ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 495 อายุสิบแปดปี พิธีบรรลุนิติภาวะ
เมื่อเห็นสายตาของโอหยางจวิ้นมองเธออย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านก็ประหม่าเล็กน้อย จึงรีบปล่อยเขาอย่างรวดเร็ว กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศว่า : “ฮ่าๆ ถือเป็นการเบิกบัญชีล่วงหน้า 6 ปีก่อนจูบแรกใช่ไหม?”
“จูบแรกไม่มีแล้ว” โอหยางจวิ้นกล่าว : “วันนั้นที่คุณเมา คุณจูบฉันไปแล้ว” ที่แท้เธอลืมไปแล้วจริงๆ
“ห๊ะ?” สือจินหว่านตาโต : “ฉันคิดว่านั่นคือความฝัน! ในฝันฉันยังยิ้มอย่างมีความสุข คิดในใจว่ามันเหมือนจริงมาก นี่ฉันทำมันลงไปจริงๆเหรอ!”
พูดจบ เธอก็ถอนหายใจ : “น่าเสียดายจัง เวลานั้นยังไม่ทันได้พิจารณาก็หลับไปซะก่อน……เมื่อกี้ก็ไม่นับว่าเป็นจูบแรกนะสิ!”
“เมื่อกี้เป็นครั้งแรกที่จูบตอนเช้า” โอหยางจวิ้นมองไปที่ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของหญิงสาว ราวกับถูกมนต์สะกด อดไม่ได้ที่จะโน้มเข้ามา จนกระทั่งริมฝีปากทั้งสองใกล้ชิดกัน
ชั่วพริบตาความรู้สึกต่างๆก็ระเบิดขึ้นมาบนผิวหนังอย่างชัดเจน ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างอารมณ์ที่เกิดจากความรักกับการทำหน้าที่ให้สำเร็จแล้ว
เพียงแค่สัมผัสเบาๆ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ก้มลงไปมองเธอที่ถูกทำให้ตกตะลึง แล้วพูดเบาๆว่า : “อรุณสวัสดิ์ คุณแฟนของฉัน!”
ในเวลานี้ พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และแสงแดดสีทองก็ปกคลุมบนร่างของพวกเขาทั้งสองคนด้วยโทนสีอบอุ่น
เป็นเวลานาน หัวใจของสือจินหว่านจึงค่อยๆสงบลง จนกระทั่งในดวงตามีความชื้นขึ้นมา
เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายจูบเธอด้วยตัวเอง และยังยอมรับว่าเธอคือแฟนของเขาอีก!
การดีใจอย่างมากเช่นนี้ เดิมทีไม่ใช่อยากจะยิ้ม แต่กลับอยากจะร้องไห้แทน
เธอฝังใบหน้าไว้ในอ้อมกอดของโอหยางจวิ้น : “อาจวิ้นคะ ฉันอยากให้ตนเองอายุ 18 ปีเร็วๆจัง!”
เขากอดเธอแล้วตบหลังเบาๆ : “เวลาผ่านไปเร็วมาก คุณจะต้องเติบโตขึ้น ยังจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจอีกมากมาย และได้รู้จักผู้คนมากขึ้น……”
จู่ๆเขาก็นึกถึงว่า หลังจากที่เธอกลับประเทศไป ข้างๆกายจำเป็นต้องมีเด็กผู้ชายดีๆมากมาย ระยะเวลา 6 ปีจะบอกว่านานก็ไม่นาน จะบอกว่าเร็วก็ไม่เร็ว แล้วตอนที่เธออายุ 18 ปี จะเป็นอย่างไร? ในใจของเธอยังคงจะมีแค่เขาอยู่ไหม?
แต่เธอดูเหมือนจะฟังความหมายแฝงในคำพูดของเขาออก จึงพูดตัดบทเขาว่า : “อาจวิ้นคะ ไม่ว่าข้างกายฉันจะมีคนเข้ามาอีกสักกี่คน ฉันก็จะชอบแค่คุณค่ะ!”
เขาลูบหัวของเธอ : “โอเค ฉันจะรอคุณนะ”
*
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เป็นเวลา 3 ปีแล้ว
สิอจินหว่านจบมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว เพราะเรียนหนักมาก อีกทั้งปิดเทอมฤดูหนาวก็มีกิจกรรมให้ทำ ฉะนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีจึงไม่ได้ไปประเทศอเมริกาเลย
แต่ในเวลาตลอดสามปีนี้ เธอส่งข้อความหาโอหยางจวิ้นทุกวัน ถ้าสะดวกก็จะแอบวิดีโอคอลด้วย
อยู่ในกล้องเขาเห็นการเจริญเติบโตของเธอในทุกๆวัน รายงานเขาเกี่ยวกับแผนการเดินทางทุกอย่างในแต่ละวันของเธอ ราวกับว่าพวกเขากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ทางไกลกัน
เพียงแต่หลังจากที่ได้คบกันเป็นแฟน พวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงความชอบกันอีกเลย
ตอนที่สือจินหว่านขึ้นมัธยมตอนต้น เป็นธรรมดาที่รอบๆกายจะมีเด็กผู้ชายมากมาย ถึงแม้ว่าคนจำนวนไม่น้อยจะแสดงออกหรือบอกเป็นนัยๆกับเธอ แต่เธอก็พูดตลอดว่า ‘ขอโทษนะ ฉันมีแฟนแล้ว’ ตอบกลับไป
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็น แล้วก็ไม่เชื่อว่าเธอมีแฟนแล้วก็ตาม
จนกระทั่งจบมัธยมศึกษาตอนต้น หยานโม่หานก็จบมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปีกว่า แต่เวลานี้เขาสูงกว่าสือจินหว่านแล้ว เขานัดเธอมาที่สวนดอกไม้หลังคฤหาสน์ของพวกเขา
เธอพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เกาะติดกับเธอเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ฉะนั้นสือจินหว่านก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่
จากไกลๆ เธอเห็นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายและกางเกงยีน ยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ถึงแม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่นับว่าสูงจนเกินไป แต่ก็มีเค้าโครงความเป็นวัยรุ่นชัดเจนขึ้นมาก
เขาเห็นเธอเดินเข้ามาจึงส่งยิ้มให้เธอ จากนั้นก็บิดนิ้วมือไปมา ดูเหมือนว่าจะประหม่าเล็กน้อย
จนกระทั่งสือจินหว่านเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา หยานโม่หานจึงพูดว่า : “หวันหว่าน”
เธอหัวเราะ : “โม่หาน ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยเรียกฉันอย่างนี้เลยนะ!”
เขาได้ฟังคำพูดของเธอ แววตาก็มีความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ยังคงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที : “สอบจบการศึกษาคุณทำได้ดีไหม?”
เธอพยักหน้า : “ค่อนข้างดีเลย! แล้วสอบปลายภาคของคุณล่ะ?”
เขาก็พยักหน้า : “อืม ก็ค่อนข้างดีเช่นกัน”
ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก หยานโม่หานก็เป็นคนทำลายความเงียบลง : “หวันหว่าน ที่ฉันนัดคุณมาเจอ คือมีคำพูดที่อยากจะบอกกับคุณ”
ใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย เพียงแต่ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้ม : “โอเค คุณบอกมาสิ”
หยานโม่หานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองผู้หญิงตรงหน้า เขามักจะคิดว่าเขาเกิดช้ากว่าเธอ ในที่สุดก็ต้องเสียเวลาไปกว่า 13 ปี ที่จะได้สูงกว่าเธอ ต่อไปยืนด้วยกัน ในที่สุดก็จะได้เหมาะสมกันสักที
เขาพูดว่า : “หวันหว่าน ฉันชอบคุณ เป็นแฟนกับฉันได้ไหม?”
ประโยคนี้ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาที่ปลายลิ้นไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว แทบจะเหมือนคำพูดที่หลุดปากออกมาตอนละเมอ แต่เวลานี้พูดออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าต้องใช้ความกล้าหาญไปมากแค่ไหน
เพราะเขารู้ดีว่า บางทีในอนาคต เธออาจจะยิ่งไปไกลจากเขาด้วยเหตุผลนี้
แต่เมื่อได้เห็นว่าข้างกายของเธอนานวันยิ่งมีผู้ชายมาตามจีบมากขึ้น แล้วนึกถึงว่าเธอกำลังจะขึ้นมัธยมปลาย พวกเขาอาจจะได้เจอกันน้อยลง หยานโม่หานจึงรู้สึกเหมือนกับว่า รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“โม่หาน…..” สือจินหว่านมองดวงตาที่เฝ้ารอและเป็นกังวลของหยานโม่หาน เวลานี้ ก็รู้สึกสงสารน้องชายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กคนนี้
แต่เธอก็เข้าใจว่า เรื่องความรักแบบนี้ กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องมีคนที่เจ็บปวด เธอไม่อาจทำให้เขาเสียเวลาได้ จึงต้องใช้โอกาสตอนที่เขายังเด็ก พูดทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดเจน
“อันที่จริงฉัน มีคนที่ชอบแล้วล่ะ” สือจินหว่านกล่าว : “โม่หาน ขอโทษนะ ฉันเห็นคุณเป็นน้องชายมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสูงกว่าฉันแล้ว แต่ว่า สำหรับในใจของฉัน คุณยังคงเป็นน้องชายที่รักของฉันเสมอมา ดังนั้น…..”
หยานโม่หานเม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาที่สวยงามของเขาเฉียบคมอย่างมาก : “หวันหว่าน คุณพูดมาโดยตลอดว่าคุณมีคนที่ชอบอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลที่คุณปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อปฏิเสธฉันใช่ไหม?”
“โม่หาน ไม่ใช่จริงๆนะ” สือจินหว่านเงยหน้ามองเขา : “เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกคุณได้ แต่ฉันสาบานได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณจริงๆ ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันชอบเขามาตั้งแต่ตอนอายุ11ปีแล้ว”
เลือดฝาดบนใบหน้าของหยานโม่หาน ซีดเผือดไปเล็กน้อย : “เฉียวซือเหรอ? ผู้ชายอเมริกันคนนั้นเหรอ?”
เธอส่ายหน้า: “ไม่ใช่ ฉันไม่สะดวกที่จะบอก แต่เขารับปากฉันแล้วว่า อีกสามปี จะอยู่ด้วยกันกับฉัน”
สือจินหว่านพูดพลางกล่าวโน้มน้าวอีกว่า : “โม่หาน หลังจากนี้ไปคุณก็คือน้องชายของฉัน โอเคไหม? คุณขึ้นมัธยมต้น มัธยมปลายแล้ว ก็จะได้เจอผู้หญิงที่ดีมากมาย…..”
“หวันหว่าน ฉันชอบเพียงแค่คุณ” เขาตัดบทเธอ แล้วชำเลืองมองเธอทีหนึ่ง จากนั้น ก็หันเดินจากไป
“โม่หาน——” สือจินหว่านเรียกเขาจากด้านหลัง แต่หยานโม่หานไม่หันกลับมามองเลย
เธอถอนหายใจแล้วส่ายหน้า เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ มีเพียงตัวเขาเองที่จะเข้าใจได้ชัดเจน
สองสามวันหลังจากนั้น หยานโม่หานก็ไม่เคยเข้ามาหาสือจินหว่านอีก กระทั่ง งานเลี้ยงของสองตระกูล หยานโม่หานก็ไม่ได้มาในงาน
วันนี้ สือจินหว่านยังคิดว่าควรจะบอกกับสือมูเฉินอย่างไรดีว่าเธออยากไปอเมริกา ได้ยินข่าวมาจากทางด้านออเนอร์ว่าเย่ซีโจวป่วยหนัก
ได้ยินข่าวนี้แล้ว หัวใจของสือจินหว่านก็เป็นทุกข์ทันที ตอนที่อยู่อเมริกา ปู่ทวดของเธอก็ดีกับเธอมาก แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงเจ้าพ่อของออเนอร์ ก็ยังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมที่สวรรค์ลิขิตไว้
ในคืนนั้น สือจินหว่าน สือมูเฉิน และหลานเสี่ยวถาง จึงเริ่มออกเดินทาง
และหลานเซี่ยวเฉิง ในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติพิเศษจากกองทัพทหาร ไปพร้อมกันกับทหารท่านหนึ่งและเย่เหลียนอี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ออกจากแผ่นดินเกิด และเหยียบเข้าดินแดนที่เย่เหลียนอีอาศัยอยู่ตั้งแต่วัยเด็ก
ทุกคนทยอยกันมาถึงออเนอร์ นี่ก็คือการรวมตัวที่มีความหมายอย่างแท้จริงของครอบครัว เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า จะต้องแลกด้วยความตายของชายชราที่เฉลียวฉลาดท่านหนึ่ง
ก่อนจะสิ้นลม เย่ซีโจวกุมมือของหลานเซี่ยวเฉิงและเย่เหลียนอีเอาไว้ เห็นจอนผมทั้งสองข้างที่หงอกขาวของลูกสาวและลูกเขยในเวลานี้แล้ว ก็ทอดถอนใจ: “ขอโทษนะ ที่หลายปีมานี้ ทำให้พวกคุณต้องลำบาก!”
หลานจื่อเฉินและหยิ่นโม่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่อย่างมาก
พิธีฝังศพของเย่ซีโจวยิ่งใหญ่และน่านับถืออย่างมาก และในวันเดียวกันนั้น สือจินหว่านก็ได้พบกับโอหยางจวิ้นที่ไม่ได้พบกันมาตลอดหนึ่งปี
เขาเป็นตัวแทนตระกูลเพอร์เซลล์เพื่อเข้ามาไว้อาลัย สวมชุดสูทสีดำทั้งชุด สีหน้าแฝงไปด้วยความเศร้าโศกและรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
เย่ซีโจวที่เคยเป็นอดีตคู่ต่อสู้คนนี้ ขณะนี้เป็นพันธมิตรกันแล้ว นำปาฏิหาริย์มาสู่ออเนอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังเป็นบุคคลรุ่นปู่ของเขา ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะรุ่งโรจน์มากแค่ไหน ก็ยังคงกลายเป็นเพียงดิน ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตัวหนังสือดำกระดาษขาว จนกลายเป็นสัญลักษณ์ในที่สุด
เขามองสาวน้อยของเขาจากไกลๆ ตลอดหนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน เธอเติบโตขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เธอจึงมองเข้ามา ดวงตาแดงก่ำ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเสียชีวิตของปู่ทวดหรือเป็นเพราะเขา
ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร อยากที่จะโอบเธอมาไว้ในอ้อมกอดเพื่อปลอบโยน
พิธีฝังศพเสร็จสิ้น สือจินหว่านก็ตามสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางกลับบ้าน กระทั่งไม่มีโอกาสที่จะพูดคุยกับโอหยางจวิ้นเป็นการส่วนตัวเลย
เพียงแต่ เธอรู้ว่าอนาคตยังอีกยาวไกล พวกเขายังมีเวลาอีกมากที่จะอยู่ในอเมริกา ดังนั้น เธอยังคงมีโอกาส
เย็นวันนั้น โอหยางจวิ้นกลับมาถึงตระกูลเพอร์เซลล์ พอเหยียบเข้ามาในบ้าน ทันทีก็ได้ยินว่าโรคหัวใจของแดเนียลปู่ของตนเองกำเริบรุนแรง
เขารีบเข้าไป เห็นคุณปู่ที่เคยฮึกเหิมเด็ดเดี่ยวท่านนั้นอยู่บนเตียง ใบหน้าไม่มีราศีอีกแล้ว เสียงก็ไม่ดังกังวานอีกแล้ว จึงรู้สึกหดหู่ใจ : “คุณปู่ คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
“คาดว่าคงจะวันสองวันนี้แหละ!” แดเนียลกล่าวอย่างช้าๆ : “เพียงแต่ ในที่สุดแล้วก็แซงตาเฒ่าเย่ซีโจวคนนั้นไปไม่ได้!”
โอหยางจวิ้นส่ายหน้า : “คุณปู่ คุณจะต้องดีขึ้น หลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่า…….”
“แก่แล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ ช่วงสิบปีมานี้ ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้น เทียบกับตอนหนุ่มอายุสิบกว่าๆไม่ได้เลยจริงๆ!” แดเนียลทอดถอนใจ : “อาจจะอยู่ไม่ถึงเห็นคุณแต่งงานแล้วล่ะ Bojan หลายปีมานี้ ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ ช่วยคุณแบกรับความกดดันจากพ่อของคุณ แต่ว่า สรุปแล้วผู้หญิงที่คุณเอ่ยถึงคือใครกัน?”
“คือหวันหว่านครับ” โอหยางจวิ้นกล่าว : “ฉันกำลังรอให้เธอเติบโตขึ้น”
แดเนียลตกตะลึงอย่างมาก เพียงแต่ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ในดวงตาก็เหมือนมีการนึกถึงอดีตอย่างทอดถอนใจ : “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง! มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ…….ถ้าในปีนั้นฉัน…….”
คำพูดช่วงท้าย เขายังไม่ทันได้พูดจบ มือของเขาก็หล่นลงมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวจึงกลายเป็นความลับไปตลอดกาล
ชายคนนี้ที่แอบแข่งขันกับเย่ซีโจวมาครึ่งค่อนชีวิต ในที่สุดวันต่อมา ก็จากไปตามชายชราท่านนั้น