ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 91 ถูกจับไปที่สถานีตำรวจ
ในเวลานี้หลานเสี่ยวถางงงงวยมากจริงๆ
เธอคิดว่าการมาครั้งนี้ของสือเพ่ยหลินนั้น เป็นเพราะความเจ็บป่วย แต่เขากลับมาตามหาเธอและพาเธอกลับไป
เธออดไม่ได้ที่จะคิดไปต่างๆนานา เป็นไปได้ไหมว่านิสัยใจคอของเธอเหมาะกับเขามากที่สุดแล้ว หรือบนตัวเธอมีอะไรที่น่าดึงดูดใจเขาอย่างนั้นเหรอ การที่เขาต้องการแต่งงานกับเธอ เพราะเขาสามารถทำอะไรกับเธอก็ได้อย่างนั้นหรือเปล่า?
ดังนั้นเขาจึงขอให้เธอกลับไป เป็นเพราะว่าเธอสามารถรักษาโรคของเขาได้อย่างนั้นเหรอ?
ท้ายที่สุด เธอไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างสือเพ่ยหลินจะลดตัวเองลงมาขนาดนี้ หรือเขาคิดเพียงแค่ว่ามีความรู้สึกต่อเธออย่างนั้นเหรอ!
เมื่อเห็นท่าทางหลานเสี่ยวถางนิ่งเงียบ สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าเธอน่าจะสับสนและลังเลอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดอีกครั้งว่า: “เสี่ยวถาง คุณวางใจเถอะ หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ผมจะไม่สานความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆ และจะไม่ทำตัวนอกลู่นอกทางอย่างแน่นอน ผมจะดูแลคุณอย่างดีและรักคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
เขายังคงพูดหว่านล้อมต่อว่า:“เราสามารถจัดงานแต่งงานบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความโรแมนติก คุณอยากไปที่ไหนคุณสามารถเลือกไปได้ทุกที่ที่คุณต้องการเลยนะ ประเทศกรีซ ประเทศตุรกี หรือโรงแรมเบิร์จอัลอาหรับในดูไบ หรือไปที่ซานโตรินีที่เรื่อง “ตำนานแห่งทะเลสีฟ้า” เคยไปถ่ายทำมาก่อน……”
“คุณสามารถเลือกสถานที่สำหรับฮันนีมูนได้ด้วย ในอดีตที่ผ่านมาสุขภาพของผมไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่สามารถทำให้คุณได้ ผมสามารถชดเชยสิ่งเหล่านี้ให้คุณได้……”
ในขณะที่ฟังสือเพ่ยหลินสาธยายไม่หยุด ในสิ่งที่หลานเสี่ยวถางคาดเดาอยู่ในใจนั้นเธอยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดมากขึ้น
เขาคงต้องสืบจนรู้ว่าอาการป่วยระหว่างเธอและเขานั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน บางทีการที่เธอตกลงแต่งงานและไปอยู่กินกับเขาอาจเป็นยารักษาโรคให้กับเขาก็เป็นได้!
เมื่อคิดถึงนี้ หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกหนาววูบวาบไปทั้งตัว เธอรีบดื่มกาแฟร้อนสักสองสามจิบเพื่อคลายความกังวล
เธอมองไปรอบๆบริเวณนั้นสักครู่ รอบๆบริเวณล้วนเต็มไปด้วยผู้คน มีคนอยู่แถวนี้มากมายสือเพ่ยหลินคงไม่กล้าลงมือทำอะไรในที่สาธารณะโดยพลการหรอก สุดท้ายหลานเสี่ยวถางจึงกล่าวว่า:“ฉันขอโทษนะคะ ข้อเสนอของคุณฉันไม่สนใจค่ะ และฉันจะไม่มีวันหันหลังกลับไปหาคุณหรอก คุณอยากแต่งงาน คุณก็ไปหาคนอื่นเถอะค่ะ ขอเพียงแค่คุณโพสในโซเชียลว่าตัวเองนั้นโสดและโพสหาคู่ในแอปพลิเคชันในเวย์ป๋อไม่แน่ว่ามีคนที่กำลังหาคู่แต่งงานนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหนิงเฉิงหลายต่อหลายครั้งแล้วล่ะ!”
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นว่าท่าทางของหลานเสี่ยวถางที่จริงจังมากและยังคงยืนยันคำเดิม เขาตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัดและยื่นมือออกไปกุมมือของหลานเสี่ยวถาง: “ไม่นะเสี่ยวถางผมต้องการเพียงแค่คุณคนเดียวเท่านั้น!”
หลานเสี่ยวถางรีบชักมือกลับทันทีราวกับว่าเธอกำลังถูกน้ำร้อนลวกมือยังไงอย่างงั้นแหละ ดวงตาของเธอแสดงออกมาด้วยท่าทางที่เริ่มหมดความอดทนและรู้สึกรังเกียจเขามากอย่างชัดเจน: “คุณกำลังทำอะไรอยู่?!”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เธอก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งทันที จากนั้นก็รีบเดินพุ่งตรงไปทางประตูทางออก
สือเพ่ยหลินรู้สึกกังวลใจมากเมื่อเขาเห็นหลานเสี่ยวถางเดินจากไปแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดเธอจากด้านหลัง
เดิมทีคิดเพียงแค่ว่าไม่อยากให้เธอจากไป แต่ว่า เขาคาดไม่ถึงว่าการที่ได้สัมผัสเธอแค่ไม่กี่วินาทีนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ จากนั้น เขารู้สึกราวกับว่ากระแสไฟฟ้านับไม่ถ้วนได้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา และแม้กระทั่งเลือดในกายของเขามันกำลังพุ่งพล่านขึ้นมาทันที!
ในเดือนที่ผ่านมานี้ เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนเลย และในตอนนี้ เลือดในกายของเขาร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง เขาดึงหลานเสี่ยวถางหันหน้ากลับไปประจันหน้าเขา จากนั้น ก็บดจูบเธอ!
หลานเสี่ยวถางคาดไม่ถึงว่า * สือเพ่ยหลินจะกล้าทำสิ่งที่ไม่ให้เกียรติเธอในที่สาธารณะแบบนี้ เธอกำลังจะขอความช่วยเหลือ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าสือเพ่ยหลินนั้นเป็นบุคคลสาธารณะ หากเธอทำอะไรโดยเอิกเกริก บางทีอาจจะถูกคนอื่นจำได้ และต้องกลายเป็นข่าวที่ติดเทรนด์ ในเวย์ป๋ออย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดหวังไว้!
ดังนั้น เธอจึงทำได้แต่พยายามดิ้นรน แต่กลับไม่ได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือใดๆ
อย่างไรก็ตามสือเพ่ยหลินนั้นก็เป็นผู้ชาย เมื่อเขาออกแรงแค่นิดเดียว หลานเสี่ยวถางก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากเขาได้ อีกทั้ง เขายังพยายามก้มศรีษะลงมาใกล้เพื่อที่จะจูบเธอ!
และในเวลานี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งตะโกนกร้าวขึ้นมาเสียงดังก้องไปทั่ว: “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!”
เมื่อทั้งสองคนเงยหน้าไปมองพร้อมกัน พวกเขาก็เห็นหันจื่ออี้ที่ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นหันจื่ออี้ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้า ความโกรธที่อยู่ภายในจิตใจมันก็ได้ปะทุระเบิดออกมาทันที แววตาที่อาฆาตก็มองไปทางหันจื่ออี้: “คุณหัน มันเป็นเรื่องระหว่างผมและเสี่ยวถาง คุณอย่ายุ่ง!”
แม้ว่า Time Group และ Latitude Technology จะเป็นหุ้นส่วนกัน แต่ว่าเมื่อเป็นการแย่งชิงตัวผู้หญิงแล้วล่ะก็ แม้ว่าจะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวก็ยอมกันไม่ได้!
“คุณสือครับ ผมเห็นชัดเจนเลยว่าเสี่ยวถางไม่เต็มใจเลย ดังนั้นได้โปรดปล่อยเธอไปเดี๋ยวนี้ครับ!” ในขณะที่หันจื่ออี้พูดอยู่นั้น ก็รีบเดินเข้าไปใกล้และยื่นมือออกไปคว้าตัวหลานเสี่ยวถางทันที
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะมองดูบริเวณรอบ ๆ เวลานี้ดูเหมือนว่ามีคนได้ยินและเห็นเหตุการณ์จนเริ่มมองมาทางนี้แล้ว
เธอขมวดคิ้วมุ่น และเธอก็รีบตะโกนใส่สือเพ่ยหลินว่า:“คุณรีบปล่อยฉันไปซะ ไม่อย่างนั้น คุณได้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอน”
“เป็นข่าวแล้วยังไงล่ะ!” แววตาสือเพ่ยหลินที่แสดงออกมาอย่างหยิ่งผยอง: “ผมและภรรยาในอนาคตของผมจะใช้ชีวิตร่วมกัน ดูซิว่าใครจะกล้าว่าอะไรผมได้บ้าง!”
“ภรรยาในอนาคต?” หันจื่ออี้พอจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาคร่าวๆ หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดของสือเพ่ยหลินแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “คุณสือครับ เกรงว่าเสี่ยวถางคงไม่มีวันเป็นผู้หญิงของคุณหรอกมั้ง?”
สือเพ่ยหลินคิดเพียงว่าหันจื่ออี้กำลังพูดถึงตัวเองอยู่ ดังนั้นเขาจึงตอบกลับทันทีว่า: “คุณหันครับ ผมได้ไปสืบข้อมูลมาจนรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเสี่ยวถางที่ผ่านมานั้น อย่าพูดว่าพวกคุณพลัดพรากกันไปนานถึงหกปีเต็มเลย ตั้งแต่ในตอนแรก เสี่ยวถางก็ยังไม่เคยเป็นแฟนของคุณเลยด้วยซ้ำ!ตอนนี้คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่งเธอไปจากผมด้วยล่ะ!
หลานเสี่ยวถางรู้สึกปวดหัวมาก คนที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นเริ่มเอามือถือขึ้นมาถ่ายแอบถ่ายพวกเขา
ในขณะนี้ ทั้งสือเพ่ยหลินหรือหันจื่ออี้ต่างก็เป็นผู้มีอิทธิพลในหนิงเฉิง และในเวลานี้ทั้งสองกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงผู้หญิงคนเดียว จะมีผู้หญิงอีกกี่คนกันนะ ที่ต้องอิจฉาริษยาผู้หญิงอย่างเธอ เธอต้องมีศัตรูเพิ่มอีกเท่าไหร่กัน!
ดังนั้น เธอจึงชี้แล้วตะโกนพูดกับสือเพ่ยหลินว่า:“คุณบอกว่าต้องการคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ ถ้าเช่นนั้นคุณปล่อยฉันก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่”
เมื่อหันจื่ออี้ได้ยินน้ำเสียงและประโยคที่หลานเสี่ยวถางพูดนั้น เขารู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ วินาทีที่เขาปรากฏตัวจนถึงเวลานี้ เธอยังไม่เอ่ยปากพูดกับเขาเลยแม้แต่คำเดียว
ในที่สุดสือเพ่ยหลินก็เริ่มสงบลงเล็กน้อย เขาปล่อยหลานเสี่ยวถาง จากนั้นเอื้อมมือออกไปกุมมือของเธอ: “เสี่ยวถาง เราเปลี่ยนไปคุยที่อื่นกันเถอะ”
อย่างไรก็ตาม หลานเสี่ยวถางเคลื่อนไหวได้เร็วมาก เธอก้าวถอยหลังออกห่างจากสือเพ่ยหลิน ในขณะที่สือเพ่ยหลินกำลังเอื้อมมือออกมา หันจื่ออี้ได้เอาตัวบังตัวหลานเสี่ยวถางไว้ให้หลบอยู่หลังของเขาเอาไว้แล้ว
สือเพ่ยหลินโมโหมาก: “เสี่ยวถาง ก่อนหน้านั้นเขายอมทิ้งทุกอย่างและตัดสินใจไม่ไปต่างประเทศเพื่อคุณ คุณก็คงน่าจะรู้ดีที่สุด และในตอนนี้คุณกลับเลือกเขา และในอนาคตเขาก็อาจจะทอดทิ้งคุณอีกครั้งก็ได้นะ !”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้วยังไง คุณก็เคยทอดทิ้งฉันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” หลานเสี่ยวถางแค่นหัวเราะอย่างเยาะเย้ย: “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่มันเป็นการบังคับผมต่างหากล่ะ!”
สือเพ่ยหลินกำมือแน่น เมื่อเห็นหันจื่ออี้เขาก็รู้สึกว่าขวางหูขวางตา เขาเลยชกไปที่หันจื่ออี้
เห็นได้ชัดว่าหันจื่ออี้ก็เตรียมตั้งรับไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขายื่นมือออกไปจับหมัดไว้แน่น จากนั้นแกล้งยกมืออีกข้างขึ้นหมายจะต่อยคืน
แต่ความเป็นจริงแล้ว เขาถือโอกาสตอนที่สือเพ่ยหลินทำท่าหลบและกำลังเผลอ รีบลากมือของหลานเสี่ยวถางเดินหนีออกมาทันที
สือเพ่ยหลินยืดตัวขึ้นมาก็เห็นว่าทั้งสองได้วิ่งหนีไปแล้ว แววตาของเขามองตามไปด้วยแววตาดุร้ายน่ากลัวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขารีบวิ่งตามไปเหมือนคนกำลังเสียสติ
หันจื่ออี้ดึงหลานเสี่ยวถางวิ่งจนไปถึงรถ เขารีบเปิดประตูรถแล้วขึ้นนั่งฝั่งคนขับ จากนั้นรีบสตาร์ทรถออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อสือเพ่ยหลินวิ่งตามมาทัน ประตูรถของหันจื่ออี้ ก็ถูกล็อกโดยอัตโนมัติแล้ว เขาขบกรามด้วยความเกลียดชัง เขาทำได้เพียงหันหลังกลับแล้วเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ข้างทาง แล้วรีบขับออกไป
หลานเสี่ยวถางคาดไม่ถึงว่า การพบเจอกันในครั้งนี้ กลับกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นความตายแบบนี้
รถสองคันขับไล่ตามกันอย่างบ้าคลั่ง ในสมัยที่หันจื่ออี้อยู่ต่างประเทศเขาเคยเข้าร่วมการแข่งรถ แต่สือเพ่ยหลินก็เติบโตขึ้นมาในวงการที่เกี่ยวข้องกับการแข่งรถตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้น ต่างคนต่างเร่งความเร็วโดยที่ไม่มีใครยอมใคร
หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่ในรถด้วยความรู้สึกผิด แล้วกล่าวอีกนัยหนึ่ง เรื่องที่เกิดในวันนี้ต้องถูกโพสต์ลงบนเวยป๋ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากสือมูเฉินรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องโกรธอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอจึงจำเป็นต้องจับราวในรถด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วส่งข้อความถึงสือมูเฉินด้วยมืออีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนเขากำลังจะเปิดโทรศัพท์ไว้อยู่แล้ว ดังนั้น ทันทีที่เธออธิบายสถานการณ์ของเธอให้เขาฟัง เขาก็ตอบกลับมาทันที
ข้อความที่เขาตอบกลับมานั้นสั้นมาก: “ที่ไหน?”
หลานเสี่ยวถางรีบกดแชร์ตำแหน่งของตัวเองทันที และเสริมเพิ่มอีกข้อความหนึ่งว่าเนื่องจากหันจื่ออี้ขับรถเร็วเกินไป ดังนั้น ฉันเกรงว่าตำแหน่งที่แชร์ไปให้ในตอนนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ รถได้ขับมาถึงสะพานและข้ามทะเลไปแล้ว หลานเสี่ยวถางมองดูทิวทัศน์ที่ลอยผ่านหน้าเธอไป และทันใดนั้นก็นึกถึงฉากในหนัง 《เรื่องเร็วแรงทะลุนรก》
เมื่อนึกถึงฉากเหล่านั้น เธอก็ไม่พูดไม่จา จากนั้นก้มมองดูผืนน้ำสีครามเข้มที่อยู่เบื้องล่าง
ในขณะที่เขากำลังจะลงจากสะพานข้ามฝั่งทะเลไปนั้น หันจื่ออี้ที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ เขาก็อุทาน ‘เฮ้ย’ ออกมาด้วยความตกใจ
จากนั้นเขาก็รีบเหยียบเบรก เป็นเพราะความเร็วของรถนั้นเร็วเกินไป ดังนั้น หลังจากเหยียบเบรกอยู่หลายครั้ง ความเร็วจึงค่อยๆลดลง และในที่สุดเขาก็หยุดที่ปลายสะพานนั้น
หลานเสี่ยวถางเพิ่งจะมองเห็นได้ชัดเจนว่าด้านหน้านั้นมีรถตำรวจจอดเรียงรายกันหลายคัน และด้านข้างรถนั้นก็มีตำรวจที่อาวุธครบมือยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนร้ายที่กำลังจะถูกจับกุม
ดังนั้น เธอไม่กล้าคิดเลยว่า หากหันจื่ออี้ยืนกรานที่ขับพุ่งไปข้างหน้าผลมันจะออกมาเป็นยังไง
ที่ด้านหลังรถของเธอ สือเพ่ยหลินที่ขับตามหลังก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือ ก็เดินตรงมาทางรถทั้งสองคัน
ตำรวจคนหนึ่งได้เคาะกระจกรถของหันจื่ออี้ เขาลดกระจกลง และตำรวจกล่าวว่า :“ลงจากรถเดี๋ยวนี้ แล้วยกมือขึ้น”
หันจื่ออี้ปลดเข็มขัดนิรภัยของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นให้กับหลานเสี่ยวถางที่นั่งอยู่ข้างๆเขา: “เสี่ยวถาง ดูเหมือนจะหุนหันพลันแล่นเกินไป และมันทำให้คุณต้องพลอยลำบากไปด้วย!”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็รีบลงจากรถแล้วยกมือขึ้น
“คุณผู้หญิงที่อยู่ในรถ กรุณาลงจากรถด้วยเช่นกันครับ โปรดให้ความร่วมมือด้วยครับ!” ตำรวจกล่าวเสียงกร้าว
หลานเสี่ยวถางก็ตัดสินใจลงจากรถด้วยเช่นกัน แต่โชคดีที่เธอไม่ต้องยกมือขึ้น
เธอเดินลงจากรถ และพบว่าสือเพ่ยหลินทำท่าแบบเดียวกันกับหันจื่ออี้
หัวหน้าตำรวจก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า:“มีคนร้องเรียนมาว่าพวกคุณได้ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด มีอะไรจะพูดไหมครับ?”
หันจื่ออี้ตอบกลับด้วยความหมดสภาพ: “ขออภัยครับ เราแค่ขับรถแข่งกันเล่นๆเท่านั้นครับ ซึ่งสร้างผลกระทบที่ไม่ดีทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เรายินดีที่จะยอมรับการถูกลงโทษครับ”
เขาคิดไว้แล้วว่า เขาน่าจะโดนเชิญตัวไปอบรมวินัยจราจรที่สถานีตำรวจเป็นเวลานานอย่างแน่นอน และเขาอาจจะโดนปรับไม่น้อย ส่วนเรื่องการหักคะแนนหรือเพิกถอนใบอนุญาตนั้น เขารู้จักคนข้างใน น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร
หลังจากที่สือเพ่ยหลินประสบกับเหตุการณ์นี้ เขาก็สงบลง เพราะเขารู้จักคนในกรมตำรวจทั้งกรม อีกทั้งกองบังคับการตำรวจจราจรก็เช่นกัน ดังนั้น หลังจากที่เขาลงจากรถก็รีบแนะนำตัวทันที :“ผมคือสือเพ่ยหลิน”
“คุณสือครับ ขอโทษด้วยนะครับ เพราะคนที่รายงานอุบัติเหตุครั้งนี้นั้นเป็นนักข่าวจากต่างประเทศท่านหนึ่งครับ และเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของประเทศเรา ดังนั้นจึงปล่อยคุณไปไม่ได้ครับ” ตำรวจนายหนึ่งยังกล่าวอีกว่า:“ดังนั้น เชิญพวกคุณทั้งสามไปให้ปากคำที่สถานทีตำรวจด้วยครับ ”
ทันใดนั้นหลานเสี่ยวถางก็นึกขึ้นมาและจำได้ว่าตอนนั้นสือมูเฉินต้องการจะล้างแค้นให้กับเธอ และเขาได้ร้องเรียนว่าในรถของสือเพ่ยหลินมียาเสพติดที่ซุกซ่อนในรถ และก่อนหน้านั้นเขาได้ทำเรื่องอย่างว่าในรถก็ได้ถูกเปิดเผย ดังนั้นคราวนี้……
ในขณะที่ในใจของเธอกำลังคาดเดาไปต่างๆนานาอยู่นั้น โทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอก็สั่นขึ้นมาทันที
หลานเสี่ยวถางมองไปที่ตำรวจ: “ขอโทษนะคะ ฉันสามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ไหมคะ?”
เธอไม่คาดคิดว่าตำรวจพูดกับเธออย่างสุภาพมากขึ้นว่า:“ “คุณผู้หญิง คุณใช้ได้ตามสบายเลยครับ”
ทันใดนั้น หลานเสี่ยวถางรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นข้อความที่สือมูเฉินส่งมา :“ปลอดภัยแล้วใช่ไหม ?”