ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 71 ภรรยาของคุณคงจะไม่ตกหลุมรักผมหรอกใช่ไหม?
ใต้ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณที่สาดส่อง ในขณะที่หลานเสี่ยวถางกำลังมองดวงอาทิตย์ที่ส่องแสง สือมูเฉินเดินใกล้เข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงบนตัวเขาทำให้ร่างกายของเขาดูสูงผิดปกติ และเมื่อเขาเดินมาถึงตรงหน้าเธอ เขาก็ได้ขวางแสงอาทิตย์ที่กำลังส่องลงมายังเธอ
เมื่อเธอได้ยินเขาเรียกชื่อเธอ เธอตกใจเล็กน้อยพร้อมยิ้มตอบรับให้เขา
เพียงแค่ เธอเข้าใจตัวเองดี สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเจื่อนลงอย่างเห็นชัดว่าเธอกำลังฝืนทำอยู่
ตรงกันข้ามเป็นเพราะเธอรู้สึกผ่อนคลาย ดวงตาของเธอก็ค่อยๆหลับตาลง
เมื่อสือมูเฉินเห็นหลานเสี่ยวถางหลับตาลง เขาเลยยื่นแขนออกไปหาเธออย่างไม่ลังเล และในวินาทีต่อมาเขาก็ใช้แรงอุ้มเธอขึ้นมา จากนั้นเขาก็รีบหันหลังแล้วเดินไปที่รถของเขาอย่างรวดเร็ว
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าร่างกายของเธอนั้นเบาลง เธอรู้สึกหนาวมาก แต่ว่า การที่เขาอุ้มเธอนั้นมันเหมือนรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น มันเหมือนช่วยให้เธอมีพลังมากขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะลืมตา และไม่สามารถตอบสนองอะไรเขาได้อีก
“เสี่ยวถาง คุณอดทนไว้อย่าเพิ่งหลับ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” สือมูเฉินวางหลานเสี่ยวถางในรถอย่างระมัดระวัง จากนั้น แล้วเขาก็รีบขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ* แล้วสตาร์ทรถออกไปทันที
สถานการณ์น่าเป็นห่วงอยู่ตลอดทาง แต่ขับรถเพียงแค่หกนาทีเขาก็ไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
สือมูเฉินยังไม่ทันจะล็อครถ เขาก็รีบอุ้มเสี่ยวถางวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องผ่าตัดฉุกเฉินทันที
สามนาทีต่อมา ประตูห้องผ่าตัดก็ถูกปิดต่อหน้าเขา และในขณะเดียวกัน ตรงหน้าประตูห้องผ่าตัดมีคำว่า “กำลังทำการผ่าตัดอยู่” ก็สว่างขึ้นเหนือประตู
*
สิบห้านาทีก่อนหน้านี้ สือเพ่ยหลินได้ส่งเฉินจื่อโร่วไปที่โรงพยาบาล และหลังจากที่ส่งถึงมือคุณหมอแล้ว เขาก็เดินออกไปนอกประตูห้องผู้ป่วย
เขารู้สึกว่า ทันทีที่เขาหลับตา ตรงหน้าเขาก็จะมีภาพของหลานเสี่ยวถางกำลังจ้องมองเขาอยู่ได้ผุดขึ้นมา
เธอนอนจมกองเลือด และเธอก็ยื่นมือมาหาเขา แต่แทนที่เขาจะเดินเข้าไป เขากลับเลือกหันหลังเดินจากไป
วินาทีที่เขาขึ้นรถและจากไป เขาก็หันไปมองเธออีกครั้ง ถึงแม้ว่าระยะทางจะห่างกันมาก แต่ว่า แม้เพียงแค่ชำเลืองมองอย่างรวดเร็ว เขาก็มองเห็นสายตาของเธอที่มองเขาด้วยความเกลียดชังและความอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
ความรู้สึกผิดละอายภายในจิตใจเขา ทำให้เขารู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก และความตื่นตระหนกนั้นค่อยๆเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว สือเพ่ยหลินละอายใจจนไม่สามารถอยู่ในโรงพยาบาลได้อีกต่อไป เขารีบหยิบกุญแจรถ เดินพุ่งตรงไปหาพยาบาลและกำชับกับพยาบาลไม่กี่ประโยค แล้วเขาก็รีบวิ่งไปที่ลิฟต์อย่างคนบ้าคลั่ง
มีคนมากมายรออยู่หน้าลิฟต์ และจอ LED ที่แสดงด้านบนมันก็ยังห่างไกลจากชั้นที่เขายืนอยู่ เขาทนรอไม่ไหวแล้ว และทันทีที่เขาหันหลังกลับ เขาก็รีบวิ่งไปทางประตูบันได
เขาวิ่งจนไปถึงลานจอดรถ ในขณะที่เขาขับรถอยู่นั้นเขาเร่งรีบจนได้ขับฝ่าไฟแดงจราจรขับตรงไปที่ยังไซต์ก่อสร้างเมื่อกี้นี้ทันที
โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนั้น ในระหว่างทาง เขาได้เจอกับรถอีกคันหนึ่ง รถคันเหมือนรถของเขาเป๊ะ เขาตื่นตระหนกตลอดทาง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรถคันธรรมดาทั่วไป แล้วเขาก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างคนเสียสติ
แม้แต่สือเพ่ยหลินก็เดินสวนเขาไปต่อหน้าต่อตา เขายังรู้สึกว่ารถคันนั้นค่อนข้างคุ้นตา เพียงเพราะว่าเขารีบร้อนและวิตกกังวลมากเกินไป จึงทำให้เขาไม่ทันได้คิด
เขารีบตรงไปที่ไซต์งานก่อสร้าง มองจากระยะไกลเขาก็มองเห็นเลือดกองเต็มพื้น แต่กลับไม่พบหลานเสี่ยวถาง!
เธอหายไปไหนแล้ว? แล้วหายไปได้อย่างไรกัน?
สือเพ่ยหลินหยุดรถจากนั้นก็รีบเดินตรงไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
หลานเสี่ยวถางไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ๆ เขามองดูคราบเลือดอย่างละเอียด เธอไม่ได้จากที่นี่ไปด้วยตัวเอง แต่ต้องถูกใครบางคนพาเธอไปอย่างแน่นอน!
ดังนั้นมีคนช่วยเหลือเธอ?
เขารู้สึกโล่งใจทันที เดิมความรู้สึกกลัว วิตกกังวล กระวนกระวายใจ ตื่นตระหนกตกใจเริ่มคลายลงทันที โดยปกติแล้วเขาเป็นที่รักความสะอาดมาก ผู้ซึ่งมักจะชอบความสะอาด แต่กลับนั่งลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหินเศษอิฐ
หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น และสือเพ่ยหลินหยิบขึ้นมาดูสายโทรเข้าคือเฉินจื่อโร่ว น้ำเสียงปลายสายของเธอนั้นตื่นตระหนกวิตกกังวลมากพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอื้น:“พี่เพ่ยหลินคะ พี่อยู่ที่ไหนคะ?ฉันตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วกลับไม่เห็นพี่เลย ฉันกลัวมากๆเลยค่ะ ……”
ในขณะนั้น จู่ๆ สือเพ่ยหลินก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก แล้วเขาก็ตอบกลับปลายสายว่า:“ลูกเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณหมอบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ให้ฉันพักผ่อนเยอะๆก็พอแล้ว” แล้วเฉินจื่อโร่วเสริมต่อว่า: “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่อง ฉันเป็นภาวะโลหิตจางเล็กน้อย คุณหมอบอกว่าต้องได้รับการบำรุงเยอะๆ”
“ผมเข้าใจแล้ว” สือเพ่ยหลินมองดูกองเลือดสดๆบนพื้นพร้อมพูดว่า: “ผมได้จ้างแม่บ้านและพ่อครัว ต่อจากนี้ไปพวกเขาจะรับผิดชอบดูแลคุณโดยเฉพาะนะ”
“พี่เพ่ยหลินคะ พี่นี่เป็นคนที่ใจดีมากเลยจริงๆ!” เฉินจื่อโร่วพูดอย่างตื้นตันใจว่า: “ฉันรักคุณ!”
“อือ” สือเพ่ยหลินตอบกลับ:“ ตอนนี้ผมมีธุระ ผมต้องไปบริษัท ผมจะให้คนขับรถไปคุณกลับบ้านนะ”
แม้ว่าเฉินจื่อโร่วจะรู้อยู่แก่ใจว่าสือเพ่ยหลินอาจเป็นห่วงเป็นใยหลานเสี่ยวถางอยู่ และกลับไปหาเธอแล้ว แต่ว่า เพื่อให้คนอื่นมองว่าตัวเองนั้นเป็นแม่พระและเห็นอกเห็นใจคนอื่นเธอจึงจำใจต้องพูดขึ้นว่า: “ค่ะพี่ พี่เพ่ยหลินคะ อย่าหักโหมงานมากเกินไปนะคะ!” อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วชีวิตของหลานเสี่ยวถางนั้น จะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่นั้นยังไม่รู้เลย เหตุการณ์เมื่อกี้นี้เธอโดนชนรุนแรงขนาดนั้น บางทีก็อาจจะตายแล้วก็เป็นได้!
“ครับ” หลังจากที่สือเพ่ยหลินวางสาย เขาก็เม้มริมฝีปากด้วยท่าทางเหมือนหัวเราะเยาะตัวเอง
เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา เอื้อมมือไปปาดเลือดเล็กน้อย แล้วมองเลือดที่ปลายนิ้วพร้อมพูดว่า: “สือเพ่ยหลินนายนี่เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากจริงๆ เพื่อชีวิตของตัวเองแล้ว ชีวิตความเป็นความตายของเธอก็ไม่สนใจใยดีแล้ว!”
มาถึงตอนนี้แล้ว เขาต้องยอมรับว่าการที่หลานเสี่ยวถางดูแลเขาเป็นอย่างดี ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นแล้วล่ะก็ คาดว่าผู้หญิงเหล่านั้นคงเบื่อหน่ายเขาตั้งแต่สองปีที่แล้วแล้วล่ะ
แต่ว่า เธอไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายเลย กลับดูแลเขาอย่างดีไปด้วย และยังต้องอดทนต่ออารมณ์ที่ฉุนเฉียวรุนแรงของเขาเพราะเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
และในตอนนี้ล่ะ ถึงแม้ว่าการผลักเธอนั้นจะทำลงไปโดยไม่ตั้งใจ แต่ว่าเมื่อเขาเห็นเธอจะตายตรงหน้าเขาก็ไม่คิดจะช่วยเหลือเธอเลย เหตุผลเป็นเพราะว่าเขายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป……
เขาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียง หึหึ แต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและดูว่างเปล่า
เขาไม่รู้ว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว สือเพ่ยหลินพึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกดโทรออก: “ช่วยผมสืบหาข้อมูลหน่อย เช้านี้เวลาประมาณ 11:30 น. ใกล้สถานที่ไซต์งานก่อสร้างเฉิงตงนั้น มีโรงพยาบาลแห่งไหนบ้างที่รับผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเธอมีชื่อว่าหลานเสี่ยวถาง?”
สองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลก็เปิดออก
เมื่อสือมูเฉินเห็นคุณหมอเดินออกมา เขาก็รีบเข้าไปถามอย่างรวดเร็วว่า:“คนไข้ที่อยู่ข้างในอาการเป็นยังไงบ้างครับ?”
“โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงจุดเส้นเลือดใหญ่ ตอนนี้ก็ได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว และพ้นขีดอันตรายแล้ว” คุณหมอตอบกลับ “แต่ว่า ณ เวลานี้คนไข้ยังไม่ฟื้นนะครับ”
ในที่สุดสือมูเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และในเวลาต่อมา เขาก็เห็นหลานเสี่ยวถางถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด
ในระหว่างที่รออยู่นั้น เขาก็ได้จัดเตรียมคนมาดูแลหลานเสี่ยวถางในห้องคนไข้พิเศษแล้ว ดังนั้น เขาจึงเดินไปส่งหลานเสี่ยวถางพร้อมกับพยาบาล แล้วนำเธอมานอนพักในห้องพักฟื้นห้องคนไข้พิเศษแผนกผู้ป่วยใน
เมื่อทุกอย่างได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่สือมูเฉินกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของหลานเสี่ยวถาง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เขาหยิบมันขึ้นมาดู สายที่โทรเข้านั้นคือทางหย่าหยุน เดิมทีแล้วนั้นเขาไม่อยากรับสาย แต่เมื่อนึกถึงกระเป๋าเดินทาง เขาก็จำใจต้องกดรับสาย :“ฮาโหล”
“คุณอาคะ ฉันถึงเมืองไห่หลิงแล้วนะคะ” ทางหย่าหยุนกล่าวต่อว่า: “ฉันขอให้คนขับรถช่วยนำกระเป๋าของคุณอาไปเก็บไว้ที่ห้องของฉัน รอคุณอาว่างมาเอาเมื่อไหร่ ฉันก็จะเอาให้คุณอานะคะ คุณอาจะว่างมารับตอนไหนคะ?”
“รอดูสถานการณ์ก่อนนะ” สือมูเฉินกล่าว: “สำหรับโครงการ คุณติดตามกับผู้อำนวยการเหวินไปก่อน พรุ่งนี้คุณค่อยส่งรายงานเบื้องต้นมาให้ผม เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง”
“คุณอาคะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?” ทางหย่าหยุนถามด้วยความสงสัย
สือมูเฉินตอบกลับสั้นๆว่า: “ธุระส่วนตัว” หลังจากพูดแล้วเขาก็ตัดสาย
เขาวางโทรศัพท์ลง ค่อยๆ จับผ้าห่มบางๆที่คลุมหลานเสี่ยวถางไว้ และดูบาดแผลของเธอ
อาการบาดเจ็บหลักๆของเธอนั้นอยู่ที่เอว โชคดีที่ม้ามไม่แตก แค่ในขณะที่เธอล้มลงกับพื้น เส้นเลือดของเธอแตกและมีเลือดไหลออกมาก
แต่อย่างไรก็ตาม บาดแผลที่เอวนั้นส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และคาดว่าน่าจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์กว่าจะเดินได้
เมื่อกี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเขาได้สั่งให้คนไปสืบแล้ว แต่เนื่องจากเป็นจุดบอดกล้องวงจรปิดจับภาพไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอ
เรื่องราวทุกอย่างนั้น ต้องรอให้หลานเสี่ยวถางฟื้นขึ้นมาถึงจะสามารถรู้ได้
สือมูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง และได้กดโทรหาฟู่สีเกอ
“อาเฉิน ไหนคุณบอกว่าคุณจะเดินทางไปที่เมืองไห่หลินไม่ใช่เหรอ? ทำไมไปถึงที่นั่นแล้วยังคิดถึงผมอีกเหรอ?” น้ำเสียงแหย่ของฟู่สีเกอดังขึ้น
สือมูเฉินไม่ได้คิดจะล้อเล่นกับเขา: “เสี่ยวถางได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ สองสามวันนี้ผมอาจจะต้องไปที่เมืองไห่หลิน หลังจากที่ผมออกเดินทางแล้ว คุณจะต้องช่วยผมดูแลเธอหน่อย”
“อา?ภรรยาของคุณได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?” ฟู่สีเกอเลิกพูดล้อเล่นพร้อมตอบรับ: “ไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวลผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด! หลังจากที่คุณกลับมา คุณสามารถลองชั่งน้ำหนักของเธอได้เลย รับรองว่าน้ำหนักเธอเพิ่มขึ้นแน่นอน!”
“โอเค ต้องขอบคุณคุณล่วงหน้าแล้ว” สือมูเฉินกล่าว: “เนื่องจากแผนการมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เวลาเดินทางกลับมาของชิงเจิ๋ออาจจะล่าช้าไปสองสามวันแล้วล่ะ”
“อย่ากังวลไปเลย เพื่อนคนนี้จะคอยดูแลเอง!” ฟู่สีเกอแกล้งพูดล้อเล่นว่า: “ไม่ใช่ว่าผมดูแลภรรยาของคุณอย่างดีแล้ว เธอคงจะไม่ตกหลุมรักผมหรอกใช่ไหม?”
สือมูเฉินเม้มริมฝีปากเล็กน้อย: “คุณสามารถจินตนาการเช่นนี้ได้ เพื่อสนองตัวเองจากที่เคยอกหักมาแล้วหลายครั้งแล้วกันนะ”
เมื่อฟู่สีเกอได้ยินเช่นนั้นก็อารมณ์ขึ้นทันที: “อาเฉิน คุณพูดให้มันชัดเจนกว่านี้หน่อยสิ ทั้งๆที่คนอยากเป็นแฟนของผมต่อแถวตั้งแต่เมืองหนิงเฉิงจนถึงเมืองไห่หลินเชียวนะ ผมเคยอกหักตอนไหนไม่ทราบครับ? คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิครับ!”
“โอเค คุณคือผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก พอใจยัง?” สือมูเฉินกล่าว:“ เสี่ยวถางจะฟื้นแล้ว แค่นี้แหละ ผมจะวางสายละ”
“เฮ้ เห็นสาวสำคัญกว่าเพื่อน! อย่าเพิ่งวางสายสิ พูดให้ชัดเจนก่อนสิ!” ฟู่สีเกอได้ยินแต่เสียงโทรศัพท์ดัง ตู๊ด ตู๊ด สีหน้าเปลี่ยนไปหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
และในเวลานี้ ผลของยาชาได้ค่อย ๆ หมดไป หลานเสี่ยวถางรู้สึกทรมานไปทั้งตัว เธอขมวดคิ้วและค่อยๆลืมตาขึ้น
แวบแรกเธอมองเห็นเพดานห้องเป็นห้องสีขาวและมันเงียบสงบมาก เธอขยับเล็กน้อย และพบว่าร่างกายของเธอนั้นยังรู้สึกทรมานปวดไปทั้งตัวอยู่ อีกทั้ง ยังมีอาการปวดแบบเจ็บแปลบจี๊ดๆที่เอวของเธอ และก็รู้สึกมึนๆ ตรงศีรษะ
เธอค่อยได้สติกลับคืนมา และก่อนที่อาการจะโคม่าความทรงจำค่อยๆฟื้นคืนมา เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าเธอยังไม่ตาย! และในตอนนี้ เธออยู่ในโรงพยาบาล!
ในเวลานั้น เธอพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้าย เธอคิดว่าตัวเองนั้นไม่น่าจะรอดแล้ว แต่ว่า เสียงเรียกของสือมูเฉินดังก้องอยู่ในหูตลอดเวลา และเหมือนแฝงด้วยพลังพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเธออดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเธอก็รอจนเขามาหาเธอ
หลานเสี่ยวถางหันมองไปรอบๆ ก็มองเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง
สือมู่เฉินก็กำลังจ้องมองเธออยู่พอดี และเมื่อเห็นเธอฟื้นขึ้นมา เขาก็ยิ้มด้วยความดีใจ: “เสี่ยวถาง เธอไม่เป็นอะไรแล้ว”
เธอต้องการพูดคุยกับเขา แต่เมื่อเธอขยับริมฝีปากของเธอ แต่เธอกลับรู้สึกว่าคอของเธอแห้งเกินไปที่จะส่งเสียงพูดออกมาได้
สือมูเฉินรีบลุกขึ้นยืนแล้วเทน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว แล้วเดินตรงมาหาเธอ: “เสี่ยวถาง คุณต้องการดื่มน้ำใช่ไหม?”
เธอกระพริบตาแสดงความต้องการที่อยากจะดื่มน้ำ
แต่ว่าเธอไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เลย เธอจะดื่มน้ำได้อย่างไร? หลานเสี่ยวถางมองดูบริเวณรอบ ๆ และดูเหมือนจะมองไม่เห็นว่าในห้องนั้นมีหลอดดูดน้ำ
ในวินาทีต่อมา สือมูเฉินยกแก้วขึ้นมาและกระดกน้ำเข้าปากของตัวเองหนึ่งอึก
หลานเสี่ยวถางดวงตาเบิกกว้างทันที เธอต้องการดื่มน้ำ ไม่ใช้ให้เขาดื่มน้ำให้เธอดูนะ!
เธอกังวลใจมาก เธอพูดออกมาด้วยความยากลำบาก: “กระหายน้ำ……”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะพูดจบ เขาก็เอนตัวลงและขยับเข้าไปใกล้จนชิดตัวเธอแล้วเขาก็