ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 39 ผลกรรมของคนนอกใจ
ทั้งสองนั่งกินเกี๊ยวซ่าด้วยกันอย่างอบอุ่น หลังจากนั้นหลานเสี่ยวถางก็ออกไปหารถสามล้อเพื่อพาพวกเขาไปที่บ้านของหญิงชรา
หญิงชราเริ่มตั้งแผงขายของในทุกช่วงบ่ายของวัน หญิงชรายุ่งกับการเตรียมของที่บ้านในช่วงเช้า เมื่อเห็นหลานเสี่ยวถางเธอจึงเอ่ยพูดอย่างมีความสุขว่า “หนูมาแล้วเหรอ?”
ขณะที่พูดเธอได้มองไปที่สือมูเฉิน “นี่คือสามีของหนูเหรอ เท้าของเขาได้รับบาดเจ็บเหรอ? เข้ามานั่งก่อนสิ!”
ลูกสาวของหญิงชราตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสองแล้ว คนเล็กอายุประมาณห้าหกขวบ เป็นเด็กผู้ชายที่อยู่ในช่วงวัยกำลังซน
เมื่อเด็กชายเห็นคนแปลกหน้ามาที่บ้าน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเกร็ง ตัวสั่นต่อหน้าหลานเสี่ยวถาง แม่ของเขาดึงเขาไปอุ้มไว้และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กดื้อค่อนข้าง ไม่ต้องแปลกใจนะคะ!”
หลังจากพูด เธอมองไปที่หลานเสี่ยวถางแล้วพูดว่า “ฉันได้ยินแม่ของฉันพูดถึงคุณเมื่อวานนี้ พูดตามความจริงนะคุณดูเหมือนผู้หญิงที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านของฉันในตอนนั้นจริงๆ!”
สือมูเฉินได้พูดขึ้นว่า “คุณจำชื่อของเธอได้ไหมหรือเธอเคยพูดถึงเกี่ยวกับครอบครัวของเธอไหมครับ?”
“ไม่ทราบเลยค่ะ” หญิงสาวส่ายหัว “ฉันแค่รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนในพื้นที่ และสำเนียงการพูดของเธอก็เหมือนสำเนียงคนในเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตามตอนที่เธออาศัยอยู่ในบ้านของฉัน เธอขอให้พวกเราเรียกเธอว่าเหยาเหยาก็พอแล้ว ใช่แล้ว เธอชื่อป้าเหยาเหยา”
“ชื่อของเธอเขียนยังไงครับ” สือมูเฉินถาม
ผู้หญิงคนนั้นหยิบปากกาและกระดาษของเด็กผู้ชายมาเขียนว่าเหยาเหยา
ในเวลานี้หญิงชราได้เอาต่างหูนั้นออกมาแล้ว
เนื่องจากเมื่อคืนฝนตกสภาพอากาศจึงโปร่งใสและแสงอาทิตย์ก็ส่งเจิดจ้า หยกจักรพรรดิสีเขียวส่องแสงแวววับชัดเจนมากจนดูเหมือนทะเลสาบที่เงียบสงบบนท้องฟ้า
“มันเป็นแก้วชนิดหนึ่ง” สือมูเฉินกล่าว “ไม่น่าแปลกใจที่เธอบอกให้คุณขายมันแล้วสามารถเปลี่ยนบ้านหลังใหญ่ได้”
หญิงชรายิ้มอย่างจริงใจ ใบหน้าของเธอเผยให้เห็นร่องรอยของกาลเวลา “พวกเราก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน ในเมื่อหนูคนนี้หน้าเหมือนเหยาเหยา งั้นเราขอมอบต่างหูนี้ให้กับเธอแล้วกัน!”
สือมูเฉินหยิบต่างหูขึ้นมาและจ้องมองดูพวกมันเป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็จับมือของหลานเสี่ยวถางแน่นและชี้ไปที่ลวดลายบนมรกตนั้น
หลานเสี่ยวถางมองดูก็เห็นว่าเป็นเครื่องเงินเล็กๆ ที่ถูกแกะสลักเหมือนรูปทรงดอกไม้ เธออดไม่ได้ที่จะถามสือมูเฉิน “นี่คืออะไร?”
สือมูเฉินกล่าวว่า “กล้วยไม้ผีอเมริกา นี่เป็นดอกไม้ที่หายากมากที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว”
หลานเสี่ยวถางกะพริบตา “ดังนั้น?”
สือมูเฉินหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาแล้วถ่ายรูปลวดลาย จากนั้นจึงถ่ายรูปต่างหูแบบโคลสอัพอยู่หลายภาพ
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “คุณยายครับ พวกเราเอาสิ่งของของคุณยายไปไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นของผู้หญิงนั้นมอบให้กับคุณยาย ยิ่งกว่านั้นพวกเราไม่สามารถยืนยันได้ว่าภรรยาของผมเป็นญาติของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ งั้นต่างหูนี้คุณยายเก็บไว้เถอะครับ ถ้าเราต้องการเบาะแสในอนาคตเราจะกลับมาถามอีกครั้ง”
หลานเสี่ยวถางก็พยักหน้าเช่นกัน “ใช่ค่ะ คุณยายเก็บมันไว้ก่อน ยังไงก็ตามพวกเราขอถ่ายรูปไว้ก่อนนะคะ”
“ถ้าคุณยายยินดีที่จะขาย……” สือมูเฉินกล่าวเสริม “พวกเราสามารถซื้อมันได้ตลอดเวลา”
หญิงชราเหลือบมองลูกสาวของเธอ เพื่อรอให้เธอตัดสินใจ
“ไม่อย่างนั้นก็ขายมันซะสิ!” ลูกสาวของเธอกล่าว “แม่ หลานชายของแม่จบปริญญาในปีนี้ และจะต้องซื้อบ้านเพื่อแต่งงานมีภรรยาในอีกสองปี ดังนั้น……”
หญิงชรารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “อันที่จริงตอนแรกฉันต้องการมอบให้ฟรีๆ เพราะเหยาเหยาก็อาศัยอยู่แค่ครึ่งเดือน และเราไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย……”
สือมูเฉินพูดกับลูกสาวของหญิงชรา “พี่สาวครับ ลูกชายคนโตของคุณมีแผนจะซื้อบ้านที่ไหนในอนาคตเหรอครับ”
ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “เขาเหรอ เมืองถัดไปจากที่นี่แหละ ถ้าอยู่ไกลเกินไปก็จะดูแลครอบครัวไม่ได้”
“บังเอิญว่าผมมีเพื่อนที่มีสำนักงานขายอยู่ในเมือง ผมจะซื้อห้องชุดมอบให้พวกคุณเพื่อแลกกับต่างหูนี้!” สือมูเฉินพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“พวกเราเกรงใจที่จะรับไว้นะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น “บ้านในเมืองมีราคาแพงมากเกินไป……”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณไม่ช่วยให้ที่อยู่อาศัยคุณเหยาเหยานานกว่าครึ่งเดือน บางที……” สือมูเฉินยิ้ม “งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ”
เนื่องจากเป็นบ้านพร้อมอยู่เลย ลูกชายคนโตของลูกสาวหญิงชราก็เรียนอยู่ในเมือง ดังนั้นปัญหาในการซื้อบ้านจึงได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว สือมูเฉินจ่ายเงินและลงนามในสัญญาซื้อบ้านในวันเดียวกัน
ตอนเที่ยงทั้งสองคนรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านของหญิงชรา หลานเสี่ยวถางกังวลว่าสือมูเฉินนั่งเป็นเวลานานจะไม่เป็นผลดีต่อเท้า ดังนั้นเธอจึงกล่าวคำอำลากับหญิงชราและกลับไปที่บ้านพัก
เธอลูบต่างหูหยกจักรพรรดิสีเขียว แล้วก็เงยศีรษะขึ้นมองสือมูเฉิน“มูเฉิน คุณใช้เงินไปมากมายกับบางสิ่งที่บางทีอาจไม่เกี่ยวข้องกับตัวฉันเลย ฉัน……”
“เสี่ยวถาง ไม่ต้องกังวล นี่เป็นหนี้การแต่งงาน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องบันทึกไว้ในบัญชี คุณแค่เพียง……” สือมูเฉินเลิกคิ้วและถอนหายใจก่อนพูด “ชดใช้ด้วยร่างกายของคุณ”
เดิมทีหลานเสี่ยวถางรู้สึกขอบคุณในใจ แต่เมื่อฟังประโยคนี้แล้วก็ต้องตกตะลึง “เท้าของคุณเจ็บอยู่ยังมาคิดเรื่องแบบนี้ได้!”
สือมูเฉินหยิบผมของเธอขึ้นมาม้วนเล่น “ผมหมายถึงกลับไปแล้วค่อยชดใช้ คุณดูรีบร้อนกว่าผมอีกนะ หรือว่าคุณอยากจะทำที่นี่?”
แก้มของหลานเสี่ยวถางแดงก่ำ เธอผลักหน้าอกของสือมูเฉิน “เมื่อคืนคุณยังไม่ได้นอนเลย รีบพักผ่อนเถอะ!”
“อยากจะให้ผมนอนอย่างเดียว จริงๆ แล้วคุณดูรีบกว่าผมอีกนะ ” สือมูเฉินหัวเราะอย่างมีความสุขและเขย่งเข้าห้องนอนด้วยเท้าข้างเดียว
หลานเสี่ยวถางรู้ว่าสือมูเฉินไม่ชินกับรสชาติของอาหารในเมืองนี้ ดังนั้นหลังจากที่เขานอนหลับ เธอจึงออกไปซื้อของมาเตรียมไว้ทำอาหาร
หลังจากซื้อของเสร็จเธอได้จัดการของทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง เพราะเมื่อคืนนี้เธอแทบจะไม่ได้นอน เมื่อกำลังจะเดินไปเอนกายก็ต้องพบกับใบหน้าที่ผิดปกติของสือมูเฉิน
เนื่องจากเขามีผิวพรรณที่แข็งแรง ถ้าแก้มไม่แดงจนเกินไปจะดูไม่ออก แต่ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงเห็นได้ชัดว่าแก้มของเขาแดงอย่างผิดปกติ แต่ริมฝีปากของเขาแห้งและซีดเล็กน้อย
เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าผากของเขา มันร้อนมาก
มีไข้?
อาจจะเป็นเพราะตากฝนเมื่อคืน แผลถูกแช่น้ำและอักเสบนิดหน่อย สุดท้ายก็เป็นไข้จนได้?
หลานเสี่ยวถางสะกิดสือมูเฉิน”มูเฉิน ตื่น!”
เรียกเป็นเวลานานเขาถึงลืมตาขึ้นมา น้ำเสียงแหบเล็กน้อย พูดอย่างเหนื่อยๆ ว่า “มีอะไรเหรอ”
“คุณไข้ขึ้นสูง” หลานเสี่ยวถางพูด “คุณมีตรงไหนที่ไม่สบายหรือเปล่า?”
“ครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย” สือมูเฉินเงยหน้าขึ้นแล้วลูบขมับเบาๆ “ปวดหัวจัง”
“งั้นฉันจะไปซื้อยาให้คุณ” หลานเสี่ยวถางพูดและมองดูบาดแผลที่ข้อเท้าของสือมูเฉินอย่างกังวล เมื่อเห็นว่าอาการบวมหายไปและไม่มีอะไรผิดปกติ เธอจึงช่วยเขาห่มผ้าห่มแล้วออกไป
เพราะความรีบร้อนของเธอ เธอจึงนั่งรถสามล้อทั้งขาไปและขากลับ หลังจากซื้อยาเสร็จเธอก็รีบกลับมาอย่างรวดเร็ว เร็วเกินไปจนสือมูเฉินรู้สึกได้ว่าเธอเพิ่งออกจากบ้านไป
เธอช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น ตรวจอุณหภูมิของน้ำแล้วส่งยาไปให้สือมูเฉิน “กินยาแก้ไข้และแก้อักเสบ แล้วดื่มน้ำตามให้มากๆ ”
สือมูเฉินกินยาแล้วเงยหน้ามองไปที่เธอ “คุณไม่เหนื่อยเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ร่างกายของฉันค่อนข้างแข็งแรง” ขณะที่เธอพูดเธอได้ถืออ่างน้ำอุ่นและผ้าเช็ดตัวมาด้วย
หลานเสี่ยวถางเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าผากให้สือมูเฉินและช่วยเขานวดขมับเบา ๆ แล้วพูดว่า”คุณนอนเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน”
สือมูเฉินหลับตาลง เมื่อหลานเสี่ยวถางกำลังเปลี่ยนผ้าขนหนูเขาก็จับมือเธอ “เสี่ยวถาง ขึ้นมานอนกับผมนะ”
หลานเสี่ยวถางหัวเราะเบาๆ “คุณยังไม่หลับ?”
“รอคุณไง” เขารอให้เธอถอดรองเท้าเพื่อขึ้นมาบนเตียงแล้วกอดเธอแน่น จากนั้นเขาก็หลับตาลง
อาจเป็นเพราะเขากลับมาที่เดิมเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอ้อนเหมือนเด็ก? หรือบางทีเขาอาจไม่เคยทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็น?
หลานเสี่ยวถางเหยียดแขนไปกอดเอวของสือมูเฉิน หลังจากนั้นไม่นานความง่วงนอนของเธอก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในความมืดมิด เธอได้ยินสือมูเฉินแอบพูดกับเธอเบาๆ “ที่จริงแล้วการแต่งงานของเราเป็นเรื่องดีมาก”
*
เนื่องจากสือเพ่ยหลินเสียอารมณ์เดินออกไป เฉินจื่อโร่วได้นั่งเหม่อบนเตียงคนเดียวเป็นเวลาสองชั่วโมง
ในที่สุดเธอก็ได้สติกลับคืนมาหลังเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เป็นหลี่ถิงถิงเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของเธอที่โทรมาชวนเธอไปเที่ยวบาร์
เมื่อรู้ว่าสือเพ่ยหลินจะไม่กลับมาในคืนนี้ เฉินจื่อโร่วก็แต่งตัวและหยิบเอาโทรศัพท์แล้วไปที่hotบาร์อันโด่งดังในเมืองหนิงเฉิง
หลี่ถิงถิงโบกมือให้เธอจากระยะไกล จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในบาร์และสั่งเบียร์สองแก้ว หลี่ถิงถิงชอบเต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เฉินจื่อโร่วก็เรียนเต้นตั้งแต่ชั้นประถม ดังนั้นภายใต้ถทธิ์ของแอลกอฮอล์เธอก็เริ่มออกลวดลายท่าทางในการเต้น
บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดของสือเพ่ยหลินในวันนี้ และความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของพวกเขาในตอนนี้ หลังจากเต้นไม่นานเฉินจื่อโร่วก็กลับมานั่งที่อีกครั้งและเริ่มดื่มอย่างกลัดกลุ้มใจ
ในที่สุดเธอรู้สึกว่าตัวเบา และรู้สึกเหมือนกำลังจะบินได้ เธอก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ในขณะนี้มีคนเดินมาข้างหน้าเธอ เธอมองไม่เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน และรู้สึกได้เพียงว่าเขานั่งอยู่ข้างๆ เธอ โดยเอาแขนวางบนไหล่ของเธอ และมีความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย
จิตใต้สำนึกทำให้เกิดความระมัดระวังเล็กน้อย เฉินจื่อโร่วผลักชายคนนั้น “ไปให้พ้น”
ชุยซื่อฮว๋ากอดเธอแน่นขึ้น” จื่อโร่ว ผมเอง”
เฉินจื่อโร่วเหลือบมองเขาด้วยความงุนงงและพูดอย่างหงุดหงิด “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
“ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกคุณ!” ชุยซื่อฮว๋าพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้เธอดู ในหน้าจอมีรูปภาพของสือเพ่ยหลินและจินเยว่ฉีนั่งทานอาหารด้วยกัน การแสดงออกของทั้งคู่ผ่อนคลายและมีความสุข
ความขุ่นเคืองรวมตัวกันในดวงตาของเฉินจื่อโร่ว เธอเตรียมยกมือขึ้นจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง!
ชุยซื่อฮว๋าจึงรีบเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขา ริมฝีปากของเขาแนบกับหูของเธอ “คุณรู้ไหมว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?”
เฉินจื่อโร่วหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปที่ชุยซื่อฮว๋าด้วยสายตาสังหาร
ชุยซื่อฮว๋ากระซิบข้างหูเธออีกครั้ง “ผมเห็นพวกเขาไปที่โรงแรมเคมปินสกี้ด้วยสองตาของผมเอง”
“ไอ้บ้า!” เฉินจื่อโร่วกำลังจะลุกขึ้น “ฉันจะไปฆ่าผู้หญิงคนนั้น!”
“คุณไปเถอะ สือเพ่ยหลินจะเกลียดคุณมากขึ้นเข้าไปอีก” ชุยซื่อฮว๋าเริ่มจูบที่ติ่งหูของเธอและพูดด้วยเสียงที่เย้ายวน “พวกเขาทำต่อคุณแบบนี้ คุณเคยคิดที่จะแก้แค้นไหม?”
ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายของเธออ่อนไหวมาก เธอถามเสียงสั่นว่า “แก้แค้นยังไง?”
“ให้ผมบอกคุณด้วยการกระทำของผม” มือของชุยซื่อฮว๋าสอดเข้าไปในกระโปรงของเธอ “ก็เหมือนกับตอนนี้ยังไงล่ะ พวกเรากำลังทำในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เหมือนกัน……”