ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 61 เธอไปจูบกับผู้ชายคนนั้น
หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้น ก่อนจะหันไปยิ้มให้หันจื่ออี้ครั้งหนึ่ง “ไม่ได้ร้องเพลงมานานมากแล้วละค่ะ ร้องไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่”
หันจื่ออี้เอ่ยว่า “ไปเถอะ ฉันจะร้องเป็นเพื่อนเธอเอง”
“ไม่ละค่ะ” หลานเสี่ยวถางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แทบจะต่ำลงหลายส่วนจากฝั่งของสือมูเฉินที่อยู่ทางด้านข้างเท่านั้น ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ประเดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้วน่ะค่ะ”
หันจื่ออี้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแตงโมหนึ่งชิ้นขึ้นมารับประทานหนึ่งคำ สบสายตามองไปทางสือมูเฉิน ราวกับว่าพึ่งจะเห็นเขา “ที่แท้คุณสือก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะครับ”
สือมูเฉินเบนสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ออกมา “คุณหันก็ควรจะรู้นี่ครับ ว่าผมน่ะมีสิทธิ์ที่จะมามากกว่า?”
ผู้คนที่อยู่รอบข้างเห็นว่าหนุ่มหล่อหน้าตาดีทั้งสองคนที่แท้ก็รู้จักกัน อีกทั้งความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดูราวกับว่าจะไม่ได้สามัคคีกลมเกลียว พลันนั้นเอง ผู้คนทั้งหมดต่างก็เริ่มซุบซิบนินทา
หันจื่ออี้เอ่ยว่า “แต่ว่านะครับ คุณสือมาแล้วกลับไม่ร้องเพลงเลย กลับกันกลับถือโทรศัพท์ทำอย่างกับเป็นพวกสังคมก้มหน้า หรือว่าจะได้รับชื่นชมไม่พออย่างนั้นหรือครับ?”
ริมฝีปากของสือมูเฉินยกยิ้มขึ้นอย่างคนมีอารมณ์ขัน “คุณหันอยู่เมืองนอกมาหกปี ยังสามารถร้องเพลงภาษาจีนของประเทศได้ด้วยหรือครับเนี่ย? ทักษะการจำไม่เลวเลยนะครับ”
เขาพูดไป ขาทั้งสองข้างก็แปรเปลี่ยนไปไขว้กันอีกทาง ก่อนจะนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางเกียจคร้าน แขนอ้าเปิดกว้าง มันไปวางแบบประจวบเหมาะเอาไว้บนเก้าอี้ที่อยู่ทางด้านหลังของร่างหลานเสี่ยวถางพอดี ดูแล้วเหมือนราวกับว่านำหลานเสี่ยวถางมากอดเอาไว้ในอ้อมกอด
ในตอนที่หันจื่ออี้มาถึงแล้วสองสามวินาทีต่อจากนั้น ฟู่สีเกอก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเอง เขาก็ไม่ได้ร้องเพลงต่อแล้ว แต่กลับโยนไมโครโฟน แล้วเดินเข้าไปทางสือมูเฉิน
สถานการณ์แบบนี้ หาได้ยากมากจริง ๆ อย่างดีที่สุดทั้งสองคนก็ชกต่อยกันสักหนึ่งยก เขาจึงถือโอกาสนี้บันทึกวิดีโอเอาไว้ รอให้หยานชิงเจ๋อกลับจีนมาแล้ว ก็จะส่งไปให้เขาดู!
เป็นเพราะว่าฟู่สีเกอก็จากไปเสียแล้ว ดังนั้น เดิมคนที่อยู่ในเขตลานเต้นทั้งหมดก็กุลีกุจอตามไปจนถึงเขตพักผ่อนแล้ว ที่นั่งที่เดิมก็ไม่ค่อยจะดูดีสักเท่าไหร่กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายในทันที
หัวหน้าห้องจางเฉินเห็นว่าทุกคนรวมตัวกันอยู่ เป็นเพราะว่าคนเยอะ จึงไม่ได้สังเกตท่าทางอันแสนจะตึงเครียดของหันจื่ออี้และสือมูเฉินเลย ดังนั้นแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปที่กลางกลุ่มผู้คนก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “นักเรียนทุกคนจ๊ะ พวกเรามาเล่นเกมกันสักเกมหนึ่งกันเถอะ! เกมนี้มีชื่อว่าเกมปิดไฟหนึ่งนาที”
เธออธิบายต่อว่า “ผู้ชายกับผู้หญิงที่นี่แบ่งออกเป็นสองกลุ่มนะ หลังจากที่ยืนเสร็จแล้ว ฉันจะปิดไฟทุกดวงในนี้ หลังจากนั้น ภายในหนึ่งนาทีก็จับคู่กันได้ตามอัธยาศัย แน่นอน การจับคู่ไม่กำหนดว่าจะเป็นชายกับหญิง ชายกับชายก็สามารถจับคู่กันได้นะ! ถ้าหากว่าไม่ได้โดนจับคู่ ก็ต้องแสดงอะไรสักอย่างหนึ่ง!”
เมื่อฟู่สีเกอได้ยินดังนั้นแล้ว ทันใดนั้นเองก็เกิดความรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที “เป็นความคิดที่ยอดเลย จะเล่นเดี๋ยวนี้แหละ!”
เขาคิดเอาไว้ดีแล้ว ประเดี๋ยวเมื่อไฟปิดลง เขาจะเข้าไปกอดสือมูเฉินเอาไว้ หลังจากนั้น ดูว่าถ้าหากหลานเสี่ยวถางถูกหันจื่ออี้แย่งไปละก็ หน้าของสือมูเฉินจะเปลี่ยนไปเป็นสีดำด้วยหรือเปล่า
อ่าฮ่า คิดไปคิดมาแล้วก็น่าสนใจดีจริง ๆ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะต้องถ่ายเอาไว้ให้ได้อย่างแน่นอน!
เมื่อเห็นว่าฟู่สีเกอก็เห็นด้วยแล้ว หัวหน้าห้องจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหันจื่ออี้
เขาได้รับสายตามากมายจากทุกคน หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน แล้วแสดงให้เห็นท่าทางพร้อมที่จะร่วมวงด้วยออกมาอย่างชัดเจน
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราก็จะเริ่มแล้วนะ!” จางเฉินเอ่ยขึ้นต่อว่า “ตอนนี้เริ่มได้เลยจ้ะ ผู้ชายมายืนอยู่ทางฝั่งด้านซ้ายของฉัน ผู้หญิงอยู่ทางฝั่งขวาเลย! ทุกคนต้องดูเอาไว้ให้ดี ๆ นะว่าคนที่ตัวเองต้องการจะไปหาอยู่ตรงไหน อีกประเดี๋ยวอย่าไปจับคู่ผิดคนล่ะ!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนยืนกันเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้ว หลานเสี่ยวถางยังไม่ได้ขยับไปไหนเลย จางเฉินจึงอดที่จะเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้ว่า “เสี่ยงถางจ๊ะ ทำไมหรือ กลัวว่าคุณฟู่จะหาเธอไม่เจออย่างนั้นหรือจ๊ะ?”
สายตาของหลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสือมูเฉินเล็กน้อย เธอยังคงจดจำได้ คำพูดเมื่อก่อนของเขาที่ว่า สามีของเธออย่างฉันนั้นขี้หึงมาก!
ในตอนนี้เองสือมูเฉินก็ลุกขึ้นยืนแล้ว หลังจากนั้น ก็เดินเข้าไปในกลุ่มผู้ชายด้วยท่าทางสบาย ๆ
เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้ว ดังนั้นจึงรีบไปรวมกลุ่มกับกลุ่มผู้หญิง พลางคิดในใจว่า ประเดี๋ยวที่ไฟดับลงแล้ว เธอก็จะรีบวิ่งไปที่มุมห้อง ขอเพียงแค่ไม่ถูกคนจับได้ กลับบ้านไปก็จะไม่ต้องถูกทำโทษแล้วล่ะ!
“เอาล่ะ สาม สอง หนึ่ง ปิดไฟ!” หลังจากที่คำพูดของจางเฉินจบลง ทันใดนั้นเอง ทั้งห้องโถงใหญ่ทั้งหมดก็มืดสนิท ยื่นมือออกไปก็ไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือทั้งห้าได้เลย
ทันใดนั้นเองผู้หญิงที่อยู่รอบข้างก็ส่งเสียงร้องเสียงแหลมออกมา หัวใจของหลานเสี่ยวถางสับสนงุนงงทันที ไม่รู้ว่าถูกใครชนเข้าให้แล้ว ทันใดนั้นเอง หลังจากที่หมุนอยู่สองสามครั้ง ในเวลาต่อมา เดิมทีนั้นจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าควรจะต้องหลบหนีไปยังทิศทางไหน
เธอรู้สึกว่ามีคนมาดึงเข้าที่ด้านข้างของเธอเอาไว้ หัวใจของเธอตกตะลึง ก่อนจะกุลีกุจอดึงแขนของตนเองกลับมาอย่างสุดกำลัง แต่ทว่า เป็นเพราะว่าใช้แรงมากเกินไป ร่างกายที่เป็นเพราะว่าความเคยชิน ดังนั้นจึงล้มไปทางด้านหลัง
ในการหงายหลังแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แต่ทว่าทันใดนั้นเองกลับล้มเข้าไปในอ้อมกอดกว้างและหนาอ้อมกอดหนึ่ง
เธอยังไม่ทันที่จะได้ทรงตัวดี ก็ถูกคนคว้าเอวเอาไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น ที่ริมฝีปากก็ถูกประกบจูบลงมาอย่างรุนแรง
หัวใจของหลานเสี่ยวถางสั่นไหวอย่างรุนแรง ต้องการที่จะหลบหนีตามสัญชาตญาณ ทว่าในช่วงวินาทีต่อมานั้นเอง จู่ ๆ กลับรู้สึกว่าจูบนี้มันดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ดุดัน คุกคาม ไม่ให้โอกาสให้เธอได้หายใจเลย นอกจากสือมูเฉินแล้ว ยังจะสามารถมีใครอื่นได้อีกกัน?
จะว่าไปแล้ว เขาหาเธอเจอได้อย่างไรนะ? เมื่อครู่นี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลยนี่ว่ามันมืดมากขนาดนั้น อีกทั้งเธอก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงที่เดิมด้วย
หรือจะบอกว่า เดิมทีเขาก็ไม่ได้มองเธอออก เพียงแต่ว่าประจวบเหมาะว่ามีคนชนเข้ามาในอ้อมกอดพอดี เขาก็เลยจูบงั้นหรือ? เขาเป็นปีศาจล่าจูบอย่างนั้นหรือ?!
ในตอนที่หลานเสี่ยวถางกำลังอยู่ในห่วงของความคิดอันสับสนวุ่นวายอยู่นั้นเอง จู่ ๆ สือมูเฉินก็พาตัวเธอหมุนรอบหนึ่งอย่างสวยงามพอดี ตามต่อมาด้วย หลานเสี่ยวถางที่ค้นพบว่าตนเองถูกกดเข้ากับกำแพงเสียแล้ว จูบของเขาก็ยังคงตามมาถึงมุมกำแพงด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ ยังมีเวลาอีกสิบวินาที” เสียงนับเวลาของจางเฉินดังขึ้น “สิบ เก้า แปด……”
หัวใจของหลานเสี่ยวถางตกตะลึง คิดอยากที่จะผลักสือมูเฉินออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า เขายังคงกดเธอเอาไว้แน่นอยู่ในอ้อมกอด แทบจะไม่มีความคิดที่จะปล่อยออกไปเลยแม้แต่น้อย
ทางฝั่งนั้น การนับเวลาถอยหลังยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าเหลือเพียงแค่ห้าวินาทีแล้วเท่านั้น ทันใดนั้นเองหลานเสี่ยวถางก็ไม่รู้ว่าควรที่จะต้องทำอย่างไรต่อไปดี จู่ ๆ กลับนึกอะไรได้บางอย่างในเสี้ยววินาทีนั้นได้ ถ้าหากว่าถูกเห็นเข้าพอดีแล้วล่ะก็ สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างพวกเขา นึกจูบก็จะจูบ ใครจะมาขว้างเอาไว้ได้กันล่ะ?!
“สาม สอง……”
ในตอนก่อนหน้าที่แสงไฟจะสว่างวาบขึ้นมานั้นเอง สือมูเฉินก็ปล่อยหลานเสี่ยวถางอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มแหบพร่าของชายหนุ่มก็ดังขึ้นที่ข้างกกหูของหลานเสี่ยวถางว่า “จำเอาไว้นะเสี่ยวถาง ในตอนที่หาทิศทางไม่เจอ ให้ยืนอยู่ที่เดิมแล้วรอผมเอาไว้ ผมจะสามารถหาคุณเจอได้เสมอ”
คนรอบข้างส่งเสียงวุ่นวายดังสนั่น ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ แต่ทว่า หลานเสี่ยวถางกลับได้ยินเพียงแค่คำพูดของสือมูเฉินที่เขาพึ่งเอ่ยไปเมื่อครู่นี้เท่านั้น
เป็นเพียงแค่คำพูดเรียบง่ายเท่านั้น แต่ทว่า กลับดังก้องวนเวียนอยู่ในใบหูของเธอไม่ยอมหยุด เธอรู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอเต้นแรงมากขึ้น มีความร้อนแผ่กระจายออกมาจากใบหู อีกทั้งความร้อนนั้นยังลามเลียไปทั่วทั้งแก้มและใบหน้า
“เสี่ยวถาง!” เฉียวโยวโยวกอดแขนของหันจื่ออี้เอาไว้แน่น ก่อนจะส่งสายตาให้หลานเสี่ยวถางไม่ยอมหยุด “ฉันเป็นเพื่อนที่ดีพอไหม?”
หลานเสี่ยวถางพึ่งจะเข้าใจ ที่สือมูเฉินมาหาได้อย่างง่ายดายปานนั้นเดิมทีแล้วเป็นเพราะว่าได้รับความช่วยเหลือน่ะสิ! เธอดีใจ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปจุ๊บเฉียวโยวโยวอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง มีเพื่อนนักเรียนตาดีเห็นเข้า ก่อนจะอดที่จะเอ่ยเสียงแหลมขึ้นมาว่า “นี่ เสี่ยวถางสารภาพรักกับรุ่นพี่หันแหละ!”
พวกเขาใช้ดวงตาคู่ไหนกันเนี่ยที่เห็นว่าจุ๊บของเธอนั้นมอบมันให้กับหันจื่ออี้?
หลานเสี่ยวถางกำลังจะอธิบาย หันจื่ออี้ก็พุ่งเข้าไปจุ๊บเธออย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งแล้ว ต่อหน้าต่อตาผู้คนที่ส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางเบาแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ยื่นหมูยื่นแมว”
ในตอนนั้นเอง ทั้งห้องโถงใหญ่ราวกับระเบิดออกมาทันที มีเพียงแค่ฟู่สีเกอเท่านั้นที่สังเกตเห็นได้ถึงสีหน้าที่ทะมึนมากขึ้นของสือมูเฉิน เขาถือกล้องขึ้นมา ก่อนจะแอบบันทึกภาพเอาไว้หนึ่งภาพ
จะว่าไปแล้ว เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่าเมื่อไฟดับลงจะเข้าไปกอดสือมูเฉินเอาไว้ แต่ทว่า กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกหญิงสาวหลายคนรุมเอาไว้อยู่ กว่าจะพละตัวออกมาก็ไม่ง่ายเลย
“ตอนนี้พวกเรามาดูกันว่าใครที่ไม่มีคู่?” จางเฉินเอ่ยขึ้น พลางหันไปมองโดยรอบ ก่อนจะพบว่ามีคู่ชายกับชายหลายคู่กอดเข้าด้วยกันอยู่ ก่อนที่จะอดยิ้มออกมาไม่ได้แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเราสนับสนุนพวกนายมาก ๆ นะ ขออวยพรให้คนในบ้านของพวกนายยอมรับพวกนายได้โดยเร็ววันนะจ๊ะ”
ในสถานการณ์ทั้งหมด นอกจากฟู่สีเกอและเด็กสาวสองคนที่ไม่มีคู่แล้ว ทั้งหมดก็อยู่กับเป็นคู่ ดังนั้นแล้ว ฟู่สีเกอจึงต้องร้องเพลงและทำการแสดงอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่เลวเลยทีเดียว จางเฉินจึงถือโอกาสที่กำลังสนุกสนานอยู่เอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราเล่นเกมห่าม ๆ แต่ทว่าคลาสสิกกันดีกว่า!”
ตอนนี้มีคนร้องขึ้นมาแล้วว่า “พูดความจริงนั้นอันตราย!”
“ไม่ผิดแน่ เป็นเกมพูดความจริงนั้นอันตรายจ้ะ” จางเฉินเอ่ยขึ้นไปพลางหยิบขวดขึ้นมาหนึ่งขวดไปพลาง “ประเดี๋ยวปากขวดนี้หมุนไปทางใคร คนนั้นก็จะต้องตอบคำถามหรือไม่ก็ต้องเสี่ยงอันตรายแทน ถ้าปฏิเสธก็ต้องได้รับโทษโดยการดื่มวอดก้าสามแก้วใหญ่!”
เป็นเพราะว่าในห้องมีคนเยอะ หลานเสี่ยวถางเห็นว่าเมื่อหมุนไปหลายรอบแล้ว ก็ไม่ได้หมุนมาหยุดอยู่ที่ตนเองเลย หัวใจจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงไปหลายส่วน
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ปากขวดเหล้ากลับหยุดอยู่ตรงหน้าของฟู่สีเกอ เขายักไหล่ไปมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “ผมเลือกที่จะพูดความจริง”
ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาของหญิงสาวที่ตาก่อนหน้านี้ถูกลงโทษให้เสี่ยงอันตรายเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะเริ่มเปิดประเด็นที่สาว ๆ เพื่อนร่วมชั้นทั้งหลายสนใจมากที่สุดขึ้นมาว่า “คุณฟู่คะ ครั้งแรกของคุณคือเมื่อไหร่หรือคะ?”
ฟู่สีเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สิบเจ็ดครับผม”
ฝ่ายหญิงยังคงอยากถามต่อ แต่ทว่า ในทุกครั้งกำหนดให้เพียงแค่หนึ่งคำถามเท่านั้น จึงทำได้เพียงถอดใจไป
ทันใดนั้นเอง ขวดเหล้าก็เริ่มหมุนอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผลคือ มันกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าของฟู่สีเกออีกครั้ง
เขาเสยผมของตนเองด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อว่า “พูดความจริง”
หญิงสาวคนก่อนครุ่นคิดไปมาก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณฟู่คะ คุณมีผู้หญิงที่คุณลืมไม่ลงบ้างไหมคะ เธอคือใครหรือคะ?”
พูดไป มีคนเริ่มหันไปมองหลานเสี่ยวถาง แทบจะ รอดูปฏิกิริยาบนใบหน้าของเธออยู่เลยก็ว่าได้
แต่ทว่า หลังจากที่ฟู่สีเกอได้ยินประโยคนี้แล้วนั้น จู่ ๆ ก็พลันกักเก็บสีหน้าทั้งหมดในทันที หลังจากนั้นจึงคว้าวอดก้าที่อยู่ทางด้านข้างขึ้นมา แล้วกระดกมันลงไปอย่างรวดเร็ว
หลานเสี่ยวถางอดที่จะชะงักนิ่งไปไม่ได้ ดูท่าแล้ว ในใจของเขา ก็มีเรื่องราวที่ไม่สามารถเอ่ยถึงขึ้นเหมือนกันสินะ?
เมื่อดื่มเหล้าเสร็จแล้ว ฟู่สีเกอก็มีท่าทีสดใสร่าเริงกลับมาอีกครั้ง หยอกล้อและเล่นกับทุกคนมากขึ้น
ในเมื่อไม่ถูกโดนมาโดยตลอด หลานเสี่ยวถางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปล่อยวางได้โดยทั้งหมด ในตอนที่กำลังจะเด็ดองุ่นทานนั้นเอง ก็มองเห็นว่าปากขวดเหล้านั้นมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของตนเองเรียบร้อยแล้ว
เธอเบิกตากว้าง ก่อนจะค้นพบว่าเป็นเธอจริง ๆ ดังนั้นแล้วจึงเคี้ยวองุ่นไปมา หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “งั้นก็เสี่ยงอันตรายแล้วกันจ้ะ”
พูดความจริงนั้นไม่สามารถพูดได้ ถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสือเพ่ยหลินขึ้นมา แล้วถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสือมูเฉินขึ้นมาล่ะ……
หญิงสาวคนนั้นเห็นหลานเสี่ยวถางกล้าที่จะเลือกเสี่ยงอันตราย ทันใดนั้นเองก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เธอกวาดสายตาไปยังคนรอบข้างทุกคนอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายแล้ว ก็หยุดอยู่ที่ร่างกายของสือมูเฉินที่อยู่ทางด้านข้าง
กิจกรรมนี้ สือมูเฉินไม่ได้เข้าร่วมด้วย เขานั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟาคนเดียว ในมือถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้อยู่ พิมพ์อะไรเข้าไปไม่ยอมหยุดมือ ดูท่าแล้วเกียจคล้านแต่ทว่าก็ดูเคร่งขรึมดุดัน
วันนี้ เขาเป็นคนนอก หน้าตาหล่อเหลาเอาการ รูปร่างดี สูงชะลูด ท่าทางไม่อยากเข้ามาแจมด้วย ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะก่อเกิดความปรารถนาอันแรงกล้า
อีกทั้งผู้หญิงที่เข้าไปชวนคุยด้วยก่อนหน้านี้จึงพ่ายแพ้ไปกันทั้งหมด ถ้าอย่างนั้น……
หัวใจของหญิงสาวตนนั้นสว่างวาบขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถางจ๊ะ เห็นสุดหล่อคนนั้นไหม? เนื้อหาของเสี่ยงอันตรายของเธอก็คือ เข้าไปจูบกับเขา แล้วอาศัยจังหวะที่เข้ากำลังเคลิ้ม แล้วดึงเข็มขัดหนังของเขาออกมา”
“พรืด——” ฟู่สีเกออดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนจะพึ่งนึกขึ้นได้อีกว่าตนเองนั้นแสร้งแสดงเป็นเพื่อนของหลานเสี่ยวถางอยู่ ตอนนี้ ควรที่จะไม่ดีใจถึงจะถูก ดังนั้นแล้ว เขาจึงกลั้นขำเอาไว้ จนใบหน้าบีบกันจนขึ้นเป็นสีแดงเล็กน้อย
“เป็นเนื้อหานี้น่ะหรือ?” หลานเสี่ยวถางจะยิ้มก็ไม่ออกจะร้องก็ไม่ออก ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปหาสือมูเฉิน
จะว่าไปแล้ว สือมูเฉินจะยินยอมให้เธอขโมยจูบต่อหน้าทุกคนไหมนะ? อีกทั้งยังต้องดึงเข็มขัดหนังด้วยอีก เขากลับบ้านไปจะมัดเธอเอาไว้ไหมนะ?