ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 90 สือเพ่ยหลินมาขอแต่งงาน
หลานเสี่ยวถางลังเลตลอดช่วงเช้าและในที่สุดก็ไม่มีความกล้าที่จะส่งข้อความไปหาJarvis ทำได้แต่เปิดดูรูปโปรไฟล์เขาหลายๆ ครั้ง
เมื่อเธอกำลังจะกดออกจากวีแชท เธอก็ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม
หลานเสี่ยวถางเปิดขึ้นมาดูก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของเธอเชิญเธอให้เข้าร่วมกลุ่ม ยิ่งกว่านั้นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายคนนั้นกับเธอมีเรื่องราวบางอย่างค่อนข้างเยอะ……
ในเวลานั้นพวกเธอนั่งโต๊ะข้างกันเป็นช่วงเวลาหนึ่ง แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ค่อยดีเท่าเฉียวโยวโยว แต่ความสัมพันธ์ก็ค่อนข้างดีระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม เธอเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยหนิงเฉิงและผู้หญิงคนนั้นก็ไปเมืองอื่น ดังนั้นพวกเธอจึงได้พบกันน้อยลงมากๆ
อย่างไรก็ตามพวกเธอยังติดต่อกันตลอดเวลาในขณะนั้น
แต่ต่อมาหลังจากเรียนจบหลานเสี่ยวถางไม่ได้หางานทำ แต่แต่งงานกับสือเพ่ยหลินจึงกลายเป็นแม่บ้านแทน แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ตอนเรียนปีสี่เธอสอบเข้าเรียนปริญญาโทได้ เธอจึงไปฝึกงานที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง
ในเวลานั้นหลานเสี่ยวถางมีเพียงสือเพ่ยหลินในชีวิตของเธอ ในเวลาว่างเธอจะเข้าไปส่องวีแชทเพื่อดูการใช้ชีวิตของเพื่อนๆ ของเธออยู่เสมอ
เพื่อนร่วมชั้นของเธอดูเหมือนจะเรียนค่อนข้างดีในระดับปริญญาโทและการฝึกงานก็เป็นไปค่อนข้างดี ดังนั้นในระหว่างการฝึกงานเธอมักจะเดินทางไปทำธุรกิจและบางครั้งก็ไปต่างประเทศ
เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นรูปถ่ายที่เธอโพสต์ก็จะเข้าไปกดหัวใจให้เธอด้วยความชื่นชมเสมอ และบางครั้งก็แสดงความคิดเห็นด้วย
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่หลานเสี่ยวถางแสดงความคิดเห็น เธอมักจะไม่ตอบกลับ
ครั้งหนึ่งหลานเสี่ยวถางริเริ่มโทรหาเธอเพื่อพูดคุยถามไถ่ โทรหลายครั้งในตอนเช้าและตอนบ่ายแต่เธอก็ไม่รับสาย หลานเสี่ยวถางไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนั้นเพราะคิดว่าเธออาจจะยุ่งอยู่
อย่างไรก็ตามหลานเสี่ยวถางพยายามติดต่อเธอเป็นเวลาหลายวัน แต่ก็ติดต่อไม่ได้ เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเธอหรือไม่ และด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องการโทรแจ้งตำรวจ
แต่ภายในวันนั้นเธอก็เห็นเพื่อนคนนี้โพสต์เกี่ยวกับงานของเธอ หลานเสี่ยวถางรับรู้ทันทีว่าเธอตั้งใจไม่รับสายหรือไม่อยากคุย
หลังจากนั้นเธอก็ไม่ค่อยอยากจะติดต่อกับเพื่อนคนนี้อีก แน่นอนว่าเพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้ริเริ่มที่จะติดต่อเธอแม้แต่ครั้งเดียว
พวกเขาเคยเป็นเพื่อนสนิทที่พูดคุยกันเกือบทุกอย่างในอดีต กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าในตอนนี้
ในงานเลี้ยงรุ่นครั้งก่อน ผู้หญิงคนนั้นเข้าหาเพียงผู้ชายอีกคนที่มีบริษัทเป็นของตัวเอง และเมื่อเธอเห็นเธอก็ทักทายแบบผ่านๆ
หลานเสี่ยวถางมีความรู้สึกมากกว่าเสมอ และมีหลายครั้งที่เธอรู้สึกสับสนและเสียใจที่สูญเสียเพื่อนคนหนึ่งไป
อย่างไรก็ตามหลังจากงานเลี้ยงรุ่นหลานเสี่ยวถางก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
จริงๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นไม่แยแสเธอ เพียงเพราะเธอได้เดินออกจากแวดวงนั้นในเวลานั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือในเวลานั้นหลานเสี่ยวถางดูเหมือนจะมีคุณค่าน้อยและไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้
งานเลี้ยงรุ่นในครั้งนั้นฟู่สีเกอทำให้หลานเสี่ยวถางดูมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นจึงเริ่มติดต่อเธอเป็นครั้งคราว
แม้แต่เวลาที่หลานเสี่ยวถางโพสต์อะไรเธอคนนั้นก็จะเข้ามากดหัวใจและแสดงความคิดเห็น
ในขณะนี้หลานเสี่ยวถางเห็นว่าหลังจากที่เธอเข้าร่วมกลุ่ม มีหลายคนส่งข้อความมาหาเธอและบางคนก็ถามเธอว่าได้เข้าร่วมกับLatitudeแล้วเหรอ พูดว่าต้องการเกาะขาของเธอ เธอก็รู้สึกว่าโลกนี้มีความสมจริงอยู่เสมอ
เธอเพียงตอบว่าเธออยู่ที่Latitudeจริงๆ แต่ถ้าอยากจะเกาะก็ไปเกาะหันจื่ออี้ อย่างไรเธอก็เป็นแค่วิศวกรตัวน้อยๆ
หลังจากที่เธอพูดจบก็เกิดความโกลาหลในกลุ่ม โดยบอกว่าหันจื่ออี้ได้บอกใบ้ถึงเธอในวันนั้น ดังนั้นในอนาคตพวกเขาจะต้องเกี่ยวพันกัน
หลานเสี่ยวถางเมินเฉย และเมื่อเธอกดออกจากกลุ่มเธอก็เห็นมีคนเพิ่มเพื่อนเธอมากมาย
ทันใดนั้นเธอก็นึกคำพูดจากเพื่อนสนิทคนนั้นได้
ในเวลานั้นเพราะเธอมักจะพิมพ์แสดงความคิดเห็นให้กับเธออยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยตอบเลย ดังนั้นเธอจึงโทรหาเธอเพื่อถามว่าเหตุใดเธอจึงไม่ตอบอะไรเลย
ผู้หญิงคนนั้นอธิบายอย่างง่ายๆ ว่า เพราะเธอไม่เคยตอบความเห็นคิดใครในไทม์ไลน์ของเธอเลย!
ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง บางทีก็ดูคนคนหนึ่งออกอย่างชัดเจนเมื่อผ่านสิ่งหนึ่ง หลานเสี่ยวถางคุยกับผู้หญิงคนนั้นครั้งสุดท้ายและลองแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เธอโพสต์ไป
ภายในเวลาไม่ถึงสองนาที เธอตอบเธอด้วยคำพูดมากกว่าความคิดเห็นของหลานเสี่ยวถางซะอีก
หลานเสี่ยวถางยิ้มมุมปากเยาะเย้ย การบอกว่าไม่เคยตอบความคิดเห็นใครมันคืออะไรเหรอ! จริงๆ แล้วมันก็แค่ต้องดูว่าใครมีคุณสมบัติที่เธอจะตอบกลับไหมแค่นั้นเอง
เธออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเพื่อนร่วมชั้นรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนกับJarvisพวกเขาจะเป็นอย่างไร
หลานเสี่ยวถางมองดูคนที่มาขอเป็นเพื่อนเธอ หนึ่งในนั้นมีอู๋ห้าวฮั่นด้วย
อู๋ห้าวฮั่นไม่ค่อยสนิทกับเธอเท่าไหร่ แต่ความสัมพันธ์ก็โอเค อย่างไรก็ตามการรวมตัวกันในวันเลี้ยงรุ่น เธอถูกขายหน้าและอู๋ห้าวฮั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ช่วยเธอก่อนที่ฟู่สีเกอและสือมูเฉินจะมาถึง
ดังนั้นหลานเสี่ยวถางจึงยอมรับการขอเป็นเพื่อนของเขา สำหรับคนอื่นๆ เธอเหลือบมองและไม่สนใจพวกเขา
ในเวลานี้สือมูเฉินโทรหาเธอและบอกเธอเกี่ยวกับสถานการณ์ของสือเพ่ยหลิน หลานเสี่ยวถางรู้สึกสับสนเล็กน้อยหลังจากฟัง
ในเวลาเดียวกันเขายังพบสาเหตุเกี่ยวกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของสือเพ่ยหลิน
จริงๆ แล้วเฉินจื่อโร่วแค่มีลูกเพื่อความมั่นคงของตัวเธอเอง และสือเพ่ยหลินไม่ได้ตั้งใจจะให้สถานะกับเฉินจื่อโร่วตั้งแต่ต้นจนจบ!
ในช่วงบ่ายสือมูเฉินยังมีบางอย่างที่ต้องจัดการ โดยบอกว่าเขาจะกลับมาค่อนข้างดึก และเขากับสือมูชิงได้รับการตรวจร่างกายขั้นพื้นฐานในวันนี้ และพวกเขาถูกกำหนดให้เก็บตัวอย่างไขกระดูกในวันพรุ่งนี้
ในตอนบ่ายหลานเสี่ยวถางเขียนโปรแกรมเสร็จแล้ว รู้สึกปวดคอเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นขยับตัว
ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เป็นสือเพ่ยหลินที่โทรมา
ไม่รู้ว่าเขาโทรมาเพื่ออะไร แต่เพราะความเจ็บป่วยที่น่าเวทนาของเขา หลานเสี่ยวถางจึงกดรับสาย
สือเพ่ยหลินพูดทางโทรศัพท์ “เสี่ยวถาง คุณอยู่ที่ไหน ผมมีอะไรจะบอก”
“เรื่องอะไร?” หลานเสี่ยวถางพูดเรียบนิ่ง
สือเพ่ยหลินได้ยินน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจของหลานเสี่ยวถาง แต่เขาก็พยายามพูดอย่างใจเย็นว่า “มันค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นพวกเราจึงควรพบปะเพื่อพูดคุยกัน”
“งั้นก็โอเค” หลานเสี่ยวถางสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่สือเพ่ยหลินป่วยจนไม่สามารถปล่อยไขกระดูกของเธอไปได้
อย่างไรก็ตามเธอจะไม่ยอมให้โอกาสเขา ดังนั้นจะเจอกันก็ต้องหาสถานที่ที่ไว้ใจได้
เธอจึงเอ่ยปากพูด “งั้นก็ไปที่ร้านกาแฟตรงทางเข้ามหาวิทยาลัยหนิงเฉิง!” ตรงนั้นอยู่ตรงข้ามกับป้อมยามรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย ทางเข้าออกก็เต็มไปด้วยผู้คน ร้านกาแฟเป็นหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ดูโปร่งใสมาก
สือเพ่ยหลินไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเลือกสถานที่ห่างไกลเช่นนั้น แต่หลานเสี่ยวถางก็อาศัยอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง “โอเค งั้นผมจะออกเดินทางจากTimes Group เดี๋ยวนี้ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง”
“โอเค” หลานเสี่ยวถางวางสาย
สี่สิบนาทีต่อมาหลานเสี่ยวถางก็มาถึงบริเวณร้านกาแฟ มองจากระยะไกลเธอเห็นสือเพ่ยหลินนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไป
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นเธอ ดวงตาของเขาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเพื่อช่วยดึงเก้าอี้ให้เธอนั่ง
ดูเหมือนว่าความใส่ใจนี้จะหยุดอยู่ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกเพียงไม่กี่วัน หลานเสี่ยวถางไม่คิดมากและนั่งลง
สือเพ่ยหลินพูดว่า “เสี่ยวถาง คุณจะดื่มอะไรดี เดียวผมสั่งให้”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเกร็งจึงลุกขึ้น “ฉันจะไปดูเอง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้าเขาวางยาเธอ มันจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา?
หลานหัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อไหร่กันที่เธอต้องระวังตัวขนาดนี้? เป็นเพราะถูกทำร้ายจิตใจหลายครั้งมากจนสร้างภูมิคุ้มกันโดยอัตโนมัติใช่ไหม? มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?
เธอไปที่บาร์สั่งเครื่องดื่ม สั่งมอคค่าหนึ่งแก้ว รอให้กาแฟเสร็จแล้วยกมาเอง
เธอนั่งลงที่เก้าอี้แล้วถามว่า “คุณมีเรื่องอะไรกับฉันเหรอ?”
สือเพ่ยหลินมองไปที่ความเย็นชาในดวงตาของหลานเสี่ยวถาง คำพูดที่เขาเตรียมไว้มันหายไปหมด รู้สึกเหมือนมีอะไรมาติดคอ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะขอร้องเธออย่างสุดความสามารถเช่นนี้ และเขาไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง
ดังนั้นสือเพ่ยหลินจึงพูดสร้างบรรยากาศ”เสี่ยวถาง คุณดื่มกาแฟก่อนหรือดื่มน้อยๆ ก็ได้ ผมเจอร้านอาหารตะวันตกดีๆ มาร้านหนึ่งตอนเย็นไปทานด้วยกันนะ!”
หลานเสี่ยวถางขมวดคิ้ว “คุณคะ ตอนนี้ฉันทำงานที่Latitude ฉันไม่ว่าง ฉันกลัวว่าเวลาจะสูญเปล่า ดังนั้นคุณจะพูดอะไรก็พูดเร็วๆ ถ้าไม่มีอะไรงั้นฉันขอตัว ถ้าคุณทำให้ฉันเสียเวลาคืนนี้ฉันจะต้องนอนดึก”
สือเพ่ยหลินรู้สึกราวกับว่าถูกตบหน้า อย่างไรก็ตามเขาสามารถไปต่อในประโยคสุดท้ายของเธอ
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากพูดว่า “เสี่ยวถาง คุณเหนื่อยเกินไปที่Latitude ทำไมคุณไม่มาที่ Times Groupของผม ไม่ต้องกังวลเพราะผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเกินไป คุณสามารถพักร้อนได้ตลอดเวลาที่คุณต้องการ ”
หลานเสี่ยวถางฟังคำพูดของเขาและอดไม่ได้ที่จะขยับริมฝีปาก “ทำไม หรือเป็นสถานการณ์เมื่อวานที่เลขาของคุณหายไป ดังนั้นคุณจึงเข้าหาฉัน สือเพ่ยหลินฉันคิดว่าคุณเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีแล้วคุณจะกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่าทำไม?”
“เสี่ยวถาง คุณไม่ใช่น้ำพริกถ้วยเก่า” สือเพ่ยหลินกัดฟันและใช้กลวิธีอันน่าเหลือเชื่อ “พวกเรามีความรู้สึกดีๆ ร่วมกันอยู่ไม่ใช่เหรอ? พวกเราใช้เวลาร่วมกันตั้งสองปีอันที่จริงแล้วผมไม่เคยลืมคุณเลย”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอรู้สึกว่ามันไร้สาระสิ้นดี “สือเพ่ยหลิน คุณเคยบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าฉันชอบหยิบเรื่องสองปีนั้นมาพูด แต่ทำไมตอนนี้คุณถึงคิดริเริ่มที่จะพูดถึงมันอีกครั้ง ลืมไม่ได้งั้นหรือ ฉันคิดว่ามันไร้สาระมาก ใครกันที่บังคับฉันให้หย่า!”
“เสี่ยวถาง ตอนนั้นผม……” สือเพ่ยหลินไม่ต้องการที่จะยอมรับความผิดพลาดของเขา แต่ในขณะที่เขากำลังขี่หลังเสืออยู่จึงทำได้เพียง “แค่หลงมัวเมา ตอนนี้ผมคิดว่าเราเหมาะสมกันที่สุด เสี่ยวถาง กลับบ้านกับผมนะ!”
ในที่สุดเขาก็พูดในสิ่งที่เขาเก็บอยู่ในใจออกมา มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจมาก
“นี่คือเหตุผลที่คุณมาหาฉันในวันนี้เหรอ?” หลานเสี่ยวถางมองสือเพ่ยหลินอย่างเจาะลึก “คุณอยากให้ฉันคืนดีกับคุณงั้นหรือ?”
สือเพ่ยหลินพยักหน้า “ใช่ ถ้าคุณยินยอมพวกเราสามารถไปจดทะเบียนสมรสในบ่ายวันนี้ก็ได้ จากนั้นค่อยหาเวลาจัดงานแต่งงาน”
หลานเสี่ยวถางไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้”สือเพ่ยหลิน คุณเป็นบ้าจัดงานแต่งงานหรือยังไง? ครั้งเดียวไม่พอ เลยอยากจัดเล่นใหม่อีกครั้ง? บริษัทTimes Groupของพวกคุณรวยจริงๆ!”
“ไม่ใช่นะ เสี่ยวถาง ผมพูดด้วยความตั้งใจจริงๆ ” สือเพ่ยหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าคุณคิดว่าผมเลอะเทอะเกินไป ผมสามารถคุกเข่าขอคุณแต่งงาน และในขณะเดียวกันผมจะให้สินสอดทองหมั้นแก่คุณ”