ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 95 เสี่ยวถาง ผมเฝ้ามองดูคุณมาตั้งนานแล้ว
หลังจากที่สือเพ่ยหลินพูดจบ และเฉินจื่อโร่วมองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกจากระหว่างขาของเธอ ลมหายใจของเธอแผ่วเบา เธอตื่นตระหนกตกใจจนลืมความเจ็บปวดไปหมด และเธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเปล่งเสียงร้องออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
เธอเอื้อมมือที่สั่นเทาของเธอพยายามไปห้ามเลือดเพื่อให้เลือดหยุดไหล แต่เธอกลับไม่สามารถทำให้เลือดหยุดไหลได้เลย
เลือดสีแดงสดไหลหยดลงจากนิ้วมือของเธอตลอดเวลา และในไม่ช้ามันก็ทำให้เลือดหยดลงบนพื้นเป็นวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม สือเพ่ยหลินมองดูเธอเลือดไหลออกมาไม่หยุดอย่างไม่แยแส แววตาของเขาที่มองดูเธอนั้นเฉยเมยและเย็นชา ไม่สิ ต้องพูดว่าสีหน้าท่าทางแสดงออกมาว่ามีความสุขซะมากกว่า!
“พี่เพ่ยหลิน ช่วยด้วยค่ะ……” ถึงแม้รู้ว่ายังไงเขาไม่ช่วยเหลือเธอหรอก แม้ภายนอกเขาจะดูเป็นคนที่อ่อนโยนและดูสุภาพ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและใจเยือกเย็นเหมือนปีศาจ แต่ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการเอาตัวรอดแล้ว เฉินจื่อโร่วยังคงร้องขอความช่วยเหลือจากสือเพ่ยหลินไม่หยุด
เมื่อสือเพ่ยหลินมองเห็นเลือดที่เต็มกองพื้นนั้น แววตาของเขาก็แสดงออกมาด้วยแววตาที่แข็งกร้าว เขาก้มลงและยื่นมืออันเรียวขาวของเขาบีบที่คางของเฉินจื่อโร่ว: “เฉินจื่อโร่วเมื่อตอนเรือนร่างของคุณอยู่ด้านล่างของชายผู้นั้นอย่างมีความสุข คุณเคยคิดไหมว่าจะมีวันนี้ ? คุณรู้จักผมมาก็นานหลายปีแล้ว คุณไม่รู้เลยเหรอว่าการทรยศผมนั้นสุดท้ายแล้วมันต้องลงเอยยังไง?!”
เฉินจื่อโร่วยังคงพูดกล่าวคำขอโทษไม่หยุด: “ฉันถูกชุยซื่อฮว๋าบังคับขืนใจ ฉันไม่เคยคิดที่จะทรยศคุณเลย! พี่เพ่ยหลินคะ ฉันรักคุณจริงๆนะคะ! ถ้าแท้งเด็กคนนี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่และมีลูกด้วยกันใหม่ดีไหมคะ?”
“มีลูกให้ผมใหม่อย่างนั้นเหรอ? !” แววตาที่ดูเย็นชาและแข็งกร้าวของสือเพ่ยหลิน: “ฮ่าฮ่าฮ่า พูดได้ดีนี่! คุณยังต้องการทรยศผมอีกกี่ครั้ง?!
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาบีบแขนของเฉินจื่อโร่วอย่างแรง :“เฉินจื่อโร่วคุณรู้อะไรไหม ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ผมไม่เคยคิดอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ?”
เฉินจื่อโร่วผงะไปครู่หนึ่ง ในขณะนี้ เนื่องจากการเธอเสียเลือดไปมาก เธอเริ่มเบลอและเริ่มไม่ค่อยรู้สึกตัว แต่ด้วยประโยคนี้เป็นประโยคที่เธอให้ความสนใจมากที่สุด แล้วเธอก็พยายามตั้งสติอีกครั้ง
“เหตุผลที่ผมนอนกับคุณก็เพราะผมต้องการแก้แค้นหลานเสี่ยวถางเท่านั้น” เขายิ้มเยาะพร้อมพูดต่อว่า: “ไม่ว่าบริษัทจะจ้างผู้หญิงคนไหนมา ยังไงผมก็เลือกที่จะนอนกับเธออยู่ดี ดังนั้น คุณไม่ได้มีความสำคัญอะไรในชีวิตของผมเลยแม้แต่น้อย!”
“เพราะอะไร?!” เฉินจื่อโร่วมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น เธอต้องการแต่งงานกับทายาทเศรษฐี และเธอต้องการเป็นเหมือนดั่งหงส์ ส่วนลูกในท้องของเธอนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหรือคำพูดหวาน ๆก็ช่าง ล้วนเป็นก้าวแรกของการก้าวสู่การเป็นสะใภ้ของตระกูลที่ร่ำรวย !
แต่ในวันนี้สือเพ่ยหลินกลับบอกว่า เขาไม่เคยคิดอยากแต่งงานกับเธอเลย!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แผนการและความพยายามที่จะแย่งชิงกับผู้หญิงคนอื่นของเธอที่ผ่านมานั้น ทุกอย่างที่ทำไปมันเสียแรงเปล่า!
เธอสั่นอย่างรุนแรง ความแค้นและความเกลียดชังถูกปล่อยออกมาจากแววตาของเธอ
“เพราะว่า จู่ๆ ผมพึ่งรู้ตัวว่า ผมตกหลุมรักเธอไปแล้ว!” สือเพ่ยหลินพบว่า วิธีที่จะปลดปล่อยความรู้สึกที่แท้จริงที่เก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจนั้น ก็ต่อเมื่อตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้น
“คุณตกหลุมรักหลานเสี่ยวถาง” เฉินจื่อโร่วยังคงพูดต่อไม่อยู่ด้วยอาการที่สั่นเทา เธอทั้งร้องไห้พร้อมทั้งหัวเราะไปด้วย และน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาไม่หยุด สุดท้ายเธอก็อ้าปากกว้างขึ้นและหัวเราะออกมาเสียงดัง: “ฮ่าฮ่าฮ่า น่าเสียดายที่คุณดีต่อเธอ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณตั้งนานแล้ว!และในวันนั้นเธอบอกกับฉันจากปากเธอเอง เธอบอกว่าสำหรับเธอแล้วคุณไม่เคยมีค่าในสายตาเธอเลย !สือเพ่ยหลิน คุณหลอกใช้ฉัน แต่ว่าคุณก็อย่าฝันว่าคุณจะได้เธอมาครอบครอง !ชาตินี้คุณอย่าหวังที่จะได้รับความจริงใจจากใครอีกเลย !”
หลังจากที่เฉินจื่อโร่วตะโกนพูดจบ เธอก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงลงแล้ว
ทันใดนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็ซ้ำเติมเธอไม่หยุด จู่ๆ ก็มีบางอย่างหลุดออกมา
เธอเอื้อมมือไปสัมผัสมัน และเธอก็จับโดนก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง
เฉินจื่อโร่วตัวสั่นไปทั้งตัว เมื่อมองดูก้อนเนื้อที่อยู่ในท้องของเธอเป็นเวลาสองเดือน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและบ้าคลั่ง
“สือเพ่ยหลิน คุณดูสิ คุณเป็นคนฆ่าเขา!” เฉินจื่อโร่วยกกองเนื้อขึ้นและยื่นไปตรงหน้าของสือเพ่ยหลิน : “สักวันคนที่คุณเคยฆ่า จะมาเอาคืนคุณอย่างแน่นอน! นับจากนี้ไป ฉันขอสาปแช่งให้คุณอยู่อย่างกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฝันร้ายและเจ็บป่วยจนตาย!”
“เสียงตบมือป๊าบ! ป๊าบ!” สือเพ่ยหลินยกมือขึ้น และเสียงตบนั้นตบไปที่แก้มของเฉินจื่อโร่ว
เนื่องจากสือเพ่ยหลินออกแรงมากเกินไป ก้อนเนื้อและเลือดในมือของเฉินจื่อโร่วกระเด็นออกจากมือ และกระเด็นไปอยู่บนกางเกงของสือเพ่ยหลิน
เขากระโดดถอยหนีไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว และจู่ๆก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
อย่างไรก็ตาม ความกลัวเป็นเพียงแค่เวลาชั่วครู่เท่านั้น ไม่นาน เขาก็ได้สติกลับคืนมา ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคยเกรงกลัวอะไรที่ไหนกัน ? !
ในเวลานี้ แม่บ้านหวังได้ซื้อของกลับมา เธอเกือบจะเป็นลมเมื่อเห็นเหตุการณ์ในห้อง
สือเพ่ยหลินหันหลังกลับมา และพูดอย่างเฉยเมยว่า: “หน้าที่ของคุณสิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กลับไปทำงานที่บ้านคุณแม่ของผม”
แม่บ้านหวังรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที และเมื่อได้สติคืนกลับมา เธอทำราวกับว่าเธอมองไม่เห็นเฉินจื่อโร่วที่อาการกำลังแย่ยังไงยังงั้นแหละ เธอพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว: “ได้ค่ะ คุณชาย *”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น ก็หันหลังเดินจากไป
เฉินจื่อโร่วมองตามแม่บ้านหวังคนที่ดูแลเธอมาแล้วหลายวัน บทจะจากไปก็จากไปง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ และไม่สนใจเลยว่าเธอจะเป็นหรือตาย ความตื่นตระหนกในหัวใจของเธอเริ่มรุนแรงขึ้นอีกครั้ง และสัญชาตญาณการเอาตัวรอดมันทำให้ความเกลียดชังและความอาฆาตนั้นลดถอยลงไปอีกครั้ง
ดังนั้น เธอลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าเหตุการณ์เมื่อกี้นี้เธอทะเลาะกับสือเพ่ยหลินดูเหมือนจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง เธออ้อนวอนกับเขาไม่หยุดอีกครั้ง :“พี่เพ่ยหลินคะ ประโยคที่ฉันพูดก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงแค่คำพูดประชดเท่านั้น พี่อย่าถือโทษโกรธฉันเลยได้ไหมคะ? ฉันขอร้องล่ะ พี่ช่วยส่งฉันไปโรงพยาบาลหน่อยได้ไหมคะ……ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปฉันอาจตายได้นะคะ ขอร้องพี่ช่วยฉันหน่อยนะคะ…… ตอนนี้ฉันจะไปอาบน้ำก่อน รับรองว่าฉันจะไม่ทำให้รถของคุณเปื้อนอย่างแน่นอน ตกลงไหมคะ?”
สือเพ่ยหลินมองดูเธออย่างเงียบ ๆ เมื่อเฉินจื่อโร่วคิดว่าเขากำลังลังเลที่ดูเหมือนจะตกลงอยู่นั้น เขาก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาราวกับเทพเจ้าแห่งความตาย: “ตัวผมเองก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว ยังต้องช่วยคุณ ?ถ้าเช่นนั้นแล้วใครจะช่วยผมล่ะ?”
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?” เฉินจื่อโร่วตกใจและสงสัย
“ไม่มีอะไร จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าเราดูเหมือนเป็นคู่ที่ช่างเหมาะสมกันจริงๆ!” สือเพ่ยหลินกำลังยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นเป็นเหมือนรอยยิ้มเยาะเย้ย
เขาหันกลับมา และก้าวเดินออกไป
ผลตรวจไขกระดูกต้องใช้เวลาอีก 2 วันผลจึงจะออกมา นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรอดชีวิตแล้ว และแพทย์ก็บอกแล้วว่า โอกาสนั้นมันน้อยมาก ……
เมื่อเฉินจื่อโร่วมองดูสือเพ่ยหลินหันกลับไปอย่างเย็นชาและเฉยเมย เขาหันหลังให้กับแสง หลังของเขาดูสูงโปร่งและตรงมาก
ทันใดนั้น เธอก็นึกย้อนภาพความทรงจำครั้งแรกที่เธอเจอกับเขา
ในเวลานั้น เธอเพิ่งเข้าไปทำงานบริษัท Times Group และโชคดีที่ได้เป็นสมาชิกที่ธรรมดาที่สุดในทีมเลขานุการ
โดยปกติแล้ว จะต้องคอยต้อนรับและดูแลลูกค้าอย่างสือเพ่ยหลิน เสิร์ฟชาและน้ำดื่ม หรือพิมพ์เอกสาร
ในขณะนั้น เมื่อได้ยินว่าสือเพ่ยหลินมาทำงาน เธอคิดเพียงแค่ว่าเขาเป็นทายาทเศรษฐีเท่านั้น และแม้ว่าหน้าตาจะอัปลักษณ์ขนาดไหนก็จะได้รับการยกย่องจากคนอื่นๆ ดังนั้น ตอนนั้นเธอไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ในใจลึกๆก็แอบหวังเล็กๆ ว่าถ้าเป็นไปได้ เธอเป็นหนึ่งในพนักงานทีมเลขา แล้วถ้าได้แต่งงานกับทายาทเศรษฐีก็เท่ากับว่าเธอจะรวยทางลัด
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขาเดินออกจากลิฟต์ในวันนั้น เธอก็ลืมทุกอย่างไปจนหมด
ลืมเป้าหมายของตัวเอง ลืมไปว่าตัวเองควรต้องเข้าไปประจบประแจง หรือแสร้งทำเป็นว่าเป็นคนที่ขยันขันแข็งในการทำงาน
ท้ายที่สุดแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา การที่เธอแต่งงานกับสือเพ่ยหลิน ก็ได้กลายเป็นเป้าหมายทั้งชีวิตของเธอ
เธอเอาชนะคู่ต่อสู้หลายคนในบริษัท และกระทั่งสามารถทำได้สำเร็จลุล่วง ทำให้สือเพ่ยหลินรู้สึกเบื่อหน่ายหลานเสี่ยวถางที่ไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวเลยสักนิด
ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ตอนนี้กลับ ……
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็สาดส่องแรงขึ้น เฉินจื่อโร่วพึ่งสังเกตว่าสือเพ่ยหลินนั้นได้เดินออกจากห้องไปแล้ว
ดังนั้น แสงแดดอันอบอุ่นที่ส่องมาที่เธอโดยไม่มีใครบดบัง เธอจึงตาพร่ามัว สติของเธอก็ค่อยๆ เลือนราง และเธอแทบจะไม่รู้สึกถึงความเย็นของร่างกายของเธอเลยแม้แต่น้อย
และในที่สุด เธอก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
สือเพ่ยหลินเดินไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “คนที่อยู่ด้านในนั้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ช่วยเอาไปโยนทิ้งหน่อย นอกจากนี้ ห้องสกปรกมากแล้ว เดี๋ยวช่วยแม่บ้านหวังช่วยกันทำความสะอาดด้วยนะ”
“ครับ คุณสือ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยักหน้าโดยที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ
*
เป็นเพราะก่อนหน้านี้หนึ่งวันได้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ดังนั้น หลานเสี่ยวถางจึงไปหาซื้อผักที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในชุมชนใกล้บ้าน และพยายามหลีกเลี่ยงการออกไปพบกับหันจื่ออี้หรือสือเพ่ยหลิน
ในขณะที่คิดอยู่นั้นก็คิดได้ว่า วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันเกิดของสือมูเฉินแล้ว หลานเสี่ยวถางหาซื้อวัสดุการทำเค้กและเทียน 30 เล่มในร้านค้าออนไลน์ และเธอวางแผนที่จะทำเค้กให้สือมูเฉินด้วยตัวเอง
ตกตอนเย็น เมื่อสือมูเฉินกลับมา หลานเสี่ยวถางช่วยเขาถอดเสื้อและเน็คไทออก และถามว่า :“มูเฉิน วันนี้การตรวจไขกระดูกของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ต้องใช้เวลาสามวันจึงจะรู้ผล” สือมูเฉินกล่าว:“หลังจากสามวันแล้ว หากการจับคู่ไม่สำเร็จ งั้นเราจะไปยังเมืองไห่หลินโดยตรง”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม เมื่อรอไปถึงเมืองไห่หลิน ฉันจะลองไปที่ตระกูลฮั่ว และลองสอบถามเรื่องซอฟต์แวร์ดู”
สือมูเฉินเลิกคิ้ว: “เสี่ยวถาง ตอนนี้คุณก็ได้กลายเป็นนักธุรกิจแล้วเช่นกัน”
หลานเสี่ยวถางยิ้มอย่างเขินอาย: “งานนี้ต้องขอบคุณคุณ”
สือมูเฉินนั่งลงข้างๆ เธอ และหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา: “ผมเห็นว่าคุณกดไลค์ให้กับคุณ Jarvis คุณก็คิดว่าการเลี้ยงหมูเป็นเรื่องยากเหมือนกันใช่ไหม?”ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น และมองดูเธออย่างมีความหมายแอบแฝง
หลานเสี่ยวถางกัดริมฝีปากของเธอ: “อันที่จริงเป็นเพราะมือลั่นต่างหากล่ะ” หลังจากพูดจบ เธอก็เสริมเพิ่มว่า: “แต่จริงๆ แล้วเขาเลี้ยงหมูไว้ที่บ้าน มันแตกต่างจากจินตนาการที่ฉันได้คิดไว้อย่างสิ้นเชิงเลยล่ะ !”
สือมูเฉินจับผมของหลานเสี่ยวถางขึ้นมา และวนเป็นวงกลมรอบปลายนิ้วของเขา: “ชีวิตของคนทุกคน ล้วนมีอะไรที่คาดไม่ถึง”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้น เธอก็มองไปที่สือมูเฉิน: “เช่นเดียวกับคุณ มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงในชีวิตของผมเช่นกัน ถ้าหากเวลานั้นไม่มีคุณ และในตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่า ……”
“ผมสามารถเข้าใจแบบนี้ได้ไหมว่า คุณกำลังสารภาพรักกับผมอยู่” สือมูเฉินมองเธอด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลานเสี่ยวถางเมื่อถูกเขามองด้วยแววตาแบบนี้ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แก้มของเธอก็แดงขึ้น: “ในสิ่งที่ฉันพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง คุณไม่เพียงช่วยฉันเท่านั้น คุณยังแนะนำและให้การสนับสนุน ทั้งยังให้กำลังใจฉันจนฉันกลายเป็นคนที่เก่งขนาดนี้ไง”
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงลุกยืนขึ้นและพูดอย่างจริงจังว่า :“มูเฉินคะ ขอบคุณคุณมากจริงๆนะคะ”
เมื่อสือมูเฉินได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก็กวักมือเรียกเธอ หลานเสี่ยวถางมานี่สิ แล้วเขาก็คว้าตัวเธอมานั่งลงที่ตักของเขา
เขามองลงมาที่เธอ: “ถ้าอยากจะเป็นสามีภรรยากันนานๆ การเป็นคู่สามีภรรยาก็ต้องปรึกษาหารือกันได้ทุกเรื่อง และอย่าเว้นช่องระยะห่างมากเกินไป มิเช่นนั้นชีวิตคู่จะไม่ยั่งยืน ดังนั้น ผมไม่ได้ช่วยคุณอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ผมหวังว่าคุณเป็นคนที่เพอร์เฟค ถ้าเช่นนั้นแล้ว เพื่ออนาคตของเรา เราจะต้องพยายามตั้งใจทำเป้าหมายเดียวกันให้สำเร็จลุล่วง ”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า แต่แล้วเธอก็รู้สึกด้อยกว่าเล็กน้อย: “แต่ฉันยังด้อยกว่าคุณอีกเยอะเลยนะคะ ”
“คุณจะกลัวทำไม ค่อยเป็นค่อยไปสิ เสี่ยวถาง คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงสังเกตเห็นพรสวรรค์ของคุณได้อย่างไร?” เมื่อสือมูเฉินถาม
“เมื่อไหร่กันคะ?” ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยเฝ้ามองเธออยู่เหรอ?
สือมูเฉินกล่าวว่า: “ในตอนแรก คุณและเพื่อนของคุณเขียนโปรแกรมแฮ็กเกอร์ที่ขโมย WiFi ผมก็เป็นหนึ่งในเหยื่อ เครือข่ายของผมถูกแฮ็ก ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบพบได้ในทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ให้คนไปตรวจสอบอีกครั้ง เป็นผลทำให้ผมได้พบกับคุณ อีกทั้งคุณยังเป็นคนที่ผมคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดี ”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็มองเธออย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์