ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 98 ผมเสียใจมาก! เสียใจที่ผมทิ้งเธอไป!
เมื่อถึงเวลาที่ผลตรวจการหาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมตรงกันกับผู้ป่วยเพื่อทำการรักษาโดยการปลูกถ่ายไขกระดูกมาถึง สือเพ่ยหลินและสือมูชิงเดินทางไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า
เมื่อเห็นหน้าเขาแพทย์ก็จำเขาได้ทันที เมื่อเขาเดินเข้ามาสีหน้าของเขาก็ค่อนข้างเคร่งขรึมและเครียดอย่างเห็นได้ชัด
สือเพ่ยหลินเห็นหน้าแพทย์ทีไรเขาก็รู้สึกเข่าอ่อน: “คุณหมอครับ ผลตรวจเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
“คุณสือครับ เสียใจด้วยนะครับ” แพทย์ถอนหายใจด้วยความหมดหวัง: “การตรวจหาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมเพื่อปลูกถ่ายไขกระดูกของคุณพ่อและคุณอาของคุณนั้นไม่ประสบความสำเร็จครับ”
แม้ว่าเขาได้เตรียมใจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าสือเพ่ยหลินก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
เขาขยับก้าวขาไปข้างหน้าอีกก้าวพร้อมกับคว้าแขนของแพทย์: “หรืออาจเป็นเพราะว่าการตรวจครั้งแรกนั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เราทำการตรวจใหม่อีกครั้งได้ไหมครับ? บางทีเมื่อถึงเวลานั้นเม็ดเลือดทางพันธุกรรมอาจจะเข้ากันก็ได้ และสามารถทำการรักษาโดยการปลูกถ่ายไขกระดูกด้วยไงครับ?”
แพทย์ถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง: “คุณสือครับ เสียใจด้วยนะครับ เครื่องตรวจวินิจฉัยโรคทางการแพทย์นั้น ตรวจอีกกี่ครั้งผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเดิมครับ”
“เป็นไปไม่ได้ คุณพ่อและคุณอาของผม เป็นญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทำไมเม็ดเลือดทางพันธุกรรมถึงเข้ากันไม่ได้ ?” สือเพ่ยหลินส่ายหัว: “คุณหมอครับ คุณหมดช่วยหาวิธีอื่นหน่อยได้ไหมครับ อีกอย่างในโลกนี้มีเพียงพวกเขาที่เป็นสายเลือดเดียวกับผมแล้วจริงๆนะครับ เพราะพวกเขาคือญาติคนเดียวของผมบนโลกใบนี้แล้ว ”
“คุณสือครับ เสียใจด้วยจริงๆนะครับ ” คุณหมอกล่าว “เพราะโรคของคุณแตกต่างจากโรคทั่วไป การหาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เข้ากันได้กับผู้ป่วยเพื่อทำการรักษาโดยการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นมันมีข้อจำกัดเยอะมาก ถ้าหากเป็นโรคทั่วไป เซลล์เม็ดเลือดของคุณอาของคุณนั้นก็ยังสามารถทำการรักษาได้ แต่อาการป่วยของคุณนั้นผมจนปัญญาจริงๆครับ”
สือเพ่ยหลินยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความเคว้งคว้าง
เมื่อสือมูชิงได้ยินเช่นนั้น ทันใดนั้นเขาก็เหมือนอายุขัยของตัวเองลดลงสิบปี
ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย เขายืนสั่นอยู่แบบนั้นเป็นเวลานาน เขารีบพุ่งเข้าไปหาคุณหมอพร้อมพูดว่า:“ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เหรอครับ?นี่ผมจะต้องดูลูกชายของผมตายไปต่อหน้าต่อแบบนี้อย่างนั้นเหรอครับ?”
คุณหมอส่ายหัว: “คุณสือครับ โรงพยาบาลของเราก็รู้สึกเสียใจเช่นกันครับ ด้วยโรคนี้นั้นได้กลายเป็นโรคร้ายแรงถึงชีวิตที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดในโลก ดังนั้น ……”
“ตัวยาที่ใช้ในการรักษาหรือพลาสมาของเลือดที่เกี่ยวข้องนั้นไม่สามารถทำการวิจัยได้เหรอครับ” สือมูชิงกล่าว
“ณ เวลานี้ทั้งในและต่างประเทศต่างมุ่งมั่นที่จะวิจัยยารักษาโรคตัวนี้อยู่ แต่ว่าผลวิจัยยังไม่สำเร็จครับ ” แพทย์กล่าว: “แน่นอนว่า หากสามารถวิจัยยาที่เกี่ยวข้องได้ภายในเจ็ดเดือนนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นอาการของคุณสือสามารถรักษาหายได้ครับ”
“ดังนั้น ผมจึงทำได้แค่รอความหวังที่แสนริบหรี่แบบนั้นเหรอครับ ชีวิตของตัวเองนั้นต้องขึ้นอยู่กับสถาบันการแพทย์เหล่านั้นเหรอ?” สือเพ่ยหลินยิ้มเจือน
คุณหมอพยักหน้าตอบรับ:“ณ ตอนนี้ก็ต้องเป็นเช่นนั้นครับ”
“โอเค ผมเข้าใจแล้วครับ” สือเพ่ยหลินรีบเดินออกจากสำนักงานแพทย์ด้วยความสิ้นหวังและเสียใจ
เมื่อเขาลงไปถึงชั้นล่าง เมื่อสือมูชิงเห็นว่าสือเพ่ยหลินที่นั่งฝั่งคนขับ* เขารีบคว้าตัวสือเพ่ยหลินทันที: “เพ่ยหลิน ตอนนี้สภาพของลูกไม่เหมาะกับการขับรถ!”
“คุณพ่อครับ แล้วตอนนี้คุณพ่อคิดว่าผมเหมาะจะทำอะไรครับ?” สือเพ่ยหลินโพล่งพูดออกมาด้วยอารมณ์ว่า: “ผมนอนรักษาตัวอยู่เป็นเตียงนานถึงสองปี และในที่สุดผมก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป แต่สุดท้าย ชีวิตของผมก็มาถึงจุดที่ต้องนับวันรอความตายแบบนี้อีกครั้งเหรอครับ !”
“เพ่ยหลิน มันคือลิขิตจากฟ้า” สือมูชิงกล่าว :“อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ลูกยังรอดตายมาได้เลย ก็พิสูจน์ได้ว่าชีวิตนี้มันต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน !”
“ถ้าเช่นนั้นคุณพ่อลองบอกผมสิครับว่าปาฏิหาริย์นั้นอยู่ไหน?” สือเพ่ยหลินพยายามพยุงตัวเองไม่ให้หน้ามืดจะเป็นลมโดยการจับแฮนด์รถไว้แน่น ” ยารักษาโรคของผมวิจัยออกมาได้แล้วเหรอครับ ?คุณพ่อครับ ตอนนี้ผมเป็นเหมือนผู้ป่วยมะเร็งที่ไร้ทางรักษา โง่ที่คาดหวังอะไรลมๆแล้งๆ ก่อนที่ผมจะตาย จะมียาต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสามารถรักษาให้ผมมีชีวิตรอดต่อไปอย่างนั้นเหรอครับ!”
เมื่อสือมูชิงได้ฟังแล้ว ในใจจุกวาบจนพูดอะไรไม่ออก แต่ว่าไม่นานนัก ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ :“เพ่ยหลิน พ่อลืมนึกไปเลย!ลูกก็แต่งงานกับหลานเสี่ยวถางสิ !ถ้าหากลูกได้แต่งงานกับเธอ ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน !”
“ถ้าหากแต่งงานกับเธอ สถาบันการแพทย์เหล่านั้นจะสามารถผลิตยาออกมาได้อย่างนั้นเหรอครับ ?” สือเพ่ยหลินหัวเราะด้วยความสิ้นหวัง
สือมูชิงกล่าวว่า:“พ่อก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่พ่อรู้แค่ว่าอาจารย์คนนั้นพูดถูก! ในเวลานั้นลูกเกือบตายแล้ว และคุณหมอล้วนบอกว่าถึงแม้ว่าไม่ตาย ก็จะกลายเป็นอัมพาต แต่เธอดูแลลูกทั้งวันทั้งคืน เรียกลูกไม่กี่ครั้ง ลูกก็ฟื้นคืนมาแล้ว”
เขาพูดต่อว่า: “ต่อมา คุณหมอเห็นว่าลูกฟื้นแล้ว และบอกว่าอาการของลูกในตอนนั้น น่าจะเป็นอัมพาตและคงนอนติดเตียงตลอดชีวิต แต่หลังจากนั้นสองปีต่อมา ลูกก็ลุกขึ้นยืนได้ และสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้ง!”
“ปาฏิหาริย์?” สือเพ่ยหลินจ้องมองคุณพ่อของตัวเองชั่วขณะ ทันใดนั้นอารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปทันที วันและคืนที่ไม่อาจลืมเลือนเหล่านั้นก็โผล่ขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของเขาอีกครั้ง
มุมปากของเขายิ้มเศร้าๆ:“คุณพ่อครับ คุณพ่อรู้อะไรไหมครับ ในขณะนั้นเพื่อผมแล้วเธอยอมทิ้งอนาคตของตัวเอง ทั้งๆที่เธอเป็นนักเรียนดีเด่นและสอบติดมหาลัยอันดับต้นๆของประเทศ แล้วมาดูแลคนอัมพาตอย่างผม ! ในตอนนั้นเพราะผมขยับตัวไม่ได้ อารมณ์จึงแปรปรวนโมโหง่าย และลงที่เธอ แต่เธอทนผมได้ทุกอย่าง ผมจู้จี้จุกจิก และไม่ยอมที่จะจ้างพ่อครัว เธอทำอาหารให้ผมทานตลอด จนผมยอมให้ความร่วมมือ!”
“ผมขยับเขยื้อนไม่ได้ เธอเป็นแค่คนที่เรียนซอฟต์แวร์ แต่เธอกลับต้องมาศึกษาเกี่ยวกับการฝังเข็มแพทย์แผนจีนทุกวัน เธอยังตั้งใจไปเรียนการนวดโดยเฉพาะ เธอกลัวว่าผมจะตื่นและเห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้าน เธอจะหาโอกาสไปเรียนช่วงที่ผมนอนพักผ่อนตอนบ่ายสองชั่วโมง ไปเรียนเสร็จแล้วก็รีบวิ่งกลับมาบ้าน”
“เริ่มแรกที่เธอนวดให้ผม เธอมีแรงน้อยมาก ต่อมาผมรู้สึกได้ว่าเธอมีเรี่ยวแรงมากขึ้น เป็นเพราะเธอพยายามที่จะฝึกฝนหลายวันหลายคืนฝึกจนชำนาญ”
“ตอนที่เธอแต่งงานกับผมนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบการแต่งตัวอย่างมาก แต่ว่าเป็นเพราะผมไม่ชอบให้ในบ้านมีคนรับใช้ ดังนั้น บ้านหลังใหญ่ขนาดนั้น ไม่ว่าจะซื้อผัก ทำอาหาร และทำความสะอาดบ้านทั้งหมดนี้เธอทำเพียงคนเดียว เมื่อเวลาๆค่อยๆผ่านไป ผมจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเธออย่างมาก!”
“เป็นเพราะเธอต้องเอาเวลามาดูแลผม จนเธอไม่มีเวลาไปเที่ยวซื้อของ และไม่มีเวลาดูแลผิวพรรณของตัวเองเลย เธอทุ่มเทพลังกายพลังใจเกือบทั้งหมดให้กับผม! เมื่อผมเริ่มสามารถขยับตัวได้เล็กน้อย เธอจึงให้กำลังใจผมอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดผมก็ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง!”
“ผมจำได้ว่า เมื่อผมสามารถยืนขึ้นและสามารถก้าวเดินด้วยตนเอง เธอร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น ร้องไห้ดีใจมากกว่าผมเสียอีก!”
ในขณะที่สือเพ่ยหลินพูดอยู่นั้น น้ำตาของเขาก็คลอบ้า: “คุณพ่อครับ คุณพ่อรู้อะไรไหมครับ? ภายใต้ปาฏิหาริย์เหล่านั้น มันเป็นความพยายามมานานกว่าเจ็ดร้อยวันที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยจากผู้หญิงอย่างหลานเสี่ยวถางต่างหากล่ะครับ ! ดังนั้น ปาฏิหาริย์ในโลกนี้ไม่มีจริงหรอกครับ มันเป็นเพียงเพราะความเพียรพยายามเป็นเวลานานของเธอ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างเท่านั้นเองครับ!”
เขาคว้าแขนของสือมูชิง: “ตอนนี้ เธอไม่ต้องการกลับมาอีกแล้วล่ะครับ เธอไม่ต้องการกลับมาตั้งนานแล้วครับ!”
เมื่อสือมูชิงได้ยินสิ่งนี้เขาก็จุกจนพูดไม่ออก ในความทรงจำของเขาแล้ว หลานเสี่ยวถางเป็นลูกสะใภ้ที่ดีมาก และไม่สามารถหาข้อผิดพลาดของเธอได้เลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเธอประสบเจอปัญหาและเป็นช่วงที่ชีวิตดำดิ่งที่สุด ดังนั้น เมื่อสือเพ่ยหลินเสนอว่าต้องการหย่ากับเธอ เขาก็เห็นด้วยกันกับลูกชายของตัวเองทันที
เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่า หลานเสี่ยวถางจะเสียสละและทำเพื่อลูกชายของเขาได้ขนาดนี้?
ตั้งแต่เล็กจนโต สือมูชิงถูกเลี้ยงดูมาโดยมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์เท่านั้น หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งด้านธุรกิจหรือครอบครัวเขาก็ไม่เคยเห็นใจใครเลย
ตั้งแต่ตอนที่สือมูเฉินยังเด็ก เขาก็เคยยิงสือมูเฉินจนเกือบตายมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นก็ถูกลบเลือนไปในที่สุด และต่อมาเขาก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องเอามือตัวเองไปเปื้อนเลือดแก่งแย่งชิงดีเพื่อหวังมรดกเช่นนั้นด้วย
ดังนั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่คิดจะฆ่าสือมูเฉินอีกเลย แต่เขายังคงกีดกันและหาทางกลั่นแกล้งสือมูเฉินอยู่ตลอด แค่ทำให้สือมูเฉินไม่อดตาย แต่ก็ไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวกับอำนาจความมั่งคั่งและมรดกของเขาให้สั่นคลอนได้อย่างแน่นอน
และในตอนนี้ สือเพ่ยหลินต้องประสบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ หรือนี้เป็นเพราะกรรมตามสนองเขา ?
เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ตอนเด็กๆ เมื่อเขายังเป็นวัยรุ่นนั้น ไม่ว่าเขาต้องการอะไรเขาก็ต้องได้สิ่งนั้นมา แต่เป็นเพราะเขาได้รับอุบัติเหตุจึงทำให้เขาไม่สามารถมีลูกได้อีก ดังนั้น เขาจึงรักสือเพ่ยหลินแก้วตาดวงใจคนนี้อย่างมาก
ตอนนี้……
สือมูชิงกล่าวว่า “ลูกเพ่ยหลิน แม้ว่าพ่อจะไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านนั้นได้กล่าวว่าหลานเสี่ยถางนั้นจะช่วยให้ลูกผ่านพ้นการโดนลงทัณฑ์จากสวรรค์นี้ไปได้อย่างไร แต่นี่เป็นวิธีเดียวในขณะนี้ ลูกไปหาเธอวันนี้ตอนนี้เลย บอกเธอว่า คุณพ่อได้พูดว่าตราบใดที่เธอยอมตกลงแต่งงานด้วย ทรัพย์สินทั้งหมดของลูกก็จะได้รับการรับรองเป็นสินสมรสที่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิร่วมของทั้งสามีและภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย!”
อย่างไรก็ตาม สือเพ่ยหลินยังคงอยู่กับอารมณ์ที่เคร่งเครียดของเขาในตอนนี้
เขามองสือมูชิงด้วยดวงตาแดงก่ำ:“คุณพ่อครับ ทำไมตอนที่ผมบอกว่าผมจะหย่า คุณพ่อถึงไม่ยอมคัดค้านล่ะครับ? ในเมื่อคุณพ่อรู้ทั้งรู้ว่าเธอสามารถช่วยให้ผมพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ทำไมคุณพ่อถึงไม่หยุดผมล่ะครับ ?”
“เพ่ยหลิน พ่อคิดว่าหายนะของลูกนั้นได้จบลงแล้ว……” เมื่อนึกได้เช่นนี้ สือมูชิงรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดอย่างมากที่ตัดสินใจผิดพลาดไป
“ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว ก็สามารถเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลอย่างนั้นเหรอครับ?” ในขณะที่สือเพ่ยหลินพูดอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมาทันที: “ผมโทษเธอที่กลายเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมรักเหมือนตอนแรก! ผมเกลียดเธอเมื่ออยู่ต่อหน้าผมแล้วเธอไม่ชอบแต่งตัว และในอนาคตถ้าผมพาเธอออกงานเข้าสังคมคงทำให้ผมอับอายขายขี้หน้าอย่างมาก! ดังนั้น ผมแค่ต้องการแก้แค้น แต่ตอนนี้กรรมนั้นมันได้กลับมาตามสนองที่ตัวผมเอง!”
“เพ่ยหลิน ตอนนี้มันยังไม่สายเกินไปนะลูก ลูกลองไปหารือกับเธออีกครั้ง ส่วนมากแล้วผู้หญิงทุกคนชอบฟังคำพูดหวานๆ ไม่ใช่เหรอ?” สือมูชิงกล่าว: “หรือจะให้พ่อและแม่ไปหาเธอด้วยตัวเองดี?”
“คุณพ่อครับ ผมเสียใจมากจริงๆ ผมเสียใจที่หย่ากับเธอ!” สือเพ่ยหลินกุมศีรษะของตัวเอง: “ถ้าหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ มันคงจะดีไม่น้อยเลยนะครับ!”
เขาเสียใจอย่างมาก ไม่เพียงเพราะหลานเสี่ยวถางสามารถช่วยให้เขาผ่านพ้นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเป็นเพราะเธอนั้นมีจิตใจที่งดงามมาก ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิงที่เคยอยู่กับเขาเพียงเพราะเงินเท่านั้น
เขาเสียใจอย่างมาก เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับเมื่อสองปีที่แล้วนั้น เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเธอคือคนที่หวังดีกับเขาที่สุดแล้ว!
แม้แต่พ่อแม่แท้ๆ ของเขาเอง ก็ยังไม่เคยนวดให้เขามาก่อน และไม่มีใครสักคนที่จะศึกษาข้อมูลทางการแพทย์และอดหลับอดนอนทั้งคืนเพื่อต้องการหาข้อมูลให้อาการของเขาหาย
ภาพถ่ายที่เพื่อนร่วมชั้นของเฉินจื่อโร่วใส่ร้ายหลานเสี่ยวถาง รูปภาพที่เธอเผลอหลับไปนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะเธอศึกษาข้อมูลจนเหนื่อยล้าและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาได้จังหวะแอบถ่ายพอดี !
ในอดีต ไม่เคยทะนุถนอมและเห็นค่า พอวันที่สูญเสียไป สือเพ่ยหลินกลับพบว่า แท้ที่จริงแล้วนั้นมันสิ่งของล้ำค่าที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว !
น่าเสียดายที่เขาทำมันพังด้วยมือของเขาเอง และไม่สามารถย้อนเวลากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป!
เขาเงยหน้าขึ้นมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกรถ
หนุ่มหล่อเพียบพร้อมที่แววตาเคยเต็มไปด้วยความสดใส มาวันนี้กลับเต็มไปด้วยความเสียใจและสิ้นหวัง!
จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในวันนั้นเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองแล้ว เขาเห็นหลานเสี่ยวถางใกล้ตายอยู่ตรงหน้าเขายังไม่คิดจะช่วยเหลือเธอเลย เมื่อเขาไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล เธอพูดว่า ในอนาคตถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้น เธอจะคอยดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน และเธอจะไม่มีวันช่วยเขาอย่างแน่นอน!
ไม่คิดเลยว่า คำว่า ‘ในอนาคต’ มันจะมาถึงเร็วขนาดนี้!
“ลูกเพ่ยหลิน อย่ายอมแพ้สิ!” เมื่อสือมูชิงเห็นว่าสือเพ่ยหลินดูเศร้าเสียใจท่าทางเหมือนคนอยากตาย จึงคว้าไหล่ของเขาไว้ :“เชื่อพ่อเถอะนะ ลองพยายามดูใหม่อีกสักครั้ง ในเมื่อตอนนั้นเธอดีกับลูกมากขนาดนั้น มันก็ต้องยังมีความรู้สึกรักหลงเหลืออยู่บ้าง ลูกน่าจะยังมีโอกาสอย่างแน่นอน!”