ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 72 ชอบไหม?ผมจะป้อนให้คุณกินทีละคำทีละคำ
หลานเสี่ยวถางคาดเดาบางอย่างอยู่ในใจของเธอ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นทันใด และเธอก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
แต่กลับเห็นสือมูเฉินเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น จนจมูกของเขาแตะเข้ากับจมูกของเธอ เธอเห็นขนตาของเขาได้อย่างชัดเจน และเห็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ ราวกับว่าเขากำลังรู้สึกตลกกับท่าทีเขินอายของเธอ
ในวินาทีต่อมา ริมฝีปากของเขาแนบชิดกับริมฝีปากของเธอ จากนั้น ปากของเธอค่อยๆอ้าขึ้น และน้ำค่อยๆไหลเข้าปากของเธออย่างช้าๆ
หลังจากนั้นดวงตาของหลานเสี่ยวถางเบิกกว้างด้วยความตกใจ นี่เขากล้าใช้วิธีแบบนี้ป้อนน้ำให้กับเธอเลยเหรอ!
แต่เมื่อเห็นสือมูเฉินดื่มรวดเดียวจนหมด เขาก็ลุกขึ้นเล็กน้อย อาการยิ้มน้อย ๆ อย่างมีเลศนัย :“เสี่ยวถาง เดี๋ยวสามีจะป้อนให้เธอเองนะจ๊ะ แบบนี้รู้สึกสบายกว่าดื่มน้ำเปล่าด้วยตัวเองอีกใช่ไหมล่ะ”
แก้มของหลานเสี่ยวถางแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ เธอทำได้เพียงแต่กลอกตาเพื่อต่อต้าน
“แท้ที่จริงแล้วคุณชอบมันมากเลยใช่ไหมล่ะ?” ริมฝีปากของสือมูเฉินกระตุกเล็กน้อย: “ถ้าคุณก็ไม่ต้องตื่นเต้นใจจดใจจ่อขนาดไหน เดี๋ยวผมจะป้อนให้คุณอย่างช้าๆทีละคำทีละคำนะครับ”
เขาจงใจแกล้ง ‘ป้อนน้ำทีละนิด’ และฉวยโอกาสจูบเธอ!
ในขณะที่พูดอยู่นั้น สือมูเฉินก็ดื่มเข้าไปอีกหนึ่งอึก แล้วก็ก้มตัวลงแนบริมฝีปากเธออีกครั้ง
แทนที่เขาจะป้อนแค่น้ำอย่างเดียว แต่ปลายนิ้วของเขายังคงลูบไล้ที่แก้มของเธอเล็กน้อยและทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้ จากนั้นเขาก็เริ่มรุกล้ำเข้าไปโพรงปากเธอ หลังจากที่เขาป้อนน้ำให้กับเธอ ทันใดนั้น จากที่เธอกระหายน้ำ กลับเปลี่ยนไปเป็นใจเต้นแรงหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย
ในที่สุด หลังจากป้อนน้ำหมดแก้วแล้ว หลานเสี่ยวถางรู้สึกลำบากมากกว่าการที่ตัวเองลุกขึ้นมานั่งดื่มเองเสียอีก เธอมองดูเขา: “คุณป้อนน้ำด้วยแบบนี้ คุณไม่กลัวป้อนจนทำให้คนป่วยเป็นลมเลยเหรอ? ”
“เวลาที่เสี่ยวถางจูบนั้นเธอก็ยังสามารถหายใจได้อยู่ หรือว่าเธอยังไม่มีประสบการณ์ด้านนี้อีกเหรอ?” สือมูเฉินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ต่อไปนี้เวลาดื่มน้ำฉันเลือกวิธีนี้ได้เพียงวิธีเดียวเหรอ……” หลานเสี่ยวถางกัดริมฝีปากของตัวเอง แน่นอนว่าหลังจากที่เธอดื่มน้ำลงไปแล้วหนึ่งแก้ว จากเดิมที่ริมฝีปากแห้งก็ชุ่มชื่นขึ้นเล็กน้อย และเสียงพูดก็กลับคืนมาแล้ว
“ใช่สินะ ไม่ใช่เพียงแค่ดื่มน้ำนะ แม้แต่การที่เธอจะเข้าห้องน้ำก็ต้องพึ่งผมเพียงคนเดียว”สือมูเฉินไหวไหลอย่างหยี่หร่า
“อา—” เมื่อหลานเสี่ยวถางนึกถึงสภาพที่ตัวเองต้องการเข้าห้องน้ำยังไม่สามารถทำได้ ก็รู้สึกว่า……
เมื่อสือมูเฉินเห็นอาการเธอแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้นทันที เขานั่งลงข้างเตียงของหลานเสี่ยวถางและถามเธอว่า: “เสี่ยวถาง คุณเคยพูดว่าไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน ก็ต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ?”
เขาจ้องมองแววตาของเธอ: “ทำไมคุณต้องโทรหาผมด้วยล่ะ?ถ้าหากเครื่องบินไม่ดีเลย์ แล้วถ้าผมปิดเครื่องผมก็คงรับโทรศัพท์ของคุณไม่ทัน แล้วคุณจะทำอย่างไร”
หลานเสี่ยวถางหลับตาลง
“ในเวลานี้ ถึงแม้ว่าคุณจะหาหั่นจื่ออี้ ผมก็จะไม่โกรธคุณหรอกนะ” สือมูเฉินพูดอย่างจริงจัง: “ต่อไปนี้อย่าทำเรื่องโง่ๆอีกนะ ได้ยินไหม?”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: “ในตอนนั้น ฉันนึกถึงแต่คุณเท่านั้น ดังนั้น……”
เพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เธอรู้สึกว่า มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เธอสามารถพึ่งพาได้
เมื่อสือมูเฉินได้ยินคำพูดของเธอแล้ว เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขากุมมือเธอไว้แน่น และถอนหายใจออกมาเบาๆ:“คุณเป็นแบบนี้ ผมจะวางใจไปแถบตะวันตกได้อย่างไรกัน?”
เธอทำให้เขาเสียงานเสียการหรือเปล่า? หลานเสี่ยวถางรีบพูดว่า: “ไม่เป็นไรค่ะ คุณไปเถอะ ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ฉันสามารถให้พยาบาลดูแลได้นี่นา ตกกลางคืน หลังโยวโยวเลิกงานฉันสามารถให้เธอมาอยู่เป็นเพื่อนฉันได้”
“ผมได้วานฟู่สีเกอแล้ว หลังจากที่ผมออกเดินทาง เขาจะเป็นคนมาดูแลคุณเอง” ในขณะที่สือมูเฉินพูดอยู่นั้นเขาก็ลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าใบหนึ่ง: “เสี่ยวถาง เปลี่ยนโทรศัพท์ของคุณเถอะ”
“หืม?” หลานเสี่ยวถางเห็นโลโก้บนกล่องโทรศัพท์และพูดด้วยความประหลาดใจ: “นี่เป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยเชียวนะ?”
สือมูเฉินพยักหน้า:“เราสองคนคนละเครื่อง”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาแกะกล่องโทรศัพท์ และหยิบโทรศัพท์สีชมพูซากุระออกจากกล่องแล้วยื่นให้หลานเสี่ยวถาง: “หากมีสถานการณ์อันตรายแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วล่ะก็ คุณแค่ปลดล็อกและเริ่มการโทรออกด้วยเสียงของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการโทรหาผม ก็พูดเพียงว่า: โทรหาสือมูเฉิน มันจะโทรออกโดยอัตโนมัติ และแน่นอนว่า ถ้าหากไม่สะดวกที่จะพูด ยังมีปุ่มลัดที่สามารถตั้งค่าได้ คุณต้องตั้งค่าล่วงหน้าด้วยตัวเองก่อน ”
หลานเสี่ยวถางกระพริบตาพร้อมพยักหน้าตอบรับ
สือมูเฉินกล่าวเสริมว่า: “มีระบบติดตาม GPS อยู่ในนั้น คุณพิจารณาดูก่อนว่าคุณต้องการเพิ่มผมเป็นเพื่อนคุณหรือไม่ ถ้าหากคุณเข้าร่วม ผมจะสามารถเห็นตำแหน่งของคุณได้ตลอดเวลา และแน่นอนว่า คุณก็สามารถเห็นตำแหน่งของผมได้เช่นกัน”
หลานเสี่ยวถางผงะไปครู่หนึ่ง: “แล้วคุณเต็มใจที่จะเพิ่มฉันไหมคะ?”
สือมูเฉินยิ้ม: “ตามใจคุณเลย”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “ถ้างั้นก็เพิ่มเข้าไปเลยค่ะ” หลังจากที่พูดจบ นี่เขาไม่คิดเลยเหรอว่าเธอสามารถรู้เรื่องส่วนตัวของเขาได้? อีกทั้งผู้ชายส่วนมากก็คงไม่ชอบให้ผู้หญิงล่วงรู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนหรอก?
ดังนั้น สือมูเฉินจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือสีดำของเขาออกมา ช่วยหลานเสี่ยวถางตั้งค่าพร้อมเพิ่มเป็นเพื่อน
หลังจากที่ดำเนินการเสร็จแล้ว สือมูเฉินก็พูดอย่างจริงจังว่า :“เสี่ยวถาง อุบัติเหตุเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไรกัน?”
เมื่อหลานเสี่ยวถางต้องพูดถึงเรื่องนี้ สายตาของเธอก็แสดงออกมาด้วยความเกลียดชัง: “ฉันถูกเพ่ยหลินผลักจนล้มลง!”
สือมูเฉินเบิ่งตาโตด้วยความตกใจ
หลานเสี่ยวถางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง จากนั้นพูดว่า: “เมื่อเขาเห็นว่าฉันถูกรถชน เดิมเขากำลังจะเข้ามาช่วยฉัน แต่ว่า เฉินจื่อโร่วแกล้งทำเป็นปวดท้อง ดังนั้นเขาจึงพาเฉินจื่อโร่วจากไป”
สือมูเฉินขมวดคิ้วแน่น: “นี่เขาเห็นคนจะตายแล้วไม่คิดจะช่วยเลยเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า: “แต่ฉันคิดว่าท่าทางของเขาค่อนข้างแปลก เพราะก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเฉินจื่อโร่วกำลังตั้งครรภ์ แต่เขาก็ขับไล่เฉินจื่อโร่วไป สายตาที่เขามองเฉินจื่อโร่วนั้นแสนเย็นชา แต่พอวันนี้เขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยลูกในท้องของเฉินจื่อโร่วยังไงยังงั้นแหล่ะ ……”
แววตาของสือมูเฉินแสดงออกมาด้วยความสงสัย: “เสี่ยวถาง ผมจะหาคนไปสืบเอง อีกทั้งสายที่คุณยายของคุณได้รับนั้น ในสิ่งที่เฉินจื่อโร่วพูดนั้นไม่น่าจะเป็นเพ่ยหลินที่เป็นคนบอกกับเธอ ผมสงสัยว่ามีคนๆนั้นอยู่รอบตัวเธอ เพราะก่อนหน้านี้งานยุ่งวุ่นวายมาก ผมเลยไม่มีเวลาสืบ พอดีช่วงบ่ายวันนี้ ผมจะไปสืบให้ชัดเจน”
“ตกลงค่ะ ขอบคุณคุณมากนะคะ มูเฉิน” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าตอบรับเบาๆ
“เสี่ยวถาง ผมควรต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่านะ” สือมูเฉินกล่าวว่า: “เหตุการณ์ที่เกิดกับคุณนี้ คุณอย่าเพิ่งไปบอกเพ่ยหลินนะ หากตอนนี้ผมและเขาปะทะกัน แผนการมากมายที่วางแผนไว้จะต้องล้มเหลว ดังนั้น เวลานี้ทำได้แค่เพียงให้คุณอดทนหน่อย และรอหลังจากนี้สองเดือน ผมจะทวงทุกอย่างกลับคืนมาให้คุณ”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็ก้มศีรษะลงและจูบแก้มของหลานเสี่ยวถาง: “ผมจะชดเชยให้คุณเป็นสองเท่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ทุกอย่าง” หลานเสี่ยวถางจับมือของสือมูเฉิน: “ถ้าคุณมีแผนการอะไรคุณก็รีบไปดำเนินการเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลย แต่ว่า ฉันจะพยายามไม่เป็นภาระและทำให้คุณเดือดร้อน”
“ผิดแล้ว” สือมูเฉินหรี่ตาพร้อมพูดว่า :“คุณสามารถช่วยผมได้”
“หือ?” หลานเสี่ยวถางทำท่าประหลาดใจ: “ช่วยตรงไหนคะ?”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วยเหลือเธอตลอด โดยสมัครโรงเรียนสอนขับรถให้กับเธอ ซื้อรถให้กับเธอ และยังมอบโทรศัพท์มือถือให้เธออีก ตอนนี้เธอยังเป็นคนที่ทำให้เขาเดือดร้อนต้องมาดูแลเธอจนเสียงานเสียการแบบนี้ ยิ่งอยู่เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนคนไม่เอาถ่านเลย
“ช่วยได้จริงๆนะ” สือมูเฉินขยับเข้าไปใกล้หลานเสี่ยวถางและกระซิบที่ข้างๆหูของเธอว่า: “คุณตั้งใจเรียนรู้ซอฟต์แวร์ให้ดี เมื่อถึงวันที่คุณเรียนสำเร็จ ผมมีความลับจะบอกคุณ”
หลังจากที่หลานเสี่ยวถางได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “ความลับอะไรคะ?ถ้าหากฉันรู้ความลับแล้ว ก็จะสามารถช่วยคุณได้อย่างนั้นเหรอคะ?”
สือมูเฉินพยักหน้า: “แต่ว่า ณ เวลานี้ผมยังบอกคุณไม่ได้”
หลานเสี่ยวถางหน้ามุ่ย เธออยากรู้จริงๆ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เธอควรรีบไปเรียนรู้ให้เร็วที่สุดใช่ไหมคะ?
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ เธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า การที่เธอยังคงนอนรักษาตัวอยู่แบบนี้ ทำให้โครงการDEEP ต้องล่าช้าออกไปอีกจะทำยังไง?
“มูเฉิน คุณหมอได้แจ้งไหมว่าอาการบาดเจ็บของฉันสามารถลุกนั่งได้เมื่อไหร่ ?”หลานเสี่ยวถางถาม:“โครงการDEEP ฉันยังทำไม่เสร็จเลย ทุกวันจำเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงมากในการทำโครงการนี้ ……”
“คุณสามารถลาสักหยุดสองวันได้ไหม?” สือมูเฉินถาม :“ประมาณวันที่สามน่าจะลุกขึ้นนั่งได้”
“เดี๋ยวฉันลองสอบถามดู…… ” หลานเสี่ยวถางทำท่าลังเล
เริ่มแรกทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ว่า หลังจากนั้นไม่นาน หลานเสี่ยวถางก็อยากจะไปเข้าห้องน้ำจริงๆแล้ว
เธอลังเลอยู่สักครู่ จึงพูดกับสือมูเฉินว่า:“มูเฉิน ฉันควรทำอย่างไรดี ฉันอยากเข้าห้องน้ำ?”
สือมูเฉินเลิกคิ้ว: “ผมจะอุ้มคุณไปเอง ช่วยอุ้มคุณไปฉี่เหมือนกับเด็กน้อยไง ?”
เมื่อหลานเสี่ยวถางนึกถึงเด็กที่กำลังฉี่ เธอก็ตกใจจนหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม พอผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็แสดงปฏิกิริยาอีกครั้ง: “ในโรงพยาบาลควรจะมีสายสวนปัสสาวะไม่ใช่หรือ……”
“ผมคิดว่าคุณจะไม่รู้จริงๆ ก็เลยแกล้งคุณเล่น” ในขณะที่สือมูเฉินกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็หันหลังไปเรียกพยาบาล
โชคดีที่เหตุการณ์ทุกอย่างนั้น สือมูเฉินยืนรออยู่นอกประตูห้อง มิฉะนั้นหลานเสี่ยวถางก็ไม่รู้ว่ามันน่าอายขนาดไหน
ข้างนอกค่อยๆมืดลง และหลานเสี่ยวถางสามารถกินได้แค่อาหารเหลวเท่านั้น ดังนั้น สือมูเฉินจึงช่วยเธอปรับเตียงเล็กน้อย จากนั้นจึงหยิบช้อนป้อนอาหารให้กับเธอ
ภายใต้แสงไฟ เธอมองดูดวงตาและคิ้วที่เข้มของเขา รู้สึกว่าเหมือนอยู่ในความฝัน
ตั้งแต่เล็กจนโต สุขภาพของเธอแข็งแรงมาตลอด ดังนั้น แทบไม่มีเลยสักครั้งที่เธอจะป่วยจนลุกไม่ขึ้น และไม่จำเป็นต้องมีคนดูแล
ดังนั้น สถานการณ์แบบนี้จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าประสบการณ์ที่เลวร้ายนั้นมันทำให้จิตใจของเธอค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น
ทั้งๆที่รู้ว่าการที่เราเชื่อใจคนๆหนึ่งนั้นอาจทำให้เธอเสียใจอีก แต่ว่าเธอก็ยังเต็มใจที่จะลองเชื่ออีกสักครั้งหนึ่ง
“มูเฉิน” หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นและเรียกเขา
“หือ?” สือมูเฉินมองไปที่หลานเสี่ยวถาง แล้ววางชามลง: “กินแอปเปิ้ลอีกลูกไหม?”
“ดีค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าตอบรับ
อันที่จริง การที่เธอเพิ่งเรียกชื่อเขาเมื่อกี้นี้ เพราะอยากถามเขาว่า เขาจะปฏิบัติต่อเธออย่างดีอย่างนี้ตลอดไปหรือไม่?
แต่ว่า พอมาคิดดูแล้ว ทำไมต้องถามคำถามแบบนี้ด้วยนะ? ตอนนี้เขาดีต่อเธอมันก็มากพอแล้ว ส่วนในอนาคต แม้ว่าเขาจะสัญญาว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป แต่ถ้าหากมันเปลี่ยนไปจริงๆ เธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วล่ะ?
ไม่สิ สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้คือ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อที่เธอจะได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา และสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเธอจะพบเจออุปสรรคอะไรก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
ณ เวลานี้หลานเสี่ยวถางได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป
สือมูเฉินเปิดดูโทรศัพท์ และเริ่มเคลียร์งาน
ทันใดนั้น เขาก็ได้รับอีเมลหนึ่งฉบับ และทันทีที่เขาเปิดดู คิ้วกระตุกเล็กน้อยและรอยยิ้มเล็กๆก็ผุดขึ้นมา
แค่เห็นบนหน้าจอ เป็นบันทึกการโต้ตอบระหว่างเฉินจื่อโร่วและชุยซื่อฮว๋า ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าสือเพ่ยหลินถูกสวมเขาแล้ว เพียงแค่ว่า หลักฐานภาพถ่ายหรือวิดีโอนั้นยังหาไม่เจอ
ในเมื่อภรรยาสาวสวยและแสนดีของเขาบอกว่า เธอต้องการทำอะไรเพื่อเขาสักหน่อย ถ้าเช่นนั้น เขาก็จะปล่อยให้เธอรวบรวมหลักฐานด้วยตัวเอง อย่างน้อยเวลาเธอประสบปัญหา จากนั้นก็ช่วยสงเคราะห์เธออีกแรง
ดังนั้น เมื่อหลานเสี่ยวถางตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น สือมูเฉินได้เอาบันทึกการสนทนาให้หลานเสี่ยวถางดู: “เสี่ยวถาง คุณดูนี่สิ”
หลานเสี่ยวถางอ่านบันทึกและรู้สึกประหลาดใจ: “จริง ๆ แล้วลับหลังสือเพ่ยหลินแล้วเฉินจื่อโร่วมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ……”
“ชายคนนั้นด้อยกว่าเพ่ยหลินในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางครอบครัวหรือรูปลักษณ์ภายนอก” สือมูเฉินวิเคราะห์และกล่าว: “คุณเห็นไหม ก่อนหน้านั้นคนคนนั้นจะเป็นคนที่ริเริ่มเข้าหาเฉินจื่อโร่วก่อนเกือบทุกครั้ง แต่ต่อมาเฉินจื่อโร่วกลายเป็นคนไปหาเขาก่อนตลอด ดังนั้น เขาต้องมีความลับอะไรของเฉินจื่อโร่วอยู่ในมือของเขาอย่างแน่นอน”
แววตาของหลานเสี่ยวถางเป็นประกาย: “อาจเป็นรูปถ่ายหรืออะไรบางอย่าง? สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือหาหลักฐานพวกนี้!”