ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 512 ดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันอย่างที่เคยวาดฝันไว้ จบแฮปปี้เอนดิ้ง
- Home
- ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ
- บทที่ 512 ดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันอย่างที่เคยวาดฝันไว้ จบแฮปปี้เอนดิ้ง
ดังนั้นสือจินหว่านนอกจากล้างหน้า แปรงฟันและอาบน้ำแล้ว เธอก็ไม่เคยลุกจากเตียงเลยจริงๆ
จนกระทั่งค่ำ เธอก็นึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง และพูดกับโอหยางจวิ้น: “อาจวิ้นคะ คุณคิดว่าฉันจะตั้งท้องไหมคะ?”
เขามองดูเธอและพูดอย่างจริงจังว่า: “อาจเป็นไปได้”
ใบหน้าของสือจินหว่านซีดเซียว: “ถ้าเช่นนั้นฉันควรทำอย่างไรดีล่ะคะ?”
“หวันหว่าน ผมรู้ว่าคุณยังเด็กมาก ต้องเป็นแม่คนเร็วขนาดนี้แน่นอนว่าคุณไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ ” โอหยางจวิ้นพูดอย่างจริงจัง: “ดังนั้น ต่อไปนี้เราจะป้องกันการตั้งครรภ์ทุกครั้ง รอเมื่อคุณพร้อมเราค่อยมีก็ได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้คุณห้ามทานยานะมันไม่ดีต่อร่างกาย และถ้าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ นั่นก็เพราะฟ้าลิขิตเอาไว้แล้ว คุณคิดว่าไงล่ะ ?”
สือจินหว่านมองชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ราวกับว่าเขานึกถึงเธออยู่เสมอ และประนีประนอมกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ในฐานะทายาทคนเดียวของตระกูลเพอร์เซลล์ เขารอเธอมาหลายปีภายใต้แรงกดดัน ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมที่จะมีลูก แม้ว่าเขาอยากมีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ทำได้แต่รอต่อไป ถ้าเช่นนั้น……
เธอกอดแขนของเขา: “อาจวิ้น อันที่จริงแล้วถ้าคุณอยากมีลูกเร็วหน่อยก็ได้นะคะ เป็นแบบนี้ก็ดีคุณจะได้เกษียณเร็วขึ้นไง ……”
โอหยางจวิ้นสบตากับสือจินหว่าน และหัวใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดแทนเธอทุกอย่าง แล้วเธอก็เป็นแบบนั้นเช่นกันไม่ใช่หรือ?
แต่ไหนแต่ไรมาเธอเป็นคนมีเหตุมีผล และไม่เคยทำให้เขาต้องรู้สึกลำบากใจ ดังนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเธอจับใจ
เขาโน้มตัวและจูบริมฝีปากของเธอ: “หวันหว่าน หลังจากนี้อีกหนึ่งปีเราค่อยมีแล้วกัน ในระหว่างปีนี้เราจะใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด คุณตั้งใจเรียน และวันหยุดสุดสัปดาห์ผมจะพาคุณไปท่องเที่ยว ชดเชยก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคู่รักกันเลย คุณว่าดีไหม?”
เธอพยักหน้า: “โอเคค่ะ”
เนื่องจากมหาวิทยาลัยใกล้เปิดเทอมแล้ว ดังนั้นหลานเสี่ยวถางอยู่ honor ตลอด จนกระทั่งมหาวิทยาลัยของสือจินหว่านเปิดเทอม เธอจึงกลับประเทศพร้อมกับสือมูเฉิน
เย่เหลียนอีและหลานเซี่ยวเฉิงต่างก็แก่แล้ว และพวกเขาไม่สะดวกที่จะขึ้นเครื่องบินเป็นเวลาสิบชั่วโมงเพื่อมาร่วมแต่งงานของหวันหว่านได้ ดังนั้นพวกเขาจึงฝากคำอวยพรมาให้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสือจินหว่านสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและต้องกลับไปทำเรื่องย้ายนั้น เธอจึงถือโอกาสนี้พาโอหยางจวิ้นกลับไปเยี่ยมพวกเขาอย่างเป็นทางการ
อีกทั้งยังมีหันจื่ออี้และฮั่วชิงชิงก็ส่งคำอวยพรฝากมาให้เช่นกัน เพราะในวันแต่งงานของสือจินหว่านบังเอิญว่าฮั่วเหมียวเหมี่ยวได้ให้กำเนิดลูกคนที่สองเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลามาร่วมแสดงความยินดี เพียงแต่ฝากของขวัญมาให้เท่านั้น
ระยะเวลาหนึ่งปีนั้นยาวนานมาก แต่ดูเหมือนว่าจะผ่านไปเร็วมากเช่นกัน เนื่องจากวางแผนที่จะมีลูกไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นสือจินหว่านจึงเรียนอย่างหนักเพื่อเก็บหน่วยกิตให้ได้มากที่สุด และเพื่อในอนาคตจะสามารถสำเร็จการศึกษาก่อนกำหนด
ในวันนี้ในที่สุดวันปิดเรียนภาคฤดูร้อนก็มาถึง เธอและโอหยางจวิ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้
และสือมูเฉินและคนอื่นๆ ก็ใช้โอกาสวันหยุดยาวนี้ออกไปท่องเที่ยวเช่นกัน และนัดพบกับสือจินหว่านที่ประเทศกรีซ
สมัยที่สือจิ่งเหยียนเรียนอยู่ประถมนั้นเขาได้เรียนข้ามชั้น ดังนั้นเขาอายุแค่17 ปีก็เรียนจบมัธยมปลายแล้ว และนี่ก็ถือว่าเป็นวันหยุดยาวที่ผ่อนคลายที่สุดของเขา
วันนี้ เกือบทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว ยกเว้นหยานโม่หานที่กำลังเรียนพิเศษโรงเรียนกวดวิชาเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สาม
เป็นการรวมตัวที่หาได้ยากมาก ไม่เพียงแต่เด็ก ๆ จะมีความสุขแล้ว และผู้ใหญ่ก็ค่อนข้างตื่นเต้นเช่นกัน
หยางชิงเจ๋อชอบการถ่ายภาพ และฟู่สีเกอชอบออกแบบสไตล์ เมื่อทั้งสองคนมารวมกันตัวกันแบบนี้ พวกเขาก็เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
ที่ริมทะเล ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับแสงแดดอยู่นั้น และพวกเขาก็แต่งตัวแฟชั่นจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องเหลียวมอง
ฟู่สีเกอพอใจกับผลลัพธ์ในตอนนี้อย่างมาก และก้มศีรษะลงมองเฉียวโยวโยวที่นอนอยู่บนตักของเขาพร้อมกล่าวว่า :“เจ้าโยวเด็กโง่ รีบลุกขึ้นแล้วให้ชิงเจ๋อถ่ายภาพศิลปะการตกหลุมรักอีกครั้งในวัยกลางคนของสองเรากันเถอะ!”
“คุณคนเดียวเหอะที่เป็นวัยกลางคนอ่ะ! เฉียวโยวโยวกรอกตาใส่เขา: “อวี้เฉิน หยู่ปิง ล้วนอายุสิบแปดปีแล้ว!”
“ไม่เป็นไร พวกเขาไม่รู้เรื่องหรอก เราไปแอบถ่ายรูปกันเถอะ!” ในขณะที่ฟู่สีเกอพูดอยู่นั้น และทันใดนั้นเขาก็เห็นอะไรบางอย่างดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า: “ผมเพิ่งจะนึกทรงใหม่ขึ้นมาได้ รับรองว่าคุณสามารถโพสต์ลงโชว์ในโซเชียลได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อเฉียวโยวโยวได้ยินเช่นนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เธอยืดตัวขึ้นและเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ฟู่สีเกอขยิบตาให้หยางชิงเจ๋อ ทันใดนั้นหยางชิงเจ๋อก็เข้าใจได้ในทันที
เมื่อมองดูภาพ หยางชิงเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ซูสือจิ่นที่อยู่ข้าง ๆก็รีบเดินเข้ามาดู จากนั้นเธอก็หัวเราะไม่หยุดเช่นกัน
เฉียวโยวโยวรู้สึกแปลกใจอย่างมาก: “รูปถ่ายก็ไม่ได้แปลกประหลาดนี่น่า?”
เธอรีบไปดู เมื่อเหลือบมองดูสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปหน้าดำคล่ำเครียด เธอรีบหันกลับไปคิดบัญชีกับฟู่สีเกอทันที!
เพราะมีสุนัขจรจัดตัวหนึ่งกำลังยืนฉี่อยู่ไกล ๆ ที่ตรงนั้นค่อนข้างสูง เมื่อสุนัขกำลังฉี่ สุนัขก็ยกขาขึ้น หยางชิงเจ๋อใช้เทคนิคการถ่ายโดยรูปภาพนั้นเหมือนเฉียวโยวโยวกำลังอาบน้ำฉี่ของสุนัขอยู่ยังไงอย่างงั้นแหละ ……
ทันใดนั้นเฉียวโยวโยวได้เข้าไปตีฟู่สีเกอไม่หยุด
สือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางชินจนไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร และพวกเขายังคงพูดคุยกับสือจินหว่านและโอหยางจวิ้น
และเด็ก ๆ ก็รักกันและสามัคคีกันมากขึ้น
ฟู่อวี้เฉินเล่าประวัติความรักของเขาให้กับหยานมู่จิ่นฟัง สือจิ่งเหยียนนั่งถัดจากหยานมู่จิ่น และได้แสดงความคิดเห็นเป็นครั้งคราว และในบางครั้งก็ม้วนผมของหยานมู่จิ่นเล่น
แม้ว่าฟู่หยู่ปิงจะเป็นน้องสาวของฟู่อวี้เฉิน แต่เธอก็ไม่ได้ไว้หน้าพี่ชายของเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอคิดว่าเขาน่าเบื่อ เธอจึงหยิบหูฟังออกมาและเริ่มเปิดเพลงฟัง
ฟู่อวี้เฉินพูดเก่งอย่างมาก หยานมู่จิ่นรู้สึกอิจฉาอย่างมาก และหันหน้าไปพูดกับสือจิ่งเหยียนที่อยู่ข้าง ๆว่า: “พี่จิ่งเหยียน ฟังเขาพูดแล้วฉันรู้สึกอยากมีความรักแล้วอ่ะ!”
สือจิ่งเหยียนบีบแก้มของเธอเบา ๆ: “ห้ามมีความรักก่อนวัยอันควร เป็นเด็กดีต้องเชื่อฟัง”
เธอเม้มริมฝีปาก: “ค่ะ”
สือจิ่งเหยียนพูดยั่วยวน: “เป็นเด็กดี และถ้าในมหาวิทยาลัยของผมมีกิจกรรมชมรมผมจะเชิญชวนคุณเข้าร่วมด้วย ”
เมื่อหยานมู่จิ่นได้ยินเช่นนั้นแววตาก็เป็นประกาย : “ได้สิ! พี่จิ่งเหยียน ฉันจะไม่มีความรักก่อนวัยอันควรแล้ว!” นี่เธอเพิ่งจะเตรียมตัวเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เอง ถ้าเธอสามารถเข้าร่วมกิจกรรมชมรมของมหาวิทยาลัยได้แล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนๆเธอก็จะสามารถมีเรื่องคุยได้!
“แล้วถ้าหากมีคนมาสารภาพกับคุณล่ะ?” เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
เธอแสดงความจงรักภักดีอย่างรวดเร็ว: “ฉันจะโทรบอกคุณทันที!”
“อืม ฉลาด!” สือจิ่งเหยียนคว้ามือหยานมู่จิ่นแล้วบีบเล่น: “ข้างนอกมีคนนอกมากมาย คุณไร้เดียงสาเกินไป อย่าถูกหลอกง่าย ๆล่ะ!”
“มีพี่จิ่งเหยียนอยู่ทั้งคน ฉันจะไม่ถูกหลอกง่ายดายหรอกค่ะ!” หยานมู่จิ่นยิ้มให้กับสือจิ่งเหยียน
แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เล็กจนโต ลัทธิหลักสามประการที่เธอเชื่อก็คือ: สิ่งที่พี่จิ่งเหยียนพูดนั้นล้วนเป็นคำพูดที่ถูกต้อง เชื่อฟังพี่จิ่งเหยียน และทำตามคำพูดของพี่จิ่งเหยียนต้องดีอย่างแน่นอน!
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ!” สือจิ่งเหยียนกล่าว”เสี่ยวมู่จิ่น เธอน่ารักมากจริงๆ!”
หยานมู่จิ่นรู้ว่าสือจิ่งเหยียนไม่ค่อยยกย่องใครง่ายๆ และทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต้นแรงด้วยความปิติยินดี
เธอมองไปทางฟู่หยู่ปิงที่กำลังฟังเพลงอยู่ และจู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าพี่สาวนั่นดูเป็นผู้หญิงและสวยอย่างมาก เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ และขยับเข้าไปพูดกระซิบข้างหูของสือจิ่งเหยียนว่า: “พี่หยู่ปิงล่ะคะ?”
สือจิ่งเหยียนดูเหมือนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “ก็น่ารักดี”
หยานมู่จิ่นรู้สึกเศร้า และความคิดที่อยู่ในใจของเธอดูเหมือนจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เธอหวังจริงๆ ว่าเขาจะพูดว่าเธอดีกว่า
ดังนั้น แสงในดวงตาโตของเธอจึงมืดมนลงทีละน้อย เธอเงียบพร้อมกับก้มศีรษะลงขยี้กระโปรง
ในเวลานี้ ไหล่ของเธอเหมือนมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาจับ และได้ยินน้ำเสียงของชายคนหนึ่งกระซิบข้างหูเธอว่า:“แต่ผมเพิ่งเปรียบเทียบดูแล้วรู้สึกว่าคุณน่ารักกว่านะ ”
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกดีใจอย่างมาก แต่กลับรู้สึกผิดต่อฟู่หยู่ปิงเล็กน้อย
เขาช่วยเธอคิดหาเหตุผลอย่างรอบคอบ: “เสี่ยวมู่จิ่น นี่เธอพัฒนาขึ้นมากเลยนะ เยี่ยมมากเลยล่ะ พยายามต่อไปนะ!”
ในเวลานี้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาชาวเอเชียเดินมาที่พวกเขาและถามทางกับพวกเขา
บังเอิญมูเฉินรู้จักพอดี เขาจึงอธิบายให้เขาฟัง และเขากล่าวอย่างสุภาพว่า: “ขอบคุณครับคุณลุง!”
หลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหาสามีและภรรยาที่อยู่ด้านหลังพูดอย่างเสียงดังว่า: “พ่อครับ แม่ครับ ด้านหน้านั้นก็คือโรงแรมที่โด่งดังในโซเชียลแห่งนั้นครับ!”
สือมูเฉินมองตามเด็กหนุ่มไปทางนั้น และอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าออกมาด้วยความสงสัย
หลานเสี่ยวถางสังเกตเห็นการแสดงออกของเขา ทันใดนั้นเธอก็มองตามไปด้วย
ทางนั้น สามีและภรรยาคู่นั้นเดินเข้าไปแล้ว เมื่อเห็นทุกคนพวกเขาก็หยุดเดินทันที
“มั่วหลิงชวน!” สือมูเฉินยืนขึ้น: “ไม่คิดว่าจะพบคุณที่นี่!”
นับตั้งแต่มั่วหลิงชวนทุ่มเทพลังงานส่วนใหญ่ของเขาลงในธนาคารมั่วซื่อกรุ๊ปแล้ว พวกเขาก็ติดต่อกันน้อยลง ดังนั้น ทุกคนจึงไม่ได้เห็นหน้ากันมานานหลายปีแล้ว
หยานชิงเจ๋อก็วางกล้องลง แล้วเดินเข้าไปตบไหล่ของมั่วหลิงชวน และอุทานว่า: “ผู้ก่อวินาศกรรม ไม่ได้เจอกันนาน!”
ในขณะนี้หลานเสี่ยวถางยิ้มและทักทายเถาอวี่มั่ว อีกทั้งเถาอวี่มั่วเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเธอและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็ดีมากอีกด้วย
อีกด้านหนึ่ง เด็กชายรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “คุณพ่อ คุณแม่ครับ รู้จักคุณอาและคุณป้าเหรอครับเนี่ย?”
“ใช่จ๊ะ เมื่อก่อนเคยเป็นคู่ต่อสู้กันและเคยเป็นสหายร่วมรบกันมาก่อน!” ในขณะที่มั่วหลิงชวนพูดอยู่นั้น: “นี่คือภรรยาของผมเถาอวี่มั่ว และนี่ลูกชายของผมมั่วฮ่าวเสวียน!”
“สวัสดีครับ คุณอาและคุณป้า!” มั่วฮ่าวเสวียนกล่าวทักทายทุกคน เมื่อเห็นว่ามีเด็กในวัยเดียวกันอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น
สือจินหว่านและโอหยางจวิ้นก็มาด้วย และเมื่อมั่วหลิงชวนเห็นแหวนเพชรในมือของพวกเขา และรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง: “เฮ้ นี่สือมูเฉิน ลูกสาวนายแต่งงานแล้วเหรอ?”
“ทำไม นายแพ้ฉันอีกแล้ว ไม่พอใจล่ะสิ?” สือมูเฉินเลิกคิ้ว
“ฝีมือฉันอ่อนหัดกว่านายจริง ๆแหละ!” มั่วหลิงชวนถอนหายใจ
ทุกคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และเด็ก ๆ ก็มารวมตัวกันเล่นอย่างรวดเร็ว มั่วหลิงชวนและเถาอวี่มั่วก็ไม่รีบร้อนไปที่โรงแรมแห่งนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้มั่วฮ่าวเสวียนสนทนากับสือจิ่งเหยียนและคนอื่นๆ
หยานชิงเจ๋อยังคงถ่ายภาพต่อไป และตอนนี้ก็กลายเป็นช่างภาพให้กับผู้หญิงหลายคนแล้ว
ต้องบอกว่าหน้าตาสวยมากอยู่แล้ว อีกทั้งได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดังนั้นสาวๆที่อยู่หน้ากล้องก็หยุดโพสท่า ถ้าหากไม่เห็นลูกๆที่โตขนาดนี้แล้วล่ะก็ คงคิดว่าพวกเธอยังเป็นวัยรุ่นเสียอีกนะ
หลังจากที่หยานชิงเจ๋อถ่ายภาพเสร็จแล้ว ซูสือจิ่นก็ใช้ WiFi ในตัวของกล้องส่งรูปภาพไปยังโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
เธอเลือกภาพถ่ายสองสามภาพ ใช้แอพแต่งรูปปรับแต่งเล็กน้อย และอัพโหลดลงในโซเชียล
ไม่นาน ก็ได้รับการถูกใจและความคิดเห็นมากมาย
ข้อความที่ส่งมาเร็วที่สุด คือลั่วฝานหวา เขาแสดงความคิดเห็นว่า: “ดูเหมือนอายุเพิ่งจะ 30 เอง ไม่เลวจริง ๆ!”
ข้อความต่อมา จินเยว่ฉีแสดงความคิดเห็นว่า: “พวกเราอายุแค่ 18 ปีเองเหอะ โง่มากจริง ๆเลย!”
“นี่ลูกสาวของคุณอายุเกือบ 18 ปีแล้วนะ นี่คุณยังกล้าพูดว่าคุณอายุแค่ 18 ปีเนี่ยนะ?” ลั่วฝานหวาพูดติดตลกว่า: “แต่คุณตั้งครรภ์ตอนอายุ 12 ปี และมีลูกตอนอายุ 13 ปี ตอนนี้คุณอายุ 30 พอดี”
เมื่อซูสือจิ่นเห็นสิ่งนี้ เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ข้างๆ กัน หยานชิงเจ๋อเห็นเธอยิ้ม ดังนั้นเขาจึงแย่งโทรศัพท์ไปดู และเมื่อเห็นข้อความเหล่านั้นเขาก็หรี่ตาเล็กน้อย
เขาแสดงความคิดเห็นกลับอย่างรวดเร็ว: “ในสายตาของผมแล้วนั้นภรรยาของผมมีอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น! นอกจากนี้ ใครก็ตามที่ต้องการแสดงความรักก็กลับไปแสดงที่บ้านโน้น อย่ามาทำให้ภรรยาของผมเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น!”
หลังจากพูดจบ เขาเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า: “ลืมแนะนำตัว: ผมคือสามีของเสี่ยวจิ่น หยานชิงเจ๋อ”
ซูสือจิ่นรับโทรศัพท์มา และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอรู้สึกเสียหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไหนแล้ว ……
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน และทุกคนก็ถ่ายรูปกันหลังจากชมพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แล้วพวกเขาก็กลับไปที่โรงแรมที่โด่งดังในโซเชียลแห่งนั้นทันที
พอตกค่ำ หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จก็ฟังเสียงคลื่นด้วยกัน แล้วก็รอวันใหม่ไปด้วยกัน ……