ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 471 สาวน้อยของฉันโตแล้ว
การตระหนักถึงตรงนี้ ทำให้โอหยางจวิ้นค่อนข้างที่จะรับไม่ได้
เขาปล่อยสือจินหว่าน แล้วส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย : “โอเค แต่ต่อไปก็ต้องระวังด้วยนะ อย่าให้ตนเองได้รับบาดเจ็บอีก”
พูดจบ ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ด้วยเหตุนี้จึงพูดอีกว่า : “หวันหว่าน ต่อไปคุณก็ต้องหาคนที่ปฏิบัติดีต่อตัวคุณเองนะ เป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง ไม่ใช่ว่าตนเองจะทุ่มเทอยู่แค่ฝ่ายเดียว”
สือจินหว่านไม่ใช่เด็กๆแล้ว เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจความหมายของโอหยางจวิ้น ชัดเจนว่าเขาเอาใจใส่คำพูดของเธอ แต่จู่ๆเธอกลับรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดว่า : “อาจวิ้น คุณจะต้องแต่งงานกับคุณน้ามู่แล้วใช่ไหม?”
มือของเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะก็กำแน่นขึ้นมาทันที สักพักจึงผ่อนคลายลง แล้วพยักหน้า : “ใช่ ตอนนี้คุณน้ามู่ของคุณกำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่ อีกอย่างฉันกับเธอก็ได้หมั้นหมายกันไว้แล้ว รอให้เธอหายดี ก็จะแต่งงานอย่างแน่นอน”
ภายในใจรู้สึกเหมือนกับว่าคนข้างกายถูกแย่งชิงไป ในทันทีที่มันมากระทบจิตใจ จู่ๆสือจินหว่านก็รู้สึกทุกข์ใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
เธอระงับความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไว้ พยักหน้าให้เขา แสดงเจตนาว่าเข้าใจแล้ว
เธอกลับมานั่งที่เดิม เห็นได้ชัดว่าอาหารอร่อยมาก แต่จู่ๆกลับไม่เจริญอาหารขึ้นมาซะงั้น
เธอไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้เลย อาจวิ้นจะแต่งงานแล้ว เขากำลังจะมีความสุข เธอก็ควรจะดีใจกับเขาถึงจะถูกสิ แต่ทำไมเธอกลับไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด?
หรือว่าหลายปีมานี้เขาใช้เวลากับเธอมากเกินไป ปฏิบัติดีกับเธอ ตามใจเธอ จึงทำให้เธอคิดอยากจะครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียวใช่ไหม? เธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงใจแคบไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
ชั่วขณะทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ทานอาหารกันไปอย่างเงียบๆ
สือจินหว่านทานไปไม่มาก แต่โอหยางจวิ้นก็นำผัดผักจานนั้นของเธอมาทานจนหมดเกลี้ยง
เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว เธอก็บอกกับเขาว่า : “อาจวิ้นคะ ฉันไปทำการบ้านก่อนนะคะ”
เขาพยักหน้า มองเธอที่จากไป ฉับพลันในใจก็รู้สึกแปลกๆและรู้สึกอ้างว้างอยู่ลึกๆ
สือจินหว่านกลับไปที่ห้องของตนเอง แล้วเปิดหนังสือเรียน แต่กลับพบว่าตนเองไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือเลยสักนิด
เธอพลิกหนังสือไปมา แต่ความคิดล่องลอยออกไปไกลแล้ว
จนกระทั่งมือถือสั่นขึ้นมา เธอจึงหยิบมาดู เป็นเฉียวซือส่งข้อความมา : “หวันหว่าน ปิดเทอมฤดูร้อนคุณก็จะกลับหนิงเฉิงเลยใช่ไหม?”
เธอตอบกลับไปว่า : “ใช่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดว่า : “อาทิตย์หน้าฉันไม่ได้ฝึกซ้อม ฉันจะกลับมาหาคุณนะ”
เธอตอบตกลง : “โอเค อย่างนั้นก่อนที่ฉันจะไปก็มาสังสรรค์ด้วยกันก่อน”
เมื่อเก็บมือถือแล้ว จู่ๆสือจินหว่านก็นึกอะไรขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงรีบวิ่งไปที่ห้องของโอหยางจวิ้นทันที
เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ คิดว่าคนรับใช้เข้ามา จึงไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร พูดไปทางหน้าประตูว่า : “อืม ช่วยเอาเสื้อผ้าออกมาให้ฉันหน่อยสิ!”
สือจินหว่านคิดว่าเขาพูดกับตนเอง จึงทำตามคำสั่งแล้วก็เดินเข้าไป แต่เธอพบว่า โอหยางจวิ้นใส่แค่กางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้น
ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นทันที ตะลีตะลานต้องการจะวิ่งออกมา
แต่เพราะว่ารีบร้อนเกินไป ไม่รู้ว่าเท้าไปเตะเข้ากับอะไร จึงล้มลงไปทางด้านหน้าทันที
ทางด้านหน้า เป็นมุมตู้พอดิบพอดี ถ้าหากว่าล้มลงไป ก็จะต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน โอหยางจวิ้นไม่ได้คำนึกถึงความเจ็บปวดที่ขาเลย เขารีบก้าวไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปดึงสือจินหว่านไว้
เพราะขาของเขาเจ็บอยู่ เมื่อถูกเธอกระแทกเข้ามาจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ยังคงกอดเธอไว้แน่น ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่ล้มลงไป
สือจินหว่านตกใจอย่างมาก เมื่อได้สติกลับมา จึงพบว่าใบหน้าของตนเองนั้นซบอยู่ที่ไหล่ของโอหยางจวิ้น และมือของเธอก็โอบกอดด้านหลังของเขาไว้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ครึ่งบนร่างกายของเขาไม่ได้สวมใส่อะไรเลย ดังนั้นความรู้สึกของมือที่ได้สัมผัสจึงร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างชัดเจน มันทำให้สมองของเธอแทบจะระเบิดออกมา!
หัวใจเต้นอย่างรวดเร็วในทันทีทันใด เธอปล่อยเขาอย่างตื่นตระหนก แล้วไม่กล้ามองหน้าเขาเลย เพียงแค่พูดว่า ‘ขอบคุณค่ะอาจวิ้น’ กับเขาเท่านั้น
ความรู้สึกนุ่มนวลในอ้อมกอดหายไปในทันที โอหยางจวิ้นเกิดอาการใจลอยเล็กน้อย และเมื่อเขาเห็นติ่งหูที่แดงก่ำของสือจินหว่าน ลูกกระเดือกก็กลิ้งไปมาอย่างควบคุมไม่ได้
จนกระทั่งนึกถึงการสัมผัสเมื่อกี้นี้แล้ว เขาก็พบว่าเลือดลมของตนเองเหมือนกำลังสูบฉีดขึ้นมา
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ถูกสติสัมปชัญญะดับมอดลงไปในชั่วพริบตา เขาจะเกิดความคิดเสน่หาทำนองนี้กับเธอได้อย่างไร? เขาบ้าไปแล้วเหรอ?!
เมื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ โอหยางจวิ้นจึงกลับสู่ภาวะสงบดังเดิม : “หวันหว่าน ที่คุณเข้ามา……”
สือจินหว่านนึกถึงเรื่องเมื่อกี้นี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้หัวใจจะยังเต้นรัวอยู่ แต่เธอยังคงหลับตาแล้วพูดว่า : “อาจวิ้นคะ เมื่อฉันกลับบ้าน คุณก็จะแต่งงานกับคุณน้ามู่เลยใช่ไหม?”
เขาตกตะลึง หัวใจรู้สึกขมขื่นขึ้นมาทันที
เธอยังอาลัยอาวรณ์อยู่ใช่ไหม? เขาไม่สามารถทนเห็นเธอทุกข์ใจได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอาของเธอ สิ่งเดียวที่จะให้เธอได้ ก็มีแค่ความรักทะนุถนอมของผู้ใหญ่เท่านั้น
เขาไม่แต่งงานไม่ได้ และเธอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แต่งงาน รอเธอเข้าใจดีแล้ว ก็จะค่อยๆลืมที่พึ่งพิงในวัยเยาว์เช่นนี้ไป สามารถยืนด้วยตัวเองได้ และแสวงหาการดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระ
แต่ก่อนเขาเคยได้ยินมาว่า เมื่อลูกสาวออกเรือนไปพ่อแม่ก็จะร้องห่มร้องไห้
เวลานี้ตอนนี้ เธอกับเขาที่รู้สึกไม่สบายใจ อารมณ์ก็น่าจะคล้ายๆกันใช่ไหม?
ด้วยเหตุนี้ โอหยางจวิ้นจึงรีบไปสวมชุดคลุมอาบน้ำ จากนั้นก็พูดว่า : “เอาล่ะ หวันหว่าน ฉันสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว”
เห็นเธอลืมตา เขาก็โน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้สายตาของตนเองอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ: “หวันหว่าน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อาจวิ้นจะเลือกช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่ในงานได้ยังไงล่ะ?”
เธอเงยหน้าขึ้น หัวใจสดใสอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าเธอจะได้เห็นเขาแต่งงานด้วยตาของตัวเอง คาดไม่ถึงว่า จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ
ทำไมเธอถึงเอาแต่ใจแบบนี้นะ เมื่อก่อนคุณน้ามู่ก็ปฏิบัติดีกับเธออย่างมาก ทำไมเธอถึงได้นิสัยแย่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ปรารถนาให้พวกเขาแต่งงานกัน?
เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านมีความคิดที่จะพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเพื่อตนเองแบบนี้ จึงรู้สึกละอายเล็กน้อย
เพื่อไม่ให้ตนเองกลายเป็นคนที่น่าอับอายขายขี้หน้า ดังนั้น สือจินหว่านจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองดูผ่อนคลายและมีความสุข เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “โอเคค่ะ ถึงเวลานั้น ต้องให้ฉันเป็นสักขีพยานด้วยนะ!”
เขาพยักหน้า เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่เธอยังเป็นเด็ก ลูบหัวของเธอเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “โอเค เชื่อฟังนะ อ่านหนังสือเสร็จแล้วอาบน้ำเข้านอนให้เร็วหน่อยนะ”
เธอพยักหน้า แล้วกล่าวกับเขาว่า: “ฝันดีค่ะ”
เนื่องจากเฉียวซืออยู่ภายใต้การดูแลของทางการทหารตั้งแต่เขาอายุได้10ขวบ เรียนก็ต้องเข้าเรียนในกองทัพทหารจริงๆ ดังนั้น ในช่วงสองปีมานี้จึงไม่ค่อยมีเวลาได้เจอสือจินหว่านเลยจริงๆ
เมื่อถึงสุดสัปดาห์ที่สอง ในที่สุดเขาก็มีเวลาว่างสองวัน ด้วยเหตุนี้ จึงกลับมาที่ตระกูลเพอร์เซลล์
เฉียวซือมีเชื้อสายอเมริกันแท้ ถึงแม้ว่าอายุจะยังไม่ถึง12ปี แต่ก็สูงถึง175เซนติเมตรแล้ว
เขาเดินมาถึงตรงหน้าของสือจินหว่าน โอบกอดเธอเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “ทำไมถึงเหมือนกับเด็กที่ไม่โตเลยล่ะ? ไม่ค่อยทานข้าวใช่ไหม?”
สือจินหว่านรู้สึกถึงความไม่ชอบธรรม ไม่ใช่ว่าเธอไม่โต เขาต่างหากที่โตเร็วเกินไป เธอจึงตามไม่ทัน!
เธอยิ้มแล้วกล่าวว่า: “ถ้าหากคุณโตขึ้นอีก ระวังเถอะต่อไปคงจะเป็นได้แค่นักกีฬา!”
เฉียวซือโบกไม้โบกมือ: “ฉันชอบเป็นทหารมากกว่า!” เหมือนกันกับพ่อของเขา
คนทั้งสองไม่ได้เจอกันนาน เป็นธรรมดาที่จะมีหัวข้อสนทนากันไม่น้อย
เฉียวซือเล่าสิ่งที่เขาได้พบเจอในกองทัพทหาร และสือจินหว่าน ก็เป็นฝ่ายที่คอยฟังอยู่ข้างๆโดยตลอด
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร เฉียวซือก็มายังห้องอาหาร เมื่อเห็นโอหยางจวิ้นเดินเข้ามาอย่างลำบากเล็กน้อย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม: “คุณอาจวิ้น คุณเป็นอะไรเหรอครับ?”
“ไม่เป็นไรหรอก พอดีตอนออกไปข้างนอกได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยน่ะ” โอหยางจวิ้นพูดอย่างหลีกเลี่ยง
สือจินหว่านก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องในวันนั้น แต่ต่อมาภายหลังได้รู้คร่าวๆว่า โอหยางจวิ้นจัดการพวกสองสามคนนั้น รวมถึงคนที่เสนอว่าจะจัดการพวกเขาในตอนนั้นก็ล้มเลิกไปทั้งหมด
เฉียวซือไม่ได้คิดมาก เขานั่งลงข้างๆสือจินหว่าน ด้วยไฟที่สว่างไสวในห้องอาหาร เพียงเขาหันไป คาดไม่ถึงว่าจะเห็นบาดแผลเล็กๆที่บริเวณลำคอของเธอ!
รูม่านตาสีฟ้าของเขาหดแคบลงทันที เข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า: “หวันหว่าน ทำไมคอของคุณถึงได้รับบาดเจ็บล่ะ?!”
สือจินหว่านฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “ไม่เป็นไรหรอก พอดีวันนั้นออกไปข้างนอกแล้วเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยน่ะ หายดีแล้วล่ะ คุณดูสิ สะเก็ดแผลหลุดออกหมดแล้ว อีกหน่อย รอยแผลก็จะหายไปแล้ว”
“หวันหว่าน ต่อไปคุณออกจากบ้านก็ต้องระมัดระวังหน่อยนะ” เฉียวซือพูดพลาง ตบเบาๆที่หน้าอก: “ต่อไป ฉันจะปกป้องคุณเอง!”
สือจินหว่านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “โอเค รับทราบ เอ่อคุณผู้ใหญ่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคิดว่าแก่กว่าฉันแค่ไหนเหรอ!”
“แก่กว่าคุณครึ่งปีกว่า!” เฉียวซือพูดพลาง มองไปยังโอหยางจวิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวว่า: “จะว่าไปแล้ว คุณเคยรับปากเอาไว้ว่าถ้าโตแล้วจะอยู่ด้วยกันกับฉัน!”
สือจินหว่านแสดงออกถึงความคาดไม่ถึง เธอมองไปยังเฉียวซือ เป็นเวลานานจึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนเธอยังเด็ก ดูเหมือนว่าจะเคยให้คำสัญญาอะไรกับเขาไว้จริงๆ
นั่นไม่ใช่เกมที่เด็กเล่นเหรอ?
เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองโอหยางจวิ้น
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีท่าทีตอบสนองมากนัก มีเพียงแค่หยุดชะงักการคีบอาหารไป
“เฉียวซือ นั่นคือคำพูดเล่นตอนเด็กๆน่ะ!” สือจินหว่านกล่าว: “แต่ไหนแต่ไรเราก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว คุณก็คือพี่น้องที่ดีของฉัน!”
แต่เฉียวซือส่ายหน้า กล่าวอย่างจริงจังขึ้นมาทันทีว่า: “หวันหว่าน พวกเราโตขนาดนี้แล้ว คุณก็คงเข้าใจความหมายของฉันดี ฉันชอบที่จะอยู่ด้วยกันกับคุณ ต้องการให้คุณเป็นแฟนของฉัน!”
ตะเกียบของสือจินหว่าน แทบจะตกลงพื้น
ในทันทีที่ถูกสารภาพ เธอก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย
ที่สำคัญคือ ยังอยู่ตรงหน้าโอหยางจวิ้น จู่ๆภายในใจของเธอก็มีความรู้สึกถึงการทรยศขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
เพียงแต่พอความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นมา เธอไม่ทันได้ระงับเอาไว้ ก็ถูกความรู้สึกไม่สบายใจเข้ามาแทนที่แล้ว
เธอมองดวงตาสีฟ้าของเฉียวซืออย่างจริงจัง แล้วกล่าวกับเขาว่า: “เฉียวซือ ฉันเข้าใจความหมายของคุณ เพียงแต่ ตอนนี้ฉันไม่มีความคิดที่จะไปไตร่ตรองถึงปัญหาด้านนี้หรอก อีกอย่าง ฉันคิดว่าพวกเราควรจะตั้งใจเรียนเป็นหลักนะ!”
“เพราะคุณอาจวิ้นไม่เห็นด้วยใช่ไหม?” เฉียวซือหันหน้ากลับ มองไปยังโอหยางจวิ้นอย่างขอความช่วยเหลือ
โอหยางจวิ้นวางตะเกียบลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งว่า: “เฉียวซือ เรื่องแบบนี้ ควรจะเป็นพ่อแม่ของหวันหว่านที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันไม่ใช่ผู้ปกครองของเธอ อีกอย่าง ท่าทีของหวันหว่านเมื่อกี้ก็แสดงออกชัดเจนแล้วนะ…..”
เฉียวซือห่อเหี่ยวเล็กน้อย เพียงแต่ กลับมาสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว: “ไม่เป็นไร หวันหว่าน ฉันจะรอคุณ”
ถึงอย่างไร เขาก็รอมาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่สนใจหรอกว่าจะต้องรอต่อไปอีกกี่ปี!
หัวข้อสนทนาหนึ่ง ได้จบสิ้นลงแล้ว และหลังจากนั้น เฉียวซือก็ไม่เอ่ยขึ้นมาอีก สือจินหว่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เพียงแต่ช่วงเวลาสุดสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวซือกลับมาถึงกองทัพทหาร ส่วนสือจินหว่านก็ใกล้ถึงวันที่จะเดินทางกลับประเทศแล้ว