ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 81 ทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมที่ไม่ดีอย่างคุยไปด้วยแล้วลูบเธอไปด้วยแบบนี้ล่ะ
- Home
- ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ
- บทที่ 81 ทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมที่ไม่ดีอย่างคุยไปด้วยแล้วลูบเธอไปด้วยแบบนี้ล่ะ
เมื่อเห็นหญิงชราเดินมาแล้ว ทันใดนั้นเอง ก็มีคนหันไปเอ่ยอธิบายกับเธอว่า “ท่านผู้หญิงฮั่ว คือแบบนี้ค่ะ สร้อยทับทิมสีแดงของคุณเหมียวเหมี่ยวหายไปแล้วค่ะ พวกเราจึงสงสัยว่าคุณคนนี้เป็นคนเอาไปค่ะ พวกเราบอกว่าจะค้นตัว แต่ทว่าเธอกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือค่ะ”
“ค้นตัวหรือ?” ท่านผู้หญิงฮั่วขมวดคิ้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยอำนาจ “ใครกล้าค้นตัวเธอ?!”
ทุกคนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ “ท่านผู้หญิงฮั่ว คือท่าน……รู้จักกับคุณคนนี้หรือคะ?”
เมื่อมีคนเอ่ยถามออกไปเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นเอง กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ร้องเรียกอย่างร้ายกาจเมื่อครู่นี้ จึงตกตะลึงจนเหงื่อชุ่มตัว
ท่านผู้หญิงฮั่วไม่ได้สนใจกลุ่มคนมากมาย กลับเดินไปตรงหน้าหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยนขึ้นมาว่า “แม่หนูจ๊ะ ได้รับความไม่เห็นธรรมแล้วล่ะ!”
จมูกของหลานเสี่ยวถางในตอนนี้ก็เริ่มแสบร้อนขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เธอขบเม้มริมฝีปากไปมา “ขอบพระคุณค่ะ คุณย่าฮั่ว”
ผู้คนรอบข้างเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้กันทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยถามร่วมกันว่า “ท่านผู้หญิงฮั่วคะ คุณผู้หญิงคนนี้คือ?”
ท่านผู้หญิงฮั่วถึงหันไปมองฮั่วเหมียวเหมี่ยวที่อยู่ทางด้านข้าง ก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้นมาว่า “เหมียวเหมี่ยว คุณผู้หญิงคนนี้ไม่ขโมยสร้อยของเธอไปอย่างแน่นอน”
“คุณย่าคะ ทำไมงั้นหรือคะ?” สีหน้าของฮั่วเหมียวเหมี่ยวกระวนกระวายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไรดีละคะ สร้อยคอที่พี่สาวมอบให้ฉันมันหายไปแล้วนะคะ!”
ท่านผู้หญิงฮั่วยืนตัวตรง ก่อนจะหันไปเอ่ยปากถามกับผู้คนที่อยู่รอบข้าง “คุณผู้หญิงคนนี้ ฉันเคยเจอตอนที่อยู่หนิงเฉิง วันนั้น ฉันออกไปเดินข้างนอกคนเดียว แต่ทว่ากลับรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นักที่ศีรษะ รอบข้างมีผู้คนผ่านไปมามากมายนัก แต่ทว่าไม่มีใครให้ความช่วยเหลือฉันเลยแม้แต่คนเดียว แต่ทว่า คุณผู้หญิงคนนี้กลับเดินเข้ามาหา พยุงฉันข้ามทางม้าลาย จนกระทั่งฉันข้ามทางม้าลายเสร็จแล้ว เธอถึงจากไป”
พูดไป เธอก็เอ่ยเสียงดังว่า “ผู้หญิงที่ทำเรื่องแบบนี้อีกทั้งยังไม่ทิ้งแม้แต่ชื่อเอาไว้ จะขโมยสร้อยคอได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ แพงกว่าสร้อยคอทับทิมตั้งเยอะ! นี่คือแบรนด์เสื้อผ้าที่ทำมือจากอิตาลีเชียวนะ!”
หลานเสี่ยวถางตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะสบตามองชุดเดรสของตนเอง ในตอนที่สวมใส่ เธอรู้สึกเพียงแค่ว่าวิธีการทำและคุณภาพนั้นทำออกมาอย่างดีมาก เดิมสือมูเฉินเองก็เอ่ยขึ้นอย่างขอไปทีว่าก็แค่ซื้อติดมือมาให้เท่านั้น แต่ทว่านึกไม่ถึงเลยว่า……
เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินประโยคที่ท่านผู้หญิงฮั่วเอ่ยขึ้นมาแล้วสีหน้าจึงแปรเปลี่ยนไปกันทั้งหมดเล็กน้อย มีคนที่ไหลไปตามสายลมได้อย่างรวดเร็ว ก็รีบเอ่ยสมทบขึ้นมาทันทีว่า “ใช่แล้วล่ะ ดูท่าแล้วเมื่อครู่นี้คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันสินะ!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิด!” คนอื่น ๆ ที่เหลือเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้ ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อครู่นี้ทุกคนคงรีบร้อนมากไปหน่อยน่ะ!”
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ถ้าหากว่าไม่ได้ท่านผู้หญิงฮั่วช่วยออกรับหน้าเป็นพยานแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นแล้วความยุติธรรมของคุณหลานจะมีใครช่วยทวงคืนมาได้อีกล่ะครับ ทุกท่านครับ ควรที่จะกล่าวขอโทษคุณหลานหน่อยไหมครับ?!”
เมื่อหลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นมา สายตาก็ประสานเข้ากับสือมูเฉินทันที นัยน์ตาของเขาฉายประกายเข้มขึ้นเล็กน้อย เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ายังคงเต็มไปด้วยโทสะไม่หาย
เขาเดินผ่านกลุ่มคนเข้ามายืนอยู่ที่ด้านข้างของเธอ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเธอเสียงเบาว่า “เสี่ยวถางครับ ขอโทษนะครับ ผมมาช้าไปแล้ว”
อันที่จริง ในตอนที่เขาเห็นทางหย่าหยุนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับรองนายกเทศมนตรีต่อหน้าเขานั้นเอง ก็เกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่ทว่า กลับนึกไม่ถึงเลย ว่าเป็นการพาเสือออกจากป่าฉากหนึ่งเท่านั้น
จนกระทั่งเสียงจากที่ด้านนอกนั้นเริ่มดังวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สือมูเฉินเอ่ยขึ้นว่าจะออกไปแล้ว เห็นท่าทางรีบร้อนอาลัยอาวรณ์จะรั้งเอาไว้ของทางหย่าหยุน สือมูเฉินถึงเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที
ดังนั้นแล้ว เขาจึงรีบกุลีกุจอออกมาจากห้องอาหาร ประจวบเหมาะกับเผอิญเห็นฉากที่ท่านผู้หญิงฮั่วออกรับหน้าแทนอยู่พอดี
ผู้คนมากมายเมื่อได้ยินคำพูดของสือมูเฉินแล้ว สีหน้าทั้งหมดจึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่า กลับไม่มีใครเอ่ยปากออกมาเลยสักคนเดียว
เมื่อท่านผู้หญิงฮั่วเห็นเช่นนั้นแล้ว ปรับสีหน้า ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเหมียวเหมี่ยวว่า “เหมียวเหมี่ยว ย่าเคยบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรือไง เรื่องที่ไม่มีหลักฐานอะไรจริง ๆ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระ เธอทำผิดต่อคุณหลานแล้ว ควรที่จะกล่าวขอโทษกับเธอเสียนะ!”
ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วฮั่วเหมียวเหมี่ยวจะทำอะไรตามอำเภอใจไปเสียนิดหน่อย แต่ทว่า กลับเชื่อฟังคำพูดของท่านผู้อาวุโสมาโดยตลอด เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าในดวงตาจะแฝงไปด้วยหยาดน้ำตาของความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ แต่ทว่า ก็ยังคงหันไปกล่าวขอโทษต่อหลานเสี่ยวถางแล้วว่า “พี่สาวคะ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ควรผิดต่อพี่”
แม้กระทั่งฮั่วเหมียวเหมี่ยวยังยอมจำนน ดังนั้นแล้ว ผู้คนโดยรอบที่ต่อต้านหลานเสี่ยวถางเมื่อครู่นี้ ก็ค่อย ๆ ทยอยกล่าวขอโทษกันทั้งหมด
หลานเสี่ยวถางหันไปพยักหน้าขึ้นลงให้แก่ทุกคน “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน ฉันไม่คิดอะไรแล้วค่ะ เพียงแต่ว่า คุณฮั่วคะ ทำไมคุณถึงรู้สึกว่าฉันเอาสร้อยของคุณไปละคะ? ฉันนั่งอยู่ที่เขตโซฟามาโดยตลอด ไม่ได้ไปเดินไปที่ข้างกายของคุณแม้แต่น้อยเลยนะคะ”
หลานเสี่ยวถางพึ่งจะเอ่ยจบไม่เมื่อครู่ สือมูเฉินก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของเธอทันที ก่อนจะเอ่ยชมว่า “ฉลาด ถามได้ดีมากครับ”
“เป็นพี่สาวคนหนึ่งบอกฉันมาค่ะ” ฮั่วเหมียวเหมี่ยวพูดไปพลางมองไปรอบ ๆ พลาง สุดท้ายแล้ว ก็มองเห็นทางหย่าหยุนที่กำลังจะย่องออกไปอยู่ที่มุมห้อง
เธอรีบชี้ไปที่ทางหย่าหยุน “เป็นพี่สาวคนนั้นที่บอกกับฉันค่ะ เธอบอกว่าคุณหลานเอาสร้อยคอของฉันไป เธอว่าเธอเห็นกับตา”
สายตาของท่านผู้หญิงฮั่ว ทันใดนั้นเอง ก็มีคนขว้างหน้าของทางหย่าหยุนเอาไว้ในทันที
สีหน้าของเธออดไม่ได้ที่จะแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ทุกคนเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”
ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเดินเข้าไปก่อนจะเอ่ยว่า “พี่สาวคะเมื่อครู่นี้พี่บอกว่าพี่เห็นคุณหลานเอาสร้อยคอของฉันไปนี่คะ มีหลักฐานอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คุณหนูคะ คุณคือใครหรือคะ?” ทางหย่าหยุนแสร้งทำเป็นไม่รู้จักก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อครู่นี้ฉันพึ่งพบคุณเป็นครั้งแรกนะคะ อีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกเราได้คุยกันไรกันตอนไหนหรือคะ?”
“พี่——”ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเอ่ยอย่างนึกไม่ถึงว่า “ทำไมพี่ถึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักฉันแล้วละคะ! เมื่อครู่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลยนี่คะว่าพี่ชี้คุณหลานให้ฉันดู แล้วบอกว่าเธอเอาของของฉันไป เป็นที่ตรงนั้นไงคะ ที่พี่พูดน่ะ!”
“ฉันไม่ทราบจริง ๆ นะคะว่าคุณกำลังพูดอะไร!” ทางหย่าหยุนพูดไป ก่อนจะมองไปยังหลานเสี่ยวถาง ใบหน้าคุ้นเคย “ฉันกับคุณหลานมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมากขนาดนั้น พวกเราก็เป็นคนหนิงเฉิงด้วยกัน ฉันจะใส่ร้ายเธอได้อย่างไรกันละคะ?”
ฮั่วเหมียวเหมี่ยวรู้ว่าตนเองถูกหลอกเข้าให้แล้ว แต่ทว่าไม่มีหลักฐาน อดไม่ได้ที่จะบันดาลโทสะจนร่างสั่นเทา
ในตอนนั้นเอง มีคนคนหนึ่งจากที่มุมห้องพบสร้อยเส้นหนึ่งเข้า ก่อนจะเดินเข้ามาถามว่า “คุณฮั่ว อันนี้หรือเปล่า?”
นัยน์ตาของฮั่วเหมียวเหมี่ยวเป็นประกายทันที “เส้นนี้แหละค่ะ!”
หลานเสี่ยวถางสบตามองสร้อยรูปเปลวไฟเส้นนั้น จู่ ๆ นัยน์ตาก็หดตัวลงทันที
เธอจำได้ วันนั้นฟู่สีเกอไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล รอยสักบนคอก็สักรูปสร้อยเส้นนี้เอาไว้บนร่างด้วย!
“ในเมื่อหาเจอแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็โอเคแล้วล่ะ” ท่านผู้หญิงฮั่วเอ่ยขึ้น “ทุกท่านคะ พบเจอเรื่องน่าขันแล้วล่ะ”
เพียงแต่ ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเก็บสร้อยกลับมา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทางหย่าหยุนด้วยน้ำเสียงดุ ๆ ว่า “พี่ไปไหนไม่ได้นะคะ พี่ไม่พูดให้ชัดเจน ไปไหนไม่ได้นะ! อีกอย่าง พี่เป็นใครกันคะ? ในเมื่อพี่เป็นเพื่อนของคุณหลานคนนี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมต้องใส่ร้ายเธอด้วยคะ?”
หลานเสี่ยวถางเห็นท่าทางจริงจังของฮั่วเหมียวเหมี่ยว จึงอดที่จะรู้สึกว่าน่ารักไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเชื่อคนง่ายไปเสียหน่อย แต่ทว่า กลับคล้ายราวกับว่าเป็นคนยุติธรรมคนหนึ่งเลยล่ะ
“คุณผู้หญิงคนนี้ ผมกลับรู้จักครับ” จู่ ๆ สือมูเฉินก็เปิดปากเอ่ยขึ้นมา “เธอเป็นคู่หมั้นของรองนายกเทศมนตรีจางครับผม”
เมื่อจบประโยคลง จู่ ๆ ผู้คนรอบข้างก็ตกตะลึงกันขึ้นมาในทันที หลังจากนั้น จึงค่อย ๆ พูดคุยกับเกี่ยวกับใบหน้าค่าตาของทางหย่าหยุน
ถ้าเทียบกับในข่าวซุบซิบเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว ทันใดนั้นเองก็จำเธอขึ้นมาได้ทันที “อ๋อ ที่แท้ก็เป็นคุณทางนี่เอง! คุณเหมียวเหมี่ยว ในเมื่อเธอเป็นคู่หมั้นของรองนายกเทศมนตรี ถ้าอย่างนั้นแล้วเธอก็คงไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ”
ทันใดนั้นเอง ก็เริ่มมีคนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านรองนายกเทศมนตรีจาง พวกท่านวางแผนที่จะแต่งงานเอาไว้เมื่อไหร่หรือคะ?”
“ใช่ค่ะ ท่านรองนายกเทศมนตรีจางคะ ท่านแต่งงานจะต้องแจ้งด้วยสิคะ พวกเราเมืองไห่หลินรอที่จะยินดีกับท่านอยู่นะคะ!”
พลันนั้นเองรอบข้างก็มีเสียงแสดงความยินดีดังขึ้น รองนายกเทศมนตรีจางจึงเอ่ยด้วยใบหน้าอิ่มเอมว่า “เรื่องแต่งงานคงจะเร็ว ๆ นี้แหละครับ หย่าหยุนเองก็ตกลงรับคำของแต่งงานกับผมแล้ว พวกเราวางแผนเอาไว้ว่าช่วงนี้จะไปจดทะเบียนกันแล้วล่ะ หลังจากนั้นก็จะหาเวลา อาจจะเป็นครึ่งปีให้หลังแล้วก็จัดงานแต่งครับผม เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ต้องเชิญทุกคนแน่ครับ!”
ทันใดนั้นเอง เสียงเอ่ยคำยินดีจากรอบข้างก็ดังขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว ในช่วงเวลานั้นเอง เดิมเรื่องสร้อยคอก็ถูกคนลืมเลือนไปแล้ว แปรเปลี่ยนไปเป็นการอวยพรสำหรับงานสมรสล่วงหน้ากันทั้งหมด
ทางหย่าหยุนตอบรับคำอวยพรเสร็จ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้หลานเสี่ยวถาง “ถือว่าพี่ใจร้ายมากเลยนะคะ!”
สือมูเฉินในตอนนี้ที่อยู่ทางด้านข้างของหลานเสี่ยวถาง หันไปเลิกคิ้วเบา ๆ ให้กับทางหย่าหยุน “คุณทางครับ ผมเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือไงกัน ถ้าหากคุณมีการเคลื่อนไหวอะไรแล้วล่ะก็ ก็เป็นเพียงแค่ก้าวเร็ว ๆ ที่ช่วยให้คุณแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยเร็วขึ้นก็เท่านั้นนี่ครับ?”
ในตอนนี้ ท่านรองนายกเทศมนตรีกำลังพูดคุยกับคนอื่น ๆ อย่างออกรสออกชาติ ทางหย่าหยุนหันไปสบตามองเขาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น กักเก็บสีหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วคือตระกูลร่ำรวยอะไรกันละคะ? คุณอาคะ เพื่ออดีตภรรยาของพี่ชายของฉันแล้ว คุณอากลับกล้าที่จะยัดเหยียดฉันให้กับผู้ชายที่อายุมากกว่าฉันตั้งยี่สิบปีเลยหรือคะ!”
“คุณผิดแล้วล่ะ มีคนมากมายที่อยากตบแต่งเข้าตระกูลจากแต่ทว่ากลับไม่มีโอกาสนะ” มุมปากของสือมูเฉินเผยรอยยิ้มบางเบา “ดังนั้นแล้ว หลังจากที่คุณทางแต่งเข้าไปแล้ว ต้องจำเรื่องหนึ่งเอาไว้ด้วยนะครับ”
ร่างทั้งร่างของทางหย่าหยุนสั่นสะท้าน “เรื่องอะไรคะ?”
“เป็นสะใภ้ตระกูลร่ำรวยไม่น่าเป็นนะครับ จำเอาไว้นะครับว่าอย่าก้าวพลาด มิฉะนั้นแล้ว ผู้หญิงมากมายด้านนอกจะดึงคุณลงมา!” สือมูเฉินพูดจบ ก็จากไปพร้อมกับหลานเสี่ยวถางแล้ว
งานเลี้ยงดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงสามทุ่ม ในตอนที่กำลังจะเลิกนั้นเอง ท่านผู้หญิงฮั่วก็เดินเข้ามาเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “คุณหลาน หลังจากจบงานเลี้ยงแล้วพวกเรายังจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ต่ออีกงานหนึ่งด้วย ขอเชิญคุณกับเพื่อนของคุณมาร่วมงานด้วยกันสิจ๊ะ”
หลานเสี่ยวถางหันไปมองสือมูเฉินโดยอัตโนมัติ เขาพยักหน้าให้เธอ ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงไปว่า “ได้ค่ะ ขอบพระคุณนะคะคุณย่าฮั่ว พวกเราจะไปกันค่ะ”
ผู้คนโดยรอบจากไปกันหมดแล้ว อีกทั้งที่โรงกลั่นเหล้าองุ่นของ Huo Group จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ขึ้นมาโดยเฉพาะ เรียนเชิญเพียงแค่เพื่อนที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับตระกูลฮั่วเท่านั้น เหลือเพียงแค่พวกของหลานเสี่ยวถางสองคนและพวกท่านรองนายกเทศมนตรีจางสองคนเพียงเท่านั้น
ในระหว่างทาง สือมูเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างแผ่วเบาขึ้นที่ข้างใบหูของหลานเสี่ยวถางขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ นึกไม่ถึงเลยนะครับว่าจะมีวันนี้ ที่ผมจะต้องพึ่งพิงหน้าตาของคุณเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงน่ะ”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะรู้สึกเกรงใจเล็ก ๆ ขึ้นมาไม่ได้ “อันที่จริงแล้วในตอนนั้นฉันช่วยพยุงท่านผู้หญิงฮั่วข้ามทางม้าลายเท่านั้นเอง เดิมก็มองฐานะของเธอไม่ออกเลยด้วย เดิมก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอกค่ะ”
พูดไป เธอก็เอ่ยสมทบขึ้นมาอีกว่า “ดูท่าแล้วโลกใบนี้ก็ยังคงงดงามอยู่นะคะ อย่างน้อย ฉันทำเรื่องดี ๆ เอาไว้ ก็มีผลตอบแทนกลับมาแล้วจริง ๆ”
เธอพึ่งจะพูดจบไปเมื่อครู่นี้เอง ก็รู้สึกได้ว่ามือของเธอถูกคว้าจับเอาไว้
ตามต่อมาด้วย ร่างของสือมูเฉินที่ขยับยื่นเข้ามาใกล้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาที่ข้างใบหูของหลานเสี่ยวถางขึ้นมาว่า “ผมล่ะชอบจังเลยหญิงสาวที่มีจิตใจเมตตาน่ะ”
ในตอนที่เขาเอ่ยพูดอยู่นั้นเอง ลมหายใจก็พัดผ่านเข้าที่ใบหูที่ไวต่อสัมผัสของเธอ หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าทันใดนั้นเองใบหน้าและแก้มก็เห่อร้อนขึ้นมาในทันที แม้กระทั่ง หัวใจก็เต้นระรัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัวด้วย
แต่ที่ยังดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ในตอนที่พวกเขากำลังอยู่บนรถ พวกเขานั่งกันที่แถวด้านหลังสุด ดังนั้นแล้ว ทัศนียภาพมืดมาก คนขับรถของตระกูลฮั่วที่แถวด้านหน้ามองไม่เห็นว่าตอนนี้เธอกำลังอึดอัดใจอยู่
เพียงแต่ว่า ราวกับว่าในสือมูเฉินในตอนนี้กำลังไล่ต้อนเธออยู่เลย
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหัวใจที่พึ่งกลับมาเต้นอย่างสงบเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกว่าที่ช่วงบริเวณเอวแน่นขึ้นมาเล็กน้อย ตามมาด้วย ฝ่ามือใหญ่ที่สัมผัสเข้าที่แผ่นหลังของเธอ การเคลื่อนไหวนั่น ทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยน
เธออดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องเขาเขม็ง แต่ทว่า ใบหน้าของสือมูเฉินกลับเงียบสงบ แม้กระทั่ง สายตาก็ยังมองออกไปที่ด้านนอกของหน้าต่างแล้ว ท่าทางราวกับว่ากำลังชมทัศนียภาพยามค่ำคืน
ในตอนนั้นเอง ผู้ดูแลบ้านของตระกูลฮั่วที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับก็เอ่ยปากแนะนำขึ้นมาว่า “คุณหลาน คุณสือ พื้นที่กว้างใหญ่ทางด้านหน้านี้ ทั้งหมดเป็นพื้นที่บ่มเหล้าของพวกเรา ไม่ทราบว่าทั้งสองท่าได้กลิ่นเหล้าไหมครับ?”
สือมูเฉินเปิดปากเอ่ยขึ้นมาว่า “ได้ยินคำร่ำลือของการบ่มเหล้าของตระกูลฮั่วมานานแล้วครับ วันนี้ได้มีโอกาสมาเห็น นับว่าเป็นเกียรติมากเลยล่ะครับ”
ผู้ดูแลบ้านหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วประเดี๋ยวคุณสือน่ะ ไม่เมาห้ามกลับนะ!”
หลานเสี่ยวถางได้ยินทั้งสองคนพูดคุยกัน แต่ทว่าใบหน้าของเธอกลับค่อย ๆ แดงซ่านขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้ว
สือมูเฉินจะคุยกับคนอื่นก็คุยไปด้วย ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เริ่มคุยไปด้วยแล้วก็ลูบไล้เธอไปด้วยอย่างมีพฤติกรรมไม่ดีแบบนี้กันนะ?