ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 466 ถ้าเธอโตขึ้นแล้ว แต่งงานกับฉันนะ
ขณะนี้ สือจิ่งเหยียนก็สี่ขวบแล้ว เมื่อเห็นพี่สาวก็รีบวิ่งเข้าไปเข้าพี่กอดพี่สาวในทันที : “ พี่ครับ ผมคิดถึงพี่จังเลย !”
หวันหว่านก็ทำท่าทางให้กับเขาว่า : “ พี่ก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่แล้วก็แกเหมือนกัน ”
ในขณะที่พูด เธอจูงมือสือจิ่งเหยียนออกมา จากนั้นก็โถมตัวเข้าใส่หลานเสี่ยวถางก่อน
หลานเสี่ยวถางก็อุ้มหวันหว่านขึ้นมา แล้วยิ้มให้สือมูเฉินพร้อมกับพูดว่า : “ ยังไงหวันหว่านก็สนิทกับแม่ที่สุดใช่ไหม ?”
หวันหว่านก็รีบทำท่าทางให้สือมูเฉินว่า : “ คุณพ่อก็สนิทเหมือนกันค่ะ !”
สือมูเฉินหัวเราะ จากนั้นก็อุ้มหวันหว่านรับมาจากข้อพับของหลานเสี่ยวถางแล้วก็ได้จุ๊บไปบนแก้มของเธอ : “ เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่อสูงขึ้นอีกแล้ว !”
ในเวลานี้ ภายในห้องก็ดูเหมือนว่ามีเงาของคนคนหนึ่งที่แวบเข้ามา หวันหว่านที่อยู่ในข้อพับก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจน จึงรีบทำท่าทางบอกว่า : “ พ่อคะ แม่คะ ยังมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้รู้จักค่ะ !”
“ ยังมีใครอีก ?” หลานเสี่ยวถางก็เหลือบมองไปยังรอบๆแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร
หวันหว่านก็ออกมาจากอ้อมแขนของสือมูเฉิน แล้วก็เดินไปยังระเบียงทางเดิน ตามหาอยู่สักพักก็เจอเฉียวซือที่อยู่ตรงมุม
เธอไปดึงเขามาและทำท่าบอกกับเขาว่า : “ พ่อกับแม่ของฉันมาแล้ว พวกเราออกไปเจอด้วยกันสิ !”
เมื่อเฉียวซือได้ยินคำว่า‘พ่อแม่’รูม่านตาที่สีฟ้าก็หดตัว จากนั้นก็ก้มศีรษะและมองดูรองเท้าของตัวเอง
หลังจากที่ได้มาที่เพอร์เซลล์แล้ว เขาก็พูดจาน้อยลง ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีหวันหว่านอยู่ละก็ ในหนึ่งวันดูท่าแล้วก็คงจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ
“ เฉียวซือ ขอโทษนะ……”หวันหว่านดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ก็เลยรีบทำท่าทางแล้วบอกว่า : “ ยังมีน้องชายด้วย เขาก็มาแล้ว พวกเราสามคนมาเล่นด้วยกันเถอะ ?”
เฉียวซือก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับหวันหว่านไว้แล้วก็เดินออกไปพร้อมกับเธอ
หวันหว่านก็แนะนำให้ทุกคนรู้จัก : “ นี่เพื่อนสนิทหนูค่ะ !”
เฉียวซือก็บอกชื่อของตัวเองให้รู้ แต่ทว่า เด็กผู้ชายที่ภายนอกดูร่าเริงสดใสในเมื่อก่อน ตอนนี้กลับดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก
สือจิ่งเหยียนก็พินิจพิเคราะห์ประมาณเฉียวซืออยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยปากว่า : “ ขอบคุณนะครับที่พี่คอยเล่นอยู่กับพี่สาวของผม ! พี่เป็นเพื่อนสนิทของพี่สาวผม ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เป็นเพื่อนสนิทของผมเหมือนกัน !”
ในขณะที่พูด เขาก็เดินไปแล้วก็ยื่นมือออกมาให้เฉียวซือ
เฉียวซือก็ยื่นออกมา และจับมือเด็กคนนี้ที่มีอายุน้อยกว่าตัวเองสองปีกว่า
โอหยางจวิ้นที่เดินมาจากทางนั้น ก็ถือโอกาสในตอนที่เด็กๆออกไปเล่นข้างนอกแล้ว อธิบายการมีอยู่ของเฉียวซือให้หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉิน และจากนั้นก็พูดว่า : “ อีกสักแป๊บงานหมั้นก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ผมต้องขอตัวไปก่อนนะ ”
สือมูเฉินก็พยักหน้า : “ อื้ม ในเมื่องานหมั้นก็จัดขึ้นแล้ว แล้วจะแต่งงานอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ?”
“ อีกหนึ่งปี ” โอหยางจวิ้นก็พูดว่า : “ วันเกิดครบรอบสามสิบของผม มันก็เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบแปดปีของเธอพอดี ”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินแบบนั้น ก็ทำปากมุ่ยพร้อมกับพูดว่า : “ คนหนุ่มสาวนี่มันดีจริงๆเลย !”
สือมูเฉินก็หันไปยิ้มให้เธอ : “ ไม่เป็นไร ภรรยาของผมก็ยังสาวอยู่ ตอนนี้ดูแล้วราวกับอายยุเพียงแค่สิบแปดเท่านั้น !”
โอหยางจวิ้นก็ยิ้มมุมปาก แล้วก็รีบเดินออกไป ถ้าไม่อย่างนั้นแค่ดูพวกเขาสวีทหวานกันก็คงจะอิ่มแล้ว !
สิบนาฬิกา งานหมั้นก็ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ
ด้วยความมั่งคั่งและฐานนะของตระกูลเพอร์เซลล์แล้ว แน่นอนว่าแขกที่มาจะต้องไม่ใช่น้อยๆ
และตระกูลมู่ยวี๋ฮั่น ถึงแม้ว่าความมั่งคั่งจะสู้ตระกูลเพอร์เซลล์ไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับhonor และหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจก็มีแต่ความสำเร็จและเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการรวมกันของความแข็งแกร่ง
ในเวลานี้ หวันหว่านก็ถูกสือมูเฉินอุ้มไว้ในข้อพับ ส่วนหลานเสี่ยวถางก็อุ้มสือจิ่งเหยียน แล้วก็นั่งอยู่ตรงริมทะเลสาบ เพื่อเป็นสักขีพยานให้กับงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้
เดิมที ยังมีเฉียวซือที่นั่งอยู่ข้างๆแต่จู่ๆก็กลับไม่หายแล้ว หวันหว่านรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย แล้วก็มองไปรอบๆ แต่ทว่างานหมั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว เธอก็เลยทำได้เพียงต้องมีสมาธิและใจจดใจจ่อกับพิธีการ
เมื่อเสียงเปียโนและไวโอลินที่ไพเราะดังขึ้น โอหยางจวิ้นและคุณปู่แดเนียลก็ได้เดินไปพร้อมกันยังกลางเวทีที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สด
หวันหว่านมองไปที่โอหยางจวิ้น วันนี้เขาสวมชุดสูทที่เป็นทางการพร้อมกับผูกเน็คไทสีฟ้า และเขาก็ดูหล่อเหลาและสูง บวกกับความเป็นลูกครึ่งที่มีใบหน้าสามมิติที่ไร้ที่ติ ซึ่งมันทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้
แดเนียลก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด แล้วบอกว่ารู้สึกเขาปลาบปลื้มใจมากๆที่หลานชายของตัวเองกำลังจะได้เป็นสักขีพยานถึงช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต
เมื่อหวันหว่านได้ยินมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย เธอจึงหันไปทำท่าทางเพื่อถามสือมูเฉินว่า : “ พ่อคะ หลังจากที่อาจวิ้นแต่งงานแล้ว ก็จะไม่มีเวลามาอยู่กับหวันหว่าน แต่จะไปอยู่กับภรรยาของคุณอาแทนใช่ไหมคะ ?”
สือมูเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากนั้นก็พูดกระซิบที่หูของลูกสาวว่า : “ แน่นอนสิ ส่วน
หวันหว่านก็จะโตขึ้นเหมือนกัน แล้วก็จะมีเพื่อนของตัวเองและก็จะแต่งงานเหมือนกัน ดังนั้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่มีจะผู้ใหญ่คอยอยู่ข้างกายตลอดเวลา ”
ในเวลานี้ หวันหว่านรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ที่แท้การแต่งงานก็คือการที่อยู่ด้วยกันสองคน ส่วนเธอก็ไม่สามารถที่จะไปรบกวนได้เหรอ ?
และดูเหมือนว่าถ้าแต่งงานกันแล้วก็จะมีลูก และต่อไปถ้าอาจวิ้นมีลูกแล้ว ก็ไม่จะเอาเธอแล้วใช่หรือเปล่า ?
เมื่อกำลังคิดถึงตรงนี้ เจ้าสาวก็ได้เดินผ่านซุ้มดอกไม้ไปพร้อมกับครอบครัวฝ่ายหญิงแล้ว และก็เดินไปยังตรงหน้าของโอหยางจวิ้นทีละก้าว
หลังจากที่ครอบครัวฝ่ายหญิงพูดไปแล้วไม่กี่ประโยค มือของมู่ยวี๋ฮั่นก็ได้วางลงบนมือของโอหยางจวิ้น โดยบ่งบอกว่ากำลังจะนำตัวลูกสาวส่งมอบให้เขาเป็นคนดูแล
เมื่อเห็นโอหยางจวิ้นจูงมือของมู่ยวี๋ฮั่นแล้ว ในใจของหวันหว่านก็รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็จะมีลูกแล้ว และก็จะไม่มีเวลามาเล่นกับเธอแล้ว !
เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าเฉียวซือก็ตัวคนเดียว ดังนั้นเธอก็เลยรีบทำท่าทางบอกสือมูเฉินและวิ่งไปหาเฉียวซือ
ลำดับต่อมาก็เป็นการขั้นตอนของการแลกแหวน
โอหยางจวิ้นที่ถือแหวนแล้วก็กำลังยกมือของมู่ยวี๋ฮั่นขึ้นมาเพื่อจะสวมแหวน แต่ก็กลับเห็นว่าหวันหว่านลงมาจากอ้อมแขนของสือมูเฉินแล้วก็กำลังวิ่งไปอีกทางหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย ด้วยสัญชาตญาณแล้วก็อยากจะวิ่งไป
แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในโอกาสสำคัญ และพ่อแม่ของหวันหว่านก็อยู่ คงจะไม่มีปัญหาไรหรอก ดังนั้น เขาก็เลยข่มความรู้สึกเป็นห่วงเอาไว้ในใจ จากนั้นก็สวมแหวนให้มู่ยวี๋ฮั่น
เธอก็ยกมือของเขาขึ้นมาเหมือนกัน จากนั่นก็สวมแหวนหมั้นให้กับเขา
ทุกอย่างก็ได้เสร็จสิ้น ดังนั้น เสียงบรรเลงเพลงก็ค่อยดังขึ้น เวทีที่อยู่ข้างๆก็ได้ลอยขึ้นมา ตามที่ได้จัดวางเอาไว้ โอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นจะต้องมาเต้นรำเปิดฟลอร์แรก
ในขณะนี้ หวันหว่านก็หาเฉียวซือเจอที่ริมทะเลสาบ
เธอเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงริมทะเลสาบคนเดียว ก็เลยอดไม่ได้ที่จะไปดึงมือของเขา
เขาดิ้นรนอยู่สักแป๊บ แต่ก็ถูกเธอดึงขึ้นมา หวันหว่านก็คิดว่าจะพาเขากลับไปยังงานหมั้น
ดอกไม้ที่อยู่บนเวทีก็ได้บานสะพรั่ง เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็กำลังเต้นรำอยู่ด้านบน โดยที่ท่าเต้นนั้นเข้ากันได้ดีอย่างมาก
เฉียวซือที่ค่อยๆมองอย่างเหม่อลอย
จนกระทั่งโอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นเต้นเสร็จ เฉียวซือก็ได้ละสายตาจากความคึกครื้นที่มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบ ดังนั้นหวันหว่านก็เลยทำท่าทางที่บอกว่า : “เฉียวซือ อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ดีใจเหมือนกัน เป็นเพราะว่าอาจวิ้นแต่งงานแล้ว และต่อไปถ้าหากพวกเขามีลูกแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะมาเล่นกับฉันได้ตลอดแน่ๆเลย !”
เมื่อเฉียวซือเห็นสิ่งเธอบอก แล้วก็พูดไตร่ตรองว่า : “ ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่ข้างเธอ ! และฉันจะอยู่เล่นกับเธอเอง !”
หวันหว่านก็ยิ้มในทันที : “ ดีเลย !”
การเต้นรำเปิดฟลอร์แรกที่อยู่ข้างหน้าก็ได้จบลง และแขกผู้มีเกียรติก็ถูกเชื้อเชิญให้ทยอยขึ้นมาเต้นรำบนเวที และบรรยากาศที่มีอยู่ก็ได้อบอุ่นขึ้นมา
เฉียวซือที่มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ถามหวันหว่านว่า : “ ถ้าแต่งงานกันแล้วก็จะอยู่ด้วยกันทุกวันเลยหรอ ?”
หวันหว่านพวักหน้า : “ คุณพ่อและปู่ทวดเดเนียลดูเหมือนจะหมายความอย่างนั้นนะ ”
“ ถ้างั้นฉันในอนาคต ก็จะแต่งงานกับเธอ ” ในขณะที่เฉียวซือพูดนั้น สายตาก็ได้มองไปยังหวันหว่านอย่างจริงจัง : “ หวันหว่าน ถ้าเธอโตขึ้นแล้ว แต่งงานกับฉันนะ ?”
เห็นได้ชัดว่าหวันหว่านไม่ได้เอาเรื่องการแต่งงานมาเกี่ยวข้องกับตัวเองแม้แต่นิดเลย และเธอก็ถามด้วยความงุนงง : “ ทำไม ?”
“ เป็นเพราะว่าฉันอยากจะอยู่ข้างเธอไปตลอด ” แววตาของเฉียวซือก็เป็นประกาย แต่บนแก้มของเขาก็ยังคงมีเศร้าเล็กน้อยและความไม่สบายใจเกี่ยวกับอนาคต
“ พวกเราเป็นเพื่อนสนิท มันแน่นอนอยู่แล้วว่าฉันจะอยู่ข้างนายไปตลอด !” หวันหว่านทำท่าทางบอก
“ แต่ถ้าเกิดว่าในอนาคตเธอไปแต่งงานกับคนอื่น หรือว่าฉันไปแต่งงานกับคนอื่น เธอก็ไม่สามารถที่จะอยู่ข้างฉันได้ ” เฉียวซือก็พูด : “ ถ้าเกิดว่าพวกเราแต่งงานด้วยกัน ก็จะสามารถอยู่ข้างอีกฝ่ายไปได้ตลอด ”
หวันหว่านลองคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันก็ยังเป็นเหตุผลนี้จริงๆ
แต่ทว่าเธอยังเด็กอยู่เลย แล้วก็ยังไม่ถึงเจ็ดขวบเลย ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต……
เมื่อเห็นว่าแสงในแววตาของเฉียวชือนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งมืดสลัวมากขึ้น แล้วก็นึกถึงเขาที่เพิ่งจะเสียญาติพี่น้องไป หวันหว่านก็รู้สึกเห็นใจเล็กน้อย ดังนั้นก็รีบทำท่าทางบอกว่า : “ ได้สิ งั้นรอให้ฉันโตก่อนนะ !”
“ ได้เลย งั้นฉันจะรอเธอโต !” ในขณะที่เฉียวซือพูด ก็ได้ยื่นนิ้วออกไปเพื่อที่จะเกี่ยวก้อยกับหวันหว่าน
สาวน้อยรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังยื่นนิ้วออกไปเพื่อเกี่ยวก้อย
ดังนั้น ความรู้สึกภายใจของเฉียวซือก็ดีขึ้นมากๆ จากนั้นก็จูงมือของหวันหว่านแล้วก็วิ่งไปยังสนามหญ้าที่อยู่อีกด้านด้วยกัน
ในเวลานี้ ทางด้านนั้นก็วางเต็มไปด้วยอาหาร มีทั้งผลไม้และของหวาน แล้วก็ยังมีอาหารบุฟเฟต์อีกด้วย
สือจิ่งเหยียนตามหาพี่สาวอยู่ตลอด เมื่อเห็นหวันหว่านออกมา ทันใดนั้นก็ดีใจแล้วก็ดึง
หวันหว่านมาพร้อมกับพูดว่า : “ พี่ครับ อันนี้อร่อยที่สุด !”
ในขณะที่พูดนั้น ก็ได้หยิบจานขึ้นมาอย่างงกๆเงิ่นๆแล้วก็ยื่นให้หวันหว่าน
และในเวลานี้ ในงานเลี้ยงก็ยังมีเด็กคนอื่นที่มาด้วยเหมือนกัน หนึ่งในนั้นที่เห็นก็อายุราวๆประมาณห้าหกขวบ และดูเหมือนว่าอยากจะกินของหวานที่อยู่ในจาน ดังนั้น ก็เลยแย่งไปจากมือของสือจิ่งเหยียน
สือจิ่นเหยียนดวงตาก็เบิกกว้างในทันที เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เขาก็เลยหันไปมอง หัวใจก็เต้นแรง แกล้งทำตกใจ : “ หมี !”
เด็กผู้ชายคนนั้นก็รีบหันกลับมามองมีหมีอยู่ตรงไหน
เป็นเพราะว่าถูกดึงดูดความสนใจ สือจิ่งเหยียนก็รีบไปแย่งจานที่อยู่ในมือของเขามาในทันที รอบนี้ เขาก็ได้ยัดให้เฉียวซือโดยตรง แล้วก็เอ่ยปากพูดว่า : “ ช่วยพี่สาวรักษาเอาไว้ !”
เด็กผู้ชายคนนั้นเมื่อพบว่าถูกหลอก ก็หันกลับไปมอง แล้วก็กลับเห็นว่าจานนั้นได้ไปอยู่ในมือของเด็กผู้ชายอีกคนซึ่งโตกว่าตัวเอง
เขาจะไปแย่ง แต่ทว่า เฉียวซือก็ได้ใช้สายตาคุกคาม ทันใดนั้นปากของเขาก็บูดและร้องได้ออกมา
เฉียวซือยื่นจานให้หวันหว่าน : “ หวันหว่าน ไม่ต้องสนใจเขา กินเถอะ !”
หวันหว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันตลก จากนั้นก็หยิบช้อนที่สือจิ่งเหยียนยื่นมาให้ แล้วก็ตักของหวานกินไปหนึ่งคำ
ที่แท้ ของที่น้องชายและเพื่อนของตัวเองแย่งมาให้ มันอร่อยกว่าอันอื่นๆ !
ในเวลานี้ เมื่อมีผู้ใหญ่ได้ยินเด็กผู้ชายร้องไห้ ก็รีบเข้ามาถามว่าเป็นไร
เด็กผู้ชายคนนั้นก็ชี้ไปยังสือจิ่งเหยียน : “ เขาแย่งของของผมไป ฮือฮือ……”
สือจิ่งเหยียนก็แบมือออก นัยน์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาก็พูดว่า : “ ฉันอายุน้อยกว่านาย ฉันจะแย่งนายไหวได้อย่างไร ? แล้วเคยได้ฟังนิทาน《เด็กเลี้ยงแกะ》หรือเปล่า ? เป็นเด็กห้ามพูดโกหก !”
เด็กผู้ชายคนนั้นก็เงียบจนพูดอะไรไม่ออก แล้วก็ร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิมด้วย ผู้ใหญ่ก็จนปัญญา จากนั้นก็อุ้มเขาแล้วจากไป : “ ไม่ร้องนะ เราไปเอาอย่างอื่นที่อร่อยกัน ยังมีอีกเยอะเลยนะ !”
หวันหว่านก็กินไปด้วยแล้วก็แอบหัวเราะไปด้วย
และเมื่อเฉียวซือเห็นว่าหวันหว่านกำลังกินอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเวลาที่เธอกำลังกินมันช่างน่ารักมากๆเลยจริงๆ ดังนั้น เขาก็เข้าไปใกล้แล้วก็จุ๊บไปบนแก้มของเธอหนึ่งที
หวันหว่านก็ถึงกลับตะลึง ในปากก็ยังมีของหวานอยู่ด้วย และริมฝีปากที่เปื้อนเนยก็มองไปยังเฉียวซือ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่รู้สึกเขินอาย แต่เมื่อเห็นความตลกขบขันของสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าสองสามวันมานี้เมฆแห่งความทุกข์ที่ทำให้ฟ้ามืด ที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ก็ดูเหมือนว่าจะถูกแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทำให้หายไปบ้าง
เขาก็ยิ้มให้เธอพร้อมกับพูดว่า : “ จู่ๆก็อยากจะจุ๊บเธอ !”