยู่สนามบินครับ ”
: สือมูเฉินไม่ได้พูดอะไรอ้อมค้อมและพูดไปเลยตรงๆว่า : “ สือจิ่นกลับมาแล้ว”
หยานชิงเจ๋อก็หยุดฝีเท้าในการเดินทันที หยุดชะงักไปหลายวินาทีก่อนจะพูดพึมพำว่า : “ กลับมาที่ไหน ?”
“ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดเธอ ก็เลยชวนทุกคนไปสังสรรค์ เป็นเพราะว่าถ้าไปข้างนอกหวันหว่านจะไม่ค่อยสะดวก ฉะนั้นแล้วพวกเราก็เลยนัดกันที่บ้านของฉัน ” สือมูเฉินก็พูดว่า : “ ห้าโมงเย็น มาเจอกันที่บ้านฉัน ”
พอหยานชิงเจ๋อได้ยินเขาพูดประโยคยาวๆจบ ก็ดูเหมือนว่าจะใช้เวลาไปหลายวินาทีกว่าจะเข้าใจในเนื้อหานั้น
เขากำโทรศัพท์เอาไว้และพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า : “ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องไปหาเธอ……”
เดิมที เขาซื้อตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะไปขึ้นเครื่อง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้…….
หยานชิงเจ๋อหันหลังและค่อยๆเดินกลับช้าๆ
แต่ทว่า ยิ่งเดิน เสียงในใจมันก็ยิ่งดังชัดเจนมากขึ้น :
เธอกลับมาแล้ว ! เสี่ยวจิ่นของเขากลับมาแล้ว !
มุมริมฝีปากของเขาก็ค่อยๆยกขึ้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าในการเดิน เมื่อไปถึงด้านหลัง ก็เริ่มวิ่งเหยาะๆขึ้นมา
คนที่อยู่บริเวณรอบๆต่างก็มองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งหยานชิงเจ๋อออกมาจากจุดตรวจเช็คความปลอดภัย จากนั้นก็วิ่งตลอดทั้งทางมายังประตูทางเข้าสนามบิน
เมื่อเห็นรถวิ่งผ่านไปยังที่จอดรถ และเขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าต้องโทรหาผู้ช่วยของเขาให้ขับรถกลับมา
ในเวลานี้ โคมแสงสีงดงามที่ปรากฏขึ้นนั้น หยานชิงเจ๋อรู้สึกเพียงว่า ไฟตามท้องถนนในวันนี้มันช่างดูอบอุ่นและโรแมนติกกว่าปกติมาก
คืนนี้เขาก็อยากจะไปหาซูสือจิ่นที่บ้านเลย แต่เกรงว่ามันจะกลับกลายเป็นเป็นเรื่องร้าย ก็เลยให้ผู้ช่วยนั้นขับผ่านประตูหน้าบ้านของเธอ
เขามองจากไกลๆก็เห็นว่าห้องบนชั้นสองนั้นยังมีไฟสว่างอยู่ มันทำให้นึกถึงเรื่องมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา อันที่จริงถ้าตอนที่เขาส่งเธอกลับบ้าน ก็จะเห็นไฟที่สว่างก่อนถึงจะกลับไป
แต่ในตอนนั้นตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะพลาดช่วงเวลาดีๆหลายปีที่ผ่านมา
หยานชิงเจ๋อมองไปสักพัก จากนั้นผู้ช่วยก็เตือนและถามเขาว่าจะลงไปหรือไม่
เขาส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า : “ ไม่ละ พวกเราไปกันเถอะ ”
รอราวๆประมานไม่ถึงสิบชั่วโมง ขนาดหนึ่งปีเขาก็ยังรอมาแล้วเลย แค่สิบชั่วโมงสุดท้ายนี้จะพลาดไปได้อย่างไร
ในตอนกลางคืนนั้น ทั้งๆที่หยานชิงเจ๋อนั้นง่วงมากแต่กลับพบว่าตัวเองนอนไม่หลับเลย
ในรุ่งเช้าของวันที่สอง เขาก็ได้เดินเข้าไปในห้องน้ำ ก็เห็นว่ารอบๆดวงตานั้นก็เป็นสีดำ
ในชีวิตที่ผ่าน นานมากจริงๆแล้วที่เขาไม่ได้นอนหลับฝันดีเลย
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าจะรอยคล้ำรอบดวงตา แต่เป็นเพราะว่าต้องไปเจอซูสือจิ่น หยานชิงเจ๋อก็เลยส่องกระจกดูดีๆ และตอนนี้ก็เลยเห็นถึงความแตกต่าง
ใบหน้าของเขาไม่มีตรงไหนที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะช่วงนี้นั่งเครื่องบินบ่อยๆก็เลยดูเหมือนว่าผิวจะหยาบกร้าน และบางจุดก็ยังมีผิวแตกแห้ง
เป็นเพราะสีผิวค่อนข้างจะขาว ดังนั้นแล้วรอยคล้ำตรงใต้ตาจึงมองเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ
หยานชิงเจ๋อยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
พอหลังๆตัวเองก็รู้สึกรังเกียจตัวเองเล็กน้อย
ระยะเวลาในการเจอกันในตอนเย็นยังเหลืออีกสิบชั่วโมง หยานชิงเจ๋อก็เลยเปิดโทรศัพท์และค้นหาวิธีกำจัดรอยคล้ำใต้ตา
เขาทำตามที่บนอินเทอร์เน็ตบอกว่าให้ใช้ไข่ที่ต้มสุกแล้วมากลิ้ง แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์กลับปกติ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้สภาพผิวนั้นดีขึ้นเลย
ถึงกับหมดหนทาง หยานชิงเจ๋อก็เลยขับรถไปห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ
ณ แผนกเครื่องสำอาง คุณผู้หญิงที่แนะนำการซื้อเมื่อเห็นเขาก็เลยยิ้มหวานพร้อมกับพูดว่า : “ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายอยากได้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนคะ ? หรือว่ากำลังเลือกให้แฟนอยู่คะ ให้ทางเราช่วยแนะนำไหมคะ ”
“ ผมใช้เองครับ ” ในขณะที่หยานชิงเจ๋อพูดนั้นตัวเองก็รู้สึกว่าตรงกกหูนั้นได้แดงขึ้นมาก นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาไปซื้อ
สกินแคร์ดูแลผิว : “ กำจัดรอยคล้ำใต้ตา แล้วก็อยากเพิ่มความชุ่มชื้น ผมอยากใช้ที่มันฉุกเฉิน ”
คุณผู้หญิงที่แนะนำการซื้อนั้นเป็นมืออาชีพมากเธอไม่ได้หัวเราะเขา และยังพูดอีกว่า : “ คุณผู้ชายคะ ผลิตภัณฑ์ของทางเราล้วนเป็นสารสกัดจากพืช สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง สภาพผิวของคุณถือว่าดีเลย แต่แค่กำลังประสบปัญหาผิวขาดน้ำ ถ้าอย่างนั้นทางเราขอแนะนำให้คุณใช้มาส์กหน้าตัวนี้เลยค่ะ ”
ในขณะที่พูดนั้นก็ได้ยื่นมาส์กหน้ามาหนึ่งกล่อง แล้วก็ยังยื่นครีมบำรุงรอบดวงตาอีกหนึ่งกระปุก : “ ครีมบำรุงรอบดวงตานี้จะช่วยขจัดความหมองคล้ำได้ แต่ถึงอย่างไร เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมันจึงไม่สามารถที่จะเห็นผลได้ในทันที จำเป็นต้องใช้เป็นระยะเวลานาน ยิ่งไปกว่านั้นทางที่ดีที่สุดคือคุณต้องนอนดึกให้น้อยลงนะคะ ”
หยานชิงเจ๋อพยักหน้า จากนั้นก็ซื้อของมาหลายอย่าง พอกลับบ้านไปก็เปิดดูคู่มือการใช้ และก็ได้เริ่มใช้ตามที่คู่มือที่บอก
นี่เป็นครั้งแรกของเขาเลยที่ลงสกินแคร์อย่างจริงจัง หลังจากที่ทำไปแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าในตอนเช้า พอเขาไปส่องกระจกดู ผลลัพธ์ที่ออกมาบนใบหน้าก็ดีไม่ใช่น้อยเลย
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ เขาก็ได้มาส์กหน้าอีกครั้งและงีบหลับไปสักพัก
จนถึงบ่ายสาม และดูเหมือนจะเป็นว่ามีเรื่องในใจ มันก็เลยทำให้ตื่นขึ้นเอง จากนั้นก็ไปล้างหน้าหน้าอีกรอบและไปห้องนอนเพื่อลองชุด
ลองไปได้รอบหนึ่ง ในที่สุดก็เลือกเสื้อผ้าที่ค่อนข้างจะเหมาะกับการอยู่บ้านและมีความเป็นเฉพาะตัว พอใส่เสื้อผ้าเสร็จ ก็ขับรถไปยังบ้านของสือมูเฉิน
ในระหว่างทางนั้นสถานการณ์บนท้องถนนก็ดีมาก ทำให้สี่โมงครึ่งหยานชิงเจ๋อก็ไปถึงแล้ว
ในตอนที่เดินออกมาที่จอดรถ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ จนไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้
เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น หลานเสี่ยวถางก็ไปเปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้มและพูดว่า : “ ชิงเจ๋อ มาแล้วหรอ พวกเขายังมาไม่ถึงกันเลย ”
หยานชิงเจ๋อยื่นของขวัญที่ให้หวันหว่าน : “ หวันหว่านตื่นหรือยังครับ ?”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า : “ อื้ม เพิ่งตื่นเมื่อกี้เอง กำลังเล่นกับมูเฉินอยู่ ”
ในขณะที่พูดนั้นเธอก็ชี้ไปยังห้องของเด็กทารก : “ นายลองไปดู ช่วงนี้แกติดมูเฉิน และดูเหมือนว่าจะให้ชอบให้มูเฉินเล่นเกมส์จุ๊บๆกับแก ”
หยานชิงเจ๋อพยักหน้าและเดินเข้าไปยังห้องของเด็กทารก
พอเดินถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของสือสูเฉิน
พอเขาเงยหน้ามองก็กำลังเห็นสือมูเฉินกำลังก้มตัวลงไปแกว่งกระดิ่งที่อยู่ตรงหน้าของหวันหว่าน
หวันหว่านยื่นแขนออกมาแตะแป๊บเดียว จากนั้นก็แบะปากและหัวเราะ
ในห้องนั้น มีแสงแดดสาดส่องเข้ามา มันทำให้เห็นภาพอันแสนอบอุ่นมาก
จู่ๆหยานชิงเจ๋อก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา ถ้าเกิดว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้บังคับให้ซูสือจิ่นกินยาคุมกำเนิด มันเป็นไปได้ไหมว่าเขาก็อาจจะมีลูกสาวที่น่ารักและสวยแบบนี้ ?
เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นหายใจลำบากขึ้นเล็กน้อย และก้นบึ้งหัวใจที่เจ็บปวดและรู้สึกเสียใจในภายหลัง
ในตอนนั้น ทำไมเขาถึงได้เลวระยำแบบนั้น ?
สือมูเฉินสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหว ก็เลยลุกขึ้นและทักทายหยานชิงเจ๋อ : “ ชิงเจ๋อ จะอุ้มหน่อยไหม ?”
หยานชิงเจ๋อจัดเก็บความรู้สึกและอารมณ์ จากนั้นก็พยักหน้า : “ ครับ ”
เขาเดินเข้าไปแล้วก็อุ้มหวันหว่านขึ้นมา หญิงสาวตัวน้อยมองด้วยความประหลาดใจ และพอมองดูเขาไปสักพัก ทันใดนั้นจู่ๆก็แบะปากพร้อมกับหัวเราะให้เขา
ในขณะนี้ หยานชิงเจ๋อก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองนั้นเต้นผิดจังหวะ
เขาก้มหัวลงไปจุ๊บใบหน้ารูปไข่ และความอิจฉาในก้นบึ้งหัวใจที่มีต่อสือมูเฉินก็ครึกโครมมากยิ่งขึ้น
“ น่ารักจังเลย ” หยานชิงเจ๋อพูด
“ ไม่เป็นไร นายก็ใช้โอกาสในครั้งนี้ดีๆ ในอนาคต นายก็จะมีเหมือนกัน ” สือมูเฉินก็ทำสีหน้าท่าทางประมาณว่าฉันเข้าใจนายนะ
หยานชิงเจ๋อพยักหน้า เดิมความตื่นเต้นที่อยู่ในใจก็ลดหายลงไปบ้าง แต่มันก็กลับมารู้สึกอีกครั้ง
และในขณะนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงกริ่งของประตูดังขึ้น ต่อมาก็มีเสียงของคนสองคนที่คุ้นเคยดังเข้ามา : “ เสี่ยวถาง พวกเขามากันแล้วหรือยัง ?”
ฟังเพียงแค่เสียงของหลานเสี่ยวถาง : “ ชิงเจ๋อมาถึงแล้ว ส่วนสือจิ่นนั้นเมื่อกี้โทรมาบอกว่าอีกประมาณสิบนาทีจะมาถึง ”
“ ดีเลย พวกเราก็ได้รวมตัวกันพร้อมหน้าอีกครั้ง ” ในขณะที่เฉียวโยวโยวพูดก็ได้หมุนตัวหนึ่งรอบ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่แอ๊บแบ๊วน่าสงสาร : “ เสี่ยวถาง เธอดูว่าฉันอ้วนขึ้นอีกแล้วหรือเปล่า ? ทำยังไงดี น้ำหนักฉันเพิ่มขึ้นมาตั้งห้ากิโล นี่เพิ่งจะท้องได้ห้าเดือนกว่าเองนะ ถ้าหลังจากนี้จะทำยังไง…….”
หลานเสี่ยวถางหัวเราะ : “ ในตอนนั้นฉันก็เป็นแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ห้าเดือนแล้ว แน่นอนว่ามันจะต้องเพิ่มอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก พื้นฐานโดยทั่วไปพวกเราดีอยู่แล้ว หลังจากนี้แล้วเดี๋ยวมันก็ค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิม ! ฉันไม่ว่าจะอย่างไรก็จะปลอบใจตัวเองแบบนี้ !”
ทั้งสองคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างเฮฮานั้น ฟู่สีเกอก็ได้เดินเข้ามาแล้ว แล้วก็เห็นว่าหยานชิงเจ๋อกำลังหยอกล้อกับเสี่ยวหวันหว่านตัวน้อยอยู่ ดังนั้น ก็เลยเดินเข้าไปจุ๊บหวันหว่าน แต่เพิ่งจะเดินถึงตรงหน้าของสือมูเฉิน เขาก็ยักคิ้วพร้อมกับทำหน้าทำตา
สือมูเฉินหรี่ตาลง : “ อยากจะพูดอะไรอีก ?”
แววตาของฟู่สีเกอเต็มไปด้วยความโอหัง : “ อาเฉิน จะต้องมีสักวันที่นายต้องแพ้ให้ฉัน !”
“ เรื่องอะไรกัน ?” หยานชิงเจ๋อเงยหน้าขึ้น
ฟู่สีเกอเหลือบไปมองหลานเสี่ยวถางกับเฉียวโยวโยวที่ยืนอยู่หน้าประตู เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ยังไม่เดินมา และไม่ได้ยิน ถึงจะเริ่มเอ่ยปากว่า : “ เมล็ดพันธุ์ฉันดี !”
“ ห๊ะ——” ด้วยคำพูดประโยคนี้ของเขาแป๊บเดียวก็ทำให้หยานชิงเจ๋อนั้นคลายความตื่นเต้นลงแล้วก็หัวเราะออกมา
“ ดียังไง ?” สายตาของสือมูเฉินล่องลอยไปยังภายนอกของเฉียวโยวโยว และสายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงที่ท้องของเธอ : “ เป็นเพราะว่าท้องของเธอใหญ่กว่าหลานเสี่ยวถาง ?”
“ แน่นอน !” ฟู่สีเกอก็พูดอย่างเชิดหน้าชูตา : “ ฉันครั้งเดียวได้ตั้งสองคน อีกทั้งยังเป็นฝาแฝดอีกด้วย”
“ ฝาแฝด ? !” สือมูเฉินก็พูดว่า : “ พวกนายไปถ่ายภาพอัลตร้าซาวด์มาแล้วอย่างนั้นหรอ ?”
“ แน่นอน ฉันให้หัวหน้าแผนกมาดูให้เลย ! ไม่ผิดแน่ !” บนแก้มของฟู่สีเกอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “ เป็นยังไงละ อาเฉิน ยอมแพ้ได้แล้วมั้ง ?”
สือมูเฉินยักคิ้ว : “ ได้ยินมาว่าบางครั้งเด็กบางคนก็มีบริเวณที่อาจจะถูกปกปิด นายอย่าเพิ่งรีบดีใจไปเลย ถ้าว่าเป็นผู้ชายสองคน……”
อันที่จริงแล้วฟู่สีเกออยากจะได้ผู้หญิง เป็นเพราะเห็นว่าหวันหว่านนั้นเชื่อฟังเละน่ารัก และถ้าหากว่าซุกซนทั้งสองแล้วละก็…….
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย : “ ไม่มีทางหรอกมั้ง ? นี่มันควรที่จะเชื่อทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรอ ?”
หยานชิงเจ๋อยักไหล่ : “ พูดยาก ”
ฟู่สีเกอที่กำลังสงสัยบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์ ตรงประตูก็ได้มีเสียงกริ่งดังขึ้น
เมื่อหยานชิงเจ๋อได้ยินเสียงกริ่ง ทันใดนั้นก็เกร็งไปทั้งตัว
ในไม่ช้า เมื่อหลานเสี่ยวถางเปิดประตู ก็เห็นซูสือจิ่นที่ผมยาวขึ้นเยอะมาก อีกทั้งยังแต่งตัวสบายๆและดูชิวๆ ทำให้อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นก็พูดพร้อมกับรอยยิ้ม : “ สือจิ่น ไม่เจอกันตั้งนาน !”