ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 105 คุณหนูลั่วฉุดคนแล้วอีกแล้ว
ตอนที่ 105 คุณหนูลั่วฉุดคนแล้วอีกแล้ว
กลับจวนหรือ
สวี่ชีสับสนอยู่ครู่หนึ่ง กลับจวนหมายความว่าอย่างไรกัน
ด้านสื่อเยี่ยนเข้าใจคำว่ากลับจวนกระจ่าง แต่กลับมึนงงไม่แพ้กัน ให้แบกนั่นหมายความว่าอย่างไร
ยามนี้ทั้งสองอดหันหน้ามองกันมิได้
แต่หงโต้วกลับแตกต่าง นางเข้าใจความทั้งหมด
สาวใช้ตัวน้อยถูมือไปมา กล่าวออกมาอย่างฮึกเหิม “บ่าวจัดการเองเจ้าค่ะ!”
เห็นว่าลั่วเซิงไม่ได้คัดค้าน หงโต้วก็ยอบกายลงจับสวี่ชีตีลังกาหกคะเมนพาดลงบนบ่าของนาง
“ไปกันเถอะ” นางหันไปส่งยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องให้สื่อเยี่ยน
กล่าวได้ว่านางเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูที่สุด คนอื่นที่คิดแย่งงานของนางไม่ส่องฉี่มองดูใบหน้าของตนเองบ้างว่าเหมาะสมกับงานหรือไม่
สื่อเยี่ยนตาค้าง หันมองลั่วเซิงอย่างตกตะลึง
เขาไม่เชื่อว่ามันจะหมายความถึงสิ่งนี้!
ลั่วเซิงผงกศีรษะ ท่าทางสงบเงียบ “กลับจวน”
เมื่อเห็นว่าสื่อเยี่ยนยังคงตื่นตะลึงเช่นนั้น หงโต้วที่แบกสวี่ชีเอาไว้บนบ่าอย่างนุ่มนวลก็เริ่มเอ่ยคำเสียดแทง “ยังจะยืนบื้อทำอะไรอยู่อีก ตอนกินข้าวไม่เห็นเจ้าจะตอบสนองช้าเยี่ยงนี้เลย พอตอนจะทำงานแล้วแสร้งโง่ไปได้”
กระทั่งสติกลับคืนมาแล้ว องครักษ์ตัวน้อยก็แทบจะหลั่งน้ำตา
นี่จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า ตอนกินข้ากระตือรือร้นมากก็เพราะอาหารมันอร่อย หากปล่อยให้กลิ่นหอมของอาหารที่คุณหนูลั่วทำลอยออกไปแม้แต่คนโง่ก็ยังต้องรีบเข้ามาแย่งกินอย่างตะกรุมตะกราม แต่จู่ๆ มาบอกให้แบกคุณชายน้อยผู้หนึ่งกลับจวนนั้นนั้น นี่มันใช่งานของคนปกติที่ไหนเล่า
ลั่วเซิงที่เดินอยู่ข้างหน้าถอนหายใจเบาๆ
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่คุณหนูลั่ว มักจะลืมไปเสมอว่าพละกำลังของหงโต้วนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าบุรุษ นับว่ามีประโยชน์ยิ่ง
สวี่ชีกลับเป็นคนสุดท้ายที่โต้ตอบ
ไม่มีทาง เขาไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งจะถูกแบกขึ้นไหล่ของสาวใช้เช่นนี้ แล้วยังเดินไปตามถนนในเวลากลางวันแสกๆ
“ปล่อยข้านะ!” สวี่ชีตะโกนด้วยความโกรธ
ผู้ที่เดินผ่านไปมาซึ่งไม่ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวในคราวแรก ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกน ก็เริ่มหันมองไปรอบๆ แล้ว
ลั่วเซิงชะลอฝีเท้าลงแล้วเดินอยู่ข้างๆ เขา ส่งยิ้มพรายให้ “เจ้าตะโกนให้ดังกว่านี้อีกนิดสิ เช่นนี้คนจะได้หันมามองมากยิ่งขึ้น”
สวี่ชีสกัดกลั้นความโกรธไว้จนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด แทบจะหายใจไม่ออก และไม่กล้าส่งเสียงตะโกนต่อ
“รู้หรือไม่ว่าหากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ควรทำอย่างไร” ลั่วเซิงถามน้ำเสียงอบอุ่น
สวี่ชีถลึงตามองนางอย่างเคียดแค้น ปราศจากคำพูด
สื่อเยี่ยนรีบเงี่ยหูฟัง
เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าควรจะทำอย่างไร เพราะสถานการณ์นี้ดึงดูดสายตาคนอย่างยิ่ง
หงโต้วห่อปาก “ยังต้องคิดอีกหรือ เวลานี้ก็ควรเงียบไว้ไม่ส่งเสียงดังอย่างไรเล่า”
สื่อเยี่ยนอดถามออกมามิได้ “เช่นนี้จะปลีกตัวไปได้รึ”
คุณหนูลั่วไม่ใช่คนที่จะพูดง่ายขนาดนั้นกระมัง
หงโต้วกลอกตากลับ “ไม่ วิธีนี้จะมีเกียรติขึ้นมาหน่อย คนอื่นอาจคิดว่าเจ้าหมดสติไปและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่นนั้นก็จะไม่น่าอายเท่าไรนัก”
สื่อเยี่ยนยกนิ้วโป้งให้
กล่าวเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผลยิ่ง
เขามองคุณชายน้อยที่โดนแบกอยู่บนไหล่ด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
คุณชายน้อยหลับตาแน่น ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินคำพูดของหงโต้วแล้วจึงแสร้งทำเป็นหมดสติ
คุณหนูลั่วเดินนำอยู่ด้านหน้า ตามมาด้วยสาวใช้ตัวเล็กที่แบกคุณชายน้อยไว้บนบ่า ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วนในทันที
ผู้คนในอาคารเล็กๆ ทั้งสองฝั่งของถนนเริ่มเปิดหน้าต่างออกมามอง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้คนบนถนน
กลุ่มคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็เริ่มชี้ไม้ชี้มือวิพากษ์วิจารณ์
“เห็นหรือไม่ คุณหนูลั่วฉุดคนอีกแล้ว ครั้งนี้ใครเป็นผู้โชคร้ายกัน”
“มองจากเสื้อผ้าที่คุณชายผู้นั้นสวม ไม่คล้ายกับครั้งที่แล้วที่ดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มธรรมดา”
มีคนเปรียบเทียบกันทันที “จะว่าไปแล้ว คุณชายรูปงามในครั้งก่อนนั้นหน้าตางดงามนัก”
หงโต้วได้ยินก็หงุดหงิดอย่างยิ่ง
คนรอชมเรื่องสนุกพวกนี้ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ การตายของคุณชายซือทำให้คุณหนูเซื่องซึมอยู่หลายวัน ไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดประเด็นขึ้นมาอีก
ประจวบกับตอนนั้นเอง องครักษ์จิ่นหลินในเครื่องแบบหลายคนกำลังเดินผ่านถนน ผู้นำไม่ใช่ใครอื่นเพราะเขาคือผิงลี่ บุตรชายบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ลั่วนั่นเอง
“นายท่านผิงขอรับ นั่นคล้ายกับคุณหนูสามเลยนะขอรับ” องครักษ์จิ่นหลินคนหนึ่งกดเสียงต่ำ
ผิงลี่ชะงักเท้าครู่หนึ่ง ดวงตากวาดมองไปทางร่างของลั่วเซิง แล้วมองไปยังสวี่ชีที่ถูกแบกไว้บนไหล่ของหงโต้ว
สวี่ชีหลับตา พยายามอย่างสุดความสามารถในการรักษาสีหน้าเอาไว้
มากเกินไปแล้ว เหตุใดคนพวกนี้ถึงได้แย่นัก เห็นเขาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ไม่ยื่นเมือเข้ามาช่วยก็ช่างเถอะ แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรสว่าระหว่างเขาและนายบำเรอที่คุณหนูลั่วฉุดไปครั้งก่อนรูปงามยิ่งกว่า
และสิ่งที่น่าอับอายที่สุดก็คือ เขายังไม่ได้ลงแข่งด้วยซ้ำ!
ยามนี้ คุณชายน้อยลืมคำพูดก่อนหน้าที่ว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือโดยสิ้นเชิงหากเขาประสบปัญหา
“นายท่านผิง ดูเหมือนว่าผู้ที่คุณหนูสามฉุดมาจะเป็นคุณชายใหญ่ของจวนฉางชุนโหวนะขอรับ”
เป็นที่รู้กันว่าจวนฉางชุนโหวรุ่นนี้มีคุณชายทั้งหมดสามคน แต่กลับยังไม่ได้กำหนดตำแหน่งซื่อจื่อที่ชัดเจนเอาไว้
ว่ากันว่าในปีนั้นจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกทำลายเพราะสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ ท่านหญิงหวาหยางก็จากไปด้วยอาการซึมเศร้า ฉางชุนโหวในยามนั้นเป็นเพียงซื่อจื่อ ต่อมาเมื่อท่านโหวผู้เฒ่าถึงแก่กรรม เขาก็ได้สืบทอดตำแหน่ง แต่เนื่องจากครอบครัวมารดาของบุตรชายคนโตเกิดเรื่องน่าอับอายจึงเลื่อนการแต่งตั้งซื่อจื่อออกไป จนล่าช้ามาจนถึงทุกวันนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือบุตรชายคนโตของจวนฉางชุนโหว หาใช่ซือหนานที่แต่งกายเยี่ยงสามัญชนเมื่อไม่กี่ปีก่อน หากฉุดกลับไปยังจวนแม่ทัพใหญ่จริง จะต้องเป็นที่อึกทึกมากแน่นอน
ผิงลี่เม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าแข็งกระด้าง
ในเมื่อเขาบังเอิญเห็นภาพนี้แล้ว คงไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อพ่อบุญธรรมทราบข่าวคงจะตำหนิเขาเป็นแน่
ลั่วเซิงเหลือบมองไปทางทิศหนึ่งราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง หลังจากสบตากับผิงลี่แล้วก็เสมองไปทางอื่นอย่างเฉยเมย
ผิงลี่เดิมทีก็อยากจะมองข้าม แต่เมื่อสังเกตเห็นสื่อเยี่ยนที่เดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ ม่านตาของเขาก็หดตัวลง
หากเขาจำไม่ผิด นี่ควรจะเป็นองครักษ์ส่วนตัวของไคหยางอ๋อง
แล้วเหตุใดองครักษ์ส่วนตัวของไคหยางอ๋องถึงได้ติดตามคุณหนูสามเช่นนี้
สื่อเยี่ยนสัมผัสได้ถึงสายตาของผิงลี่ที่มองมาจึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าอีกคราแล้วคิดในใจเงียบๆ ข้าและคุณหนูลั่วไม่ได้มาด้วยกัน ข้าไม่รู้จักพวกเขา…
ฉับพลันเสียงกังวานใสของสาวใช้ก็ดังขึ้น “สื่อซานหั่ว เจ้ายังไม่รีบเดินอีก ข้าแบกคนอยู่เช่นนี้ยังเร็วกว่าเจ้าเลย”
สื่อเยี่ยน “…” ไม่รู้ว่าถ้าตอนนี้ปลอมเป็นสือเยี่ยนจะยังทันหรือไม่
หลังจากมั่นใจแล้วว่าสือเยี่ยนและลั่วเซิงมาด้วยกันจริงๆ ผิงลี่ก็หันกายแล้วรีบกลับไปยังศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินทันที
ไม่ว่าคุณหนูสามจะฉุดคุณชายใหญ่ของจวนฉางชุนโหวหรือองครักษ์ส่วนตัวของไคอยางอ๋อง เรื่องนี้ก็ต้องรีบรายงานให้พ่อบุญธรรมทราบโดยเร็วที่สุด
ยามนี้ กลุ่มคนด้านหลังที่ไล่ตามลั่วเซิงเพื่อรับชมความสนุกสนาน กำลังคาดเดาถึงตัวตนของสวี่ชีอย่างเข้มข้น
มีคุณชายหลายคนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ทั้งหมดมีสีหน้าซับซ้อน
“สวี่ชีถูกคุณหนูลั่วฉุด พวกเราจะทำอย่างไรดี”
คุณชายผู้หนึ่งไร้ท่าทีตอบสนองกลับอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “มิใช่ว่าพวกเราถูกตีไปแล้วรึ”
หรือว่าการทุบตีจะยังไม่เพียงพอ แต่ยังต้องให้คุณหนูลั่วฉุดไปด้วย แต่สาวใช้ชั้นต่ำนั่นบอกว่าพวกเขาอัปลักษณ์
คุณชายอีกคนตีเขา “เจ้าโง่ จะปล่อยโอกาสดีๆ ที่ทำให้สวี่ชีอับอายแบบนี้ไปได้อย่างไรเล่า ดูข้านะ!”
ทุกคนในกลุ่มทยอยกันหันมามองเขา
คุณชายผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วตะโกนเสียงดัง “ไม่นะ คุณหนูลั่วฉุดคุณชายใหญ่ของจวนฉางชุนโหวแล้ว…”
หลังเสียงตะโกนออกไป เขาก็รีบยอบกายทันที กดเสียงต่ำ “วิ่ง!”
คุณชายคนอื่นๆ เห็นเขาวิ่งหนีไปเช่นนั้นก็วิ่งติดตามไปโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งวิ่งไปจนถึงมุมหนึ่งที่ลับตาคน ใครคนหนึ่งก็ราวกับคิดบางอย่างขึ้นได้ เอ่ยออกมาด้วยความกลัว “หากคุณหนูลั่วรู้ว่าพวกเราเป็นคนตะโกน จะทำอย่างไรเล่า”
“เจ้ากลัวเรื่องในตรอกนั่นจนเสียสติไปแล้วรึ คนดูมากมายเช่นนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพวกเราที่ตะโกน”
“ใช่” คุณชายคนอื่นๆ รีบสนับสนุน นัยหนึ่งก็พยายามปลอบใจตนเอง
คุณชายผู้ส่งเสียงตะโกนหันมองไปยังทิศทางของฝูงชนแล้วผุดยิ้มเยาะ “ตอนนี้ทุกคนรู้ฐานะของสวี่ชีแล้ว มาดูกันในวันหน้าเขาจะยังเงยหน้าขึ้นต่อหน้าพวกเราอย่างไร!”
ด้านลั่วเซิงได้ยินเสียงตะโกนของคุณชายผู้นั้น กลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
เยี่ยมมาก ในที่สุดคนที่รอชมเรื่องสนุกพวกนี้ก็ได้รู้ตัวตนของหลานชายแล้ว