ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 65 นายเสียใจภายหลังแล้วใช่ไหมล่ะที่หย่ากับเธอน่ะ
หลานเสี่ยวถางอยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉิน เขาอ่านข้อความ ไม่ได้หลบเธอ ดังนั้นแล้ว จึงเห็นเนื้อหาด้านในได้อย่างชัดเจน
เธอขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันในทันที เมื่อช้อนสายตาขึ้น ก็มองเห็นว่าสือมูเฉินกำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาเย้าหยอก
“หึงแล้วหรือไงครับ?” เขาออกแรงกดเข้าไปข้างหน้าครั้งหนึ่ง ด้วยแรงนั้นจึงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง
“ไม่นี่คะ” เธอเบนหน้าไปอีกทาง ริมฝีปากไม่ได้เอ่ยอะไร ทว่าภายในหัวใจกลับอดไม่ได้ที่อยากจะฉีกทางหย่าหยุนออกไปร้อยเป็นพันชิ้น!
“ถ้าไม่ละก็ ถ้าอย่างนั้นแล้วผมโทรกลับไปหาเธอดีไหมครับ?” สือมูเฉินสัมผัสเข้าที่มุมปากของหลานเสี่ยวถางเบา ๆ
จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยว่า “ถ้าคุณอยากที่จะโทรกลับก็โทรกลับไปเลยสิคะ แต่ทว่า ช่วยวางฉันลงก่อน”
ที่แท้ก็โกรธขึ้นมาแล้วจริง ๆ สินะ! สือมูเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้ ยังคงสอดใส่ท่อนเนื้อแข็งแรงเอาไว้ในร่างกายของเธออยู่อย่างนั้น ปล่อยมือให้ว่างออกไปมือหนึ่งแต่ทว่ากลับต่อสายโทรศัพท์ไปหาด้วยความกระตือรือร้นแทน
ทางหย่าหยุนคาดไม่ถึงไปชั่วขณะ ว่าสือมูเฉินจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเธอก่อนแบบนี้
ทันใดนั้นเองรอยยิ้มกว้างของปรากฏบนใบหน้าของเธอทันที นัยน์ตาฉายประกายระคนตื่นเต้น “คุณอาคะ!”
หลานเสี่ยวถางที่อยู่ใกล้มาก เมื่อได้ยินคำเรียกนี้แล้ว รู้สึกเกลียดจนคันยุบยิบไปหมด
“ครับ” น้ำเสียงของสือมูเฉินไม่รีบไม่ร้อนอะไร ภายในยามค่ำคืน ราวกับว่าเป็นตัวโน้ตตัวจีที่ดีดขึ้นก็ไม่ปาน “อยากรู้ว่าฉันชอบทานอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ค่ะ!” ทางหย่าหยุนรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของตัวเองจะบินได้อยู่แล้ว เธอรีบตอบกลับไปทันทีว่า “หลังจากนี้ พวกเราจะไปที่ทางภาคตะวันตกฝั่งนั้น ได้ยินมาว่าที่นั่นไม่มีร้านอาหารอะไรเท่าไหร่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฉันทำอาหารให้คุณอาทานเถอะนะคะ!”
“ที่แท้ ที่เพ่ยหลินเรียกให้เธอมาเข้าร่วมกับ Times Group นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอมีความสามารถพิเศษในการทำอาหารอย่างนั้นหรอกหรือเนี่ย?”
สือมูเฉินเห็นว่าหลานเสี่ยวถางอารมณ์ไม่ดีแล้ว เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ ก็รีบก้มศีรษะลงไปประจบจูบเธอทันที แต่ทว่า เธอคงจะโกรธจริง ๆ เข้าให้แล้ว หลบหลีกใบหน้า จูบของเขาจึงประทับอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเธอ
เธอหันหน้าออกไปอีกครั้ง ทิ้งท้ายทอยเอาไว้ให้เขาแทน
สือมูเฉินกระชับกอดหลานเสี่ยวถาง ออกแรงใส่มันเข้าไปให้ลึกมากกว่าเดิม
ทางหย่าหยุนได้ยินคำถามนั้นของสือมูเฉิน ไม่เข้าใจเล็กน้อย เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเล็ก ๆ อย่างเขินอายว่า “คุณอาคะ ฉันเพียงแค่อยากทำอาหารให้อาทานก็เท่านั้น”
“แต่ว่านะ อาหารที่ฉันชอบกินน่ะ คุณทางอาจจะทำให้ไม่ได้หรอกนะครับ” สือมูเฉินพูดไป สบตามองไปยังปลายคางของหลานเสี่ยวถางที่เกร็งแข็ง ที่มุมปากยกยิ้มขึ้น “อาหารที่ผมชอบทานมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น กำลังทานอยู่พอดีเลยครับ ไม่ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะเปลี่ยน”
หลานเสี่ยวถางเหมือนจะฟังอะไรออกมาได้บางอย่าง จึงลืมโทสะไป อดไม่ได้ที่จะหูตั้งตรงขึ้นมา
ทางหย่าหยุนไม่เข้าใจอะไรเลย “คุณอาคะ อากำลังพูดถึงอะไรอยู่คะเนี่ย? คุณอากำลังทานหรือคะ? ทานมื้อดึกหรือคะ?”
สือมูเฉินเอ่ยว่า “ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นตอนกลางคืนหรอก เวลาอื่นก็ได้หมด”
ทางหย่าหยุนนึกว่าเขาเอ่ยถึงเวลาอื่น ๆ เธอก็สามารถทำอาหารให้เขาทานได้ ทันใดนั้นเองก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะกลิ้งตกลงมาจากเตียงแล้ว เธอบีบโทรศัพท์ ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงว่า “คุณอาคะ คุณอายังไม่ได้วางแผนจะนอนใช่ไหมคะ? ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันทำของว่างมื้อดึกเสร็จแล้วไปส่งให้คุณอาดีไหมคะ? พรุ่งนี้ก็ค่อยทำอาหารเช้าเพิ่มให้คุณอาต่อ”
พูดจบ หัวใจของเธอก็เต้นระรัว ถ้าหากว่าคืนนี้เขาเห็นด้วยที่จะให้ไปส่งของว่างมื้อดึกแล้วละก็ ถ้าอย่างนั้นแล้วคืนนี้……
“นึกไม่ถึงเลยนะครับเนี่ยว่าคุณทางจะให้ความสำคัญกับอาหารแบบนี้ แต่ทว่าน่าเสียดายนะครับ ตอนนี้ผมมีแล้วหนึ่ง หลังจากนี้ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยน” สือมูเฉินพูดไปพลางสบตามองหลานเสี่ยวถางที่ดูแทบจะมีท่าทางที่ฟังเข้าใจแล้วก็ไม่ปาน กำลังจ้องมองมาที่เขา
เขาหรี่ดวงตาเล็กลง ก่อนจะก้มศีรษะเข้าไปประทับริมฝีปากจูบเธอ
ครั้งนี้ เธอไม่ได้หลบ
“คุณอาคะ คุณ คุณอาพูดว่าอะไรนะคะ……” ทางสายฝั่งนั้น ทางหย่าหยุนราวกับว่าได้ลอบคาดเดาอะไรได้บางอย่าง เธอไม่เชื่อเล็กน้อย ยังคงซักถามต่อไม่หยุด
สือมูเฉินไม่ได้ตอบเธอกลับ ออกแรงจูบหลานเสี่ยวถางมากขึ้นไปอีก
เป็นเพราะว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงได้ยินเสียงบางอย่างดังลอยเข้ามาในหู ทางหย่าหยุนเบิกตากว้างแทบจะในทันที รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างเย็นยะเยือกไปทั้งตัวหมดแล้ว
เธอเม้มปากแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณอาคะ คุณ ข้าง ๆ อามีคนอยู่ด้วยหรือคะ?”
ในตอนนี้เอง สือมูเฉินจึงผละออกจากริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้นมาว่า “ดังนั้นแล้ว ผมมีความรู้สึกลำบากใจต่อความปรารถนาดีของคุณทางเมื่อครู่นี้มากครับ ในเมื่อ ผมนั้นชอบเพียงแค่หนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น”
พูดไป จู่ ๆ เขาก็เอ่ยเสียงเย็นยะเยือกขึ้นมาว่า “หลังจากนี้ ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องงานแล้ว ไม่ต้องมาหาผมนะครับ ผมไม่ชอบถูกรบกวน ผู้หญิงของผมเขาจะหึงเอา!”
“คุณอา อาคะ ฉัน……” ทางหย่าหยุนรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกโยนขึ้นไปบนท้องนภา จู่ ๆ ก็ถูกโยนกลับลงมาในนรกทันที เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว หลังจากนั้นจึงวางสายไปในทันที
ในที่สุดโลกก็สงบลงแล้ว
สือมูเฉินหลุบตามองหลานเสี่ยวถาง จมูกของเขาสัมผัสเข้าที่จมูกของเธอ “ไม่โกรธแล้วหรือไง หื้ม?”
หลานเสี่ยวถางเข้าใจแล้วว่าเธอเข้าใจเขาผิดไป เมื่อครู่นี้ เธอยังโกรธจะเป็นจะตายอยู่เลย นึกว่าจะเจอเข้ากับผู้ชายสารเลวอีกแล้ว แต่ทว่า ตอนนี้ ก็รู้สึกราวกับว่าได้ระบายอารมณ์ออกมาได้อย่างดีอีกครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จู่ ๆ ใบหน้าจึงแดงซ่านขึ้นมาเล็กน้อย เป็นท่าทางที่ทั้งโกรธทั้งอยากจะหัวเราะอีกครั้ง
“เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคุณหึงนะครับเนี่ย แต่ว่านะ น่ารักมากเลยทีเดียวล่ะ” สือมูเฉินพูดไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายไฟทั้งหมด “ตอนนี้ควรที่จะไปห้องครัวกันได้แล้วนะครับ……”
นี่สือมูเฉินยังคงจะล้อเล่นอยู่อีกจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย อุ้มหลานเสี่ยวถางเดินไปที่ห้องครัวแล้ว!
พึ่งเข้ามาถึงห้องครัวได้อยู่ครู่หนึ่ง เธอถูกเขากดเข้ากับอ่างล้างจาน หลานเสี่ยวถางตกใจจนอดไม่ได้ที่จะคว้ามือจับเอาไว้ ทว่ากลับไปกระแทกเข้ากับก๊อกน้ำ ทันใดนั้นเอง จึงได้ยินแต่เสียงน้ำไหลซ่า ๆ เท่านั้น
สือมูเฉินหัวเราะเสียงต่ำ “ชอบให้มีเสียงน้ำประกอบหรือครับ?”
หลานเสี่ยวถางจ้องเขาเขม็ง “คุณทำแบบนี้หลังจากนี้ฉันจะทำอาหารอย่างไรละคะ?”
“หลังจากนี้เวลาทำอาหาร จำเอาไว้นะครับว่าที่ด้านล่างน่ะให้ผมกินเอง” สือมูเฉินสบตามองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง
ด้านล่างให้เขากินเอง……
ด้านล่าง ไม่ใช่บะหมี่ต้ม แต่ทว่าเป็นที่ด้านล่างของเธอ……
“อ๊ะ——” หลานเสี่ยวถางร้องเสียงแหลมออกมาครั้งหนึ่ง สือมูเฉินแทบจะมีความสุขมากขึ้นไปอีก เขาก้มศีรษะประกบจูบเข้าที่ริมฝีปากของเธอเอาไว้ กักเก็บการต่อต้านของเธอทั้งหมดเอาไว้ที่หน้าท้อง
ตอนที่สำเร็จเสร็จสรรพ หลานเสี่ยวถางแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว สือมูเฉินปรายตามองเธอก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ทำโอทีจนถึงดึกนี่มันเริ่มหิวขึ้นมาแล้วจริง ๆ นะครับเนี่ย เสี่ยวถางครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณต้มบะหมี่ให้ผมดีไหมครับ?”
“ฉันไม่เอา!” หลานเสี่ยวถางเบนหน้าหนี ไม่รู้แล้วว่าที่เขาเอ่ยพูดออกมานั้นคือบะหมี่จริง ๆ หรือว่าจงใจกลั่นแกล้งเธอ!
ที่เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าท่าทางไม่ได้มีความปรารถนาเลยและดูสูงส่งเย็นชานั้น แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้วนั้น……
“เสี่ยวถาง คุณจะทำให้สามีของคุณหิวโซและผอมแห้งนะครับ” สือมูเฉินคว้ามือของเธอมาจับเอาไว้ ก่อนจะวางเอาไว้ที่หน้าท้องน้อยของเขา “คุณฟังสิครับ มันจะกำลังประท้วงอยู่นะ”
เธอดึงมือของตนเองกลับมาแทบจะในทันที ก่อนจะกระทืบเท้าปึงปัง “คุณรีบไปอาบน้ำเลยนะ ฉันจะไปลวกบะหมี่ให้คุณเดี๋ยวนี้แหละค่ะ! ไม่ ไม่ลวกบะหมี่ จะต้มบะหมี่ให้!”
สือมูเฉินเห็นท่าทางหงุดหงิดของเธอแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบเธอครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น เขาก็จากห้องครัวไปอย่างสบายอารมณ์
เมื่อรอให้เขาเดินออกไปแล้ว หลานเสี่ยวถางถึงพึ่งจะนึกได้ เธอ เธอ เธอโป๊เปลือยอยู่นี่นา!
วันที่สอง หลานเสี่ยวถางยังคงถูกสือมูเฉินลากออกมาวิ่งออกกำลังกายแต่เช้าเหมือนเคย รับประทานอาหารเช้าแล้ว เขาไปทำงาน เธอก็ยังคงเรียนการเขียนซอฟต์แวร์กับคุณแจ็คเฉกเช่นเดิม
โดยปกติแล้วตอนเที่ยงสือมูเฉินจะทานข้าวที่ Times Group ดังนั้นแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงหาอะไรให้ตนเองทานง่าย ๆ เล็กน้อย ทานเสร็จก็ไปเดินย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็แวะซื้อผักเล็กน้อยกลับมาบ้านด้วย
เธอเดินผ่านปากทางของถนนสายหนึ่ง เห็นคุณย่าคนหนึ่งกำลังถูกแสงแดดจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมา สีหน้าท่าทางดูลังเล เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วจึงเข้าไปเอ่ยถามว่า “คุณย่าคะ คุณย่าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? หรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
คุณย่าคนนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “จะข้ามถนนน่ะจ้ะ แต่เป็นเพราะว่าถูกแสงแดดจนทำให้ตาลายเล็กน้อยน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วให้หนูช่วยพยุงคุณย่าข้ามไปเถอะค่ะ!” หลานเสี่ยวถางยกยิ้มเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
คุณย่าเอ่ยขึ้นมาว่า “ต้องขอบคุณหนูแล้วจ้ะ แม่หนู สังคมในปัจจุบันนี้ทำให้คนแก่ ๆ อย่างพวกเรากลัวมากยิ่งขึ้นแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าหนูจะกล้าเข้ามาช่วยพยุงฉันน่ะ!”
“ที่บ้านหนูก็มีผู้สูงอายุอยู่ท่าหนึ่งเหมือนกันค่ะ นี่ก็ไม่ได้อะไรมากเสียหน่อยนะคะ!” หลานเสี่ยวถางพูดไป ก่อนจะคล้องแขนของคุณย่าชราเอาไว้ แล้วพาเธอข้ามทางม้าลาย
ตกบ่าย สือเพ่ยหลินและหันจื่ออี้นัดกันเอาไว้ว่าจะเจอกันที่หน้าบริษัทซอฟต์แวร์ ในตอนเที่ยงนั้น เขาขับรถออกมา กำลังจะไปทานข้าว
สองวันมานี้เป็นเพราะว่าเรื่องหุ้นจึงทำให้หงุดหงิดเล็กน้อย บวกกับในบ้านที่ตรงไหนก็ไม่เข้าตาทั้งนั้นด้วย สภาพอารมณ์ของสือเพ่ยหลินไม่ค่อยดี จึงขับรถเร็วเล็กน้อย
ในตอนที่ผ่านปากทางของถนนสายหนึ่งนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีสุนัขจรจัดตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา เขารีบเบรกแล้วหักรถหลบทันที ในที่สุดก็หยุดอยู่ตรงตำแหน่งหน้าสุนัขตัวนั้นไปไม่ถึงสิบเมตร
สุนัขตัวนั้นตกใจวิ่งหนีไปแล้ว สือเพ่ยหลินกลับสบถเสียงดังเพื่อระบายออกมาในทันที
เป็นในตอนนั้นเอง เขากวาดสายตามอง ก็เห็นที่ถนนอีกด้านหนึ่ง มีคนกำลังช่วยพยุงคนแก่ข้ามทางม้าลายอยู่
นัยน์ตาของเขาหดตัวเกร็ง แล้วค้นพบว่าเงารูปร่างนั้นช่างคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างมาก
เป็นหลานเสี่ยวถางจริง ๆ ด้วย!
ในแสงอาทิตย์ ใบหน้าและแก้มของเธอแทบจะถูกแดดส่องจนสว่างไสวไปชั้นหนึ่งเลย ผิวพรรณสีเหลืองห่อเหี่ยวอย่างเดิมในความจริงจำนั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันแปรเปลี่ยนเป็นขาวใส อีกทั้งยังมีความชุ่มชื้นและแดงก่ำอีกด้วย
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่นั้นเรียบง่ายมาก เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกางเกงยีนสามส่วน รองเท้าผ้าใบสีขาว ทรงผมรวบยาวเป็นหางม้า เหมือนราวกับว่าเป็นนักศึกษามหาลัยคนหนึ่ง
จู่ ๆ ในช่วงเวลานั้นเอง ภาพตรงหน้าและภาพในความทรงจำทับซ้อนกัน ราวกับว่าเขาได้เห็นภาพของคู่แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ที่เขาไม่พอใจในตอนแรกอีกครั้งหนึ่ง เป็นภาพเรื่องราวที่เขาเป็นคนไปหาเธอเองที่มหาวิทยาลัยภาพนั้น
แสงอาทิตย์เหมือนกัน เงียบสงบ งดงามเป็นประกาย
เธอไม่เห็นรถของเขาเลย อีกทั้งไฟสัญญาณจราจรก็เป็นสีแดงด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็พยุงคนแก่ให้หยุดเอาไว้ ก่อนจะรอให้เป็นสัญญาณไปสีเขียวแล้วค่อยเดินต่อ
โดยไม่รู้ตัว สือเพ่ยหลินลืมขับรถไปแล้วจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วภายในตัวรถ เขาก็มองเห็นหลานเสี่ยวถางที่อยู่ห่างออกไปไกลประมาณสิบกว่าเมตร
สายลมแผ่วเบาของคิมหันตฤดูพัดผ่านมา กระนั้นถึงพัดพาเส้นผมของเธอที่ยาวเกินหัวไหลให้สั่นไหวเล็กน้อย เธอยื่นมือไปจับมันทัดหูเอาไว้เข้าที่หลังใบหูอย่างลวก ๆ บนใบหน้าและแก้ม คือรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์
ความหงุดหงิดเดิมภายในใจ ก็ถูกกลบหายไปภายในระยะเวลาที่แสนจะรวดเร็วนี้ทันที มือของสือเพ่ยหลินคว้าจับเข้ากับที่เปิดประตูในรถ ก้นบึ้งหัวใจของเขา จู่ ๆ ก็มีความคิดที่อยากจะพุ่งเข้าไปใกล้ ๆ ขึ้นทันที
ตอนนี้ หลานเสี่ยวถางพาคนแก่ข้ามถนนมาเรียบร้อยแล้ว ระยะห่างของพวกเธอกับเขานั้น ห่างกันเพียงแค่ไม่ถึงห้าเมตรเท่านั้น
สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าหัวใจของตนเองแปรเปลี่ยนเป็นเต้นระรัวมากขึ้นหลายส่วน ในสมอง มีความคิดที่ว่าจะลงจากรถแล้วเข้าไปทักทายดีหรือไม่ ในตอนที่กำลังจะตัดสินใจอยู่นั้นเอง
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เขาก้มศีรษะลงไปดู เป็นเฉินจื่อโร่ว
หลังจากที่มีปากเสียงกันวันนั้นแล้ว เฉินจื่อโร่วก็ชดเชยมาโดยตลอด ส่วนเขาก็ไม่ได้มีปากเสียงกับเธออีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะว่ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่ารู้สึกว่าไม่มีแรงต้านแล้วต่างหาก
ในตอนนี้เอง จู่ ๆ แสงอาทิตย์ก็ถูกก้อนเมฆบดบังไปครึ่งหนึ่ง สถานที่ที่สือเพ่ยหลินอยู่ ประจวบเหมาะกับมีเงาของตึกสูงใหญ่บดบังเอาไว้พอดี ทำให้บดบังเอาไว้อยู่ใต้เงามืด
เขากดปิดเสียงโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปมองหลานเสี่ยวถางทางด้านหน้าต่อ
สถานที่ที่เธอยู่ เป็นที่ที่แสงอาทิตย์สามารถส่องสว่างไปถึงได้ ราวกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่กันคนละโลก
ในช่วงเวลาที่แสนจะรวดเร็วนั้นเอง จู่ ๆ สือเพ่ยหลินก็ค้นพบว่า ในเมื่อร่างกายอยู่ภายใต้เงามืด ภายในใจก็คุ้นชินกันด้านมืดมาตั้งนานแล้ว แต่ทว่า เขาแทบจะยังมีสัญชาตญาณที่จะเดินเข้าหาแสงอยู่ด้วย
ในตอนนั้นเอง คำพูดของสือมูเฉินในตอนแรกก็โจมตีเข้ามาในหูของเขาอย่างชัดเจนทันที
เขาบอกว่า เพ่ยหลิน นายเสียใจภายหลังแล้วใช่ไหมล่ะที่หย่ากันเธอน่ะ?
เขาในตอนนั้นตอบปฏิเสธไปโดยไม่ลังเลเลยมากขนาดนั้น จนกระทั่ง มีความรู้สึกสูญเสียการควบคุมไปเล็กน้อย
ตอนนี้ดูท่าแล้ว เขาก็เพียงแค่โดนคนทิ่มเข้ามาใส่ความลับที่อยู่ลึกที่สุดในก้นบึ้งของหัวใจของเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถรู้สึกอับอายขายขี้หน้าจนบันดาลโทสะไปแบบนั้น
ไม่เพียงแค่เป็นเพราะเธอแปรเปลี่ยนเป็นเงือกโฉมงามในโถงงานเลี้ยง มันมีมากกว่านั้น นั่นก็คือรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ของเธอที่ช่วยพยุงคนแก่ในตอนนั้น ทำให้เขาพลันนึกขึ้นได้ในทันที นั้นก็คือหลังจากที่เขาได้ใช้วิธีเลวทรามต่ำช้าและสกปรกอย่างถึงที่สุด แล้วคิดอยากที่จะกอบกู้มันกลับคืนมามากที่สุด