ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 107 ผ้าปกปิดความอัปยศฉีกขาด
ตอนที่ 107 ผ้าปกปิดความอัปยศฉีกขาด
สตรีรูปงามท่วงท่าอรชรอ่อนหวานคนหนึ่งเดินออกมา
“ออกมาแล้ว!” เกิดคลื่นความวุ่นวายระลอกหนึ่งในฝูงชน
ใบหน้าของหยางซื่อ ฉางชุนโหวฮูหยินครึ่งหนึ่งฉายแววเคร่งขรึมครึ่งหนึ่งฉายแวววิตก มองปราดเดียวก็เห็นลั่วเซิงทันที
ภายใต้แสงแดด ใบหน้าของเด็กสาวปราศจากความรู้สึก ดวงตาสีเข้มและคางขาวพิสุทธิ์เชิดขึ้นเล็กน้อยทำให้นางดูเปล่งประกายตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงชายกระโปรง
“ในที่สุดหยางฮูหยินก็ออกมา” ลั่วเซิงจ้องเขม็งไปยังสตรีที่เดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ในใจของหยางซื่อเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
ความพยายามของคุณหนูลั่วที่จะบีบนางออกมานั้น ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง!
การเป็นภรรยาใหม่หาใช่เรื่องง่ายไม่ หากปล่อยให้คุณหนูลั่วเอ่ยวาจาเหลวไหลต่อไป ชื่อเสียงอันดีงามของนางย่อมป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
“คุณหนูลั่ว ชีเอ๋อร์ทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคืองหรือ” หยางซื่อน้ำเสียงร้อนรน เต็มไปด้วยความกังวลที่มีต่อลูกเลี้ยง
ลั่วเซิงกระตุกยิ้มแล้วชี้นิ้วไปยังหลานชายผู้น่าสงสารที่ถูกหงโต้วเหยียบไว้ “หยางฮูหยินคิดว่าคุณชายใหญ่สวี่จะทำให้ข้าขุ่นเคืองใจได้หรือ”
ใบหน้าของหยางซื่อขาวซีด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดคุณหนูลั่วถึง…เหตุใดถึงได้ปฏิบัติต่อชีเอ๋อร์เช่นนี้”
สวี่ชีหลับตาเพื่อหลบหนีทุกสิ่ง แต่แพขนตากลับสั่นไหวเบาๆ
แม่เลี้ยงเป็นห่วงเขาใช่หรือไม่
เขารู้ดี หากคนในเรือนรู้ว่าเขาได้รับความไม่เป็นธรรมจริงๆ พวกเขาจะเพิกเฉยได้อย่างไร
ที่ผ่านมา…เขาก็แค่ไม่เคยพูดออกไปก็เท่านั้น
ลั่วเซิงไม่ได้ตอบคำถามของหยางซื่อ แต่กลับหันไปสั่งหงโต้ว “อย่าเหยียบคุณชายสวี่ไว้บนพื้นแบบนั้น”
“เจ้าค่ะ” หงโต้วรับคำแล้วแบกสวี่ชีขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นลั่วเซิงจึงหันไปมองหยางซื่อ ถามกลับ “หยางฮูหยินคิดว่าข้าปฏิบัติต่อคุณชายใหญ่สวี่เช่นไรหรือ ข้าทุบตีเขา หรือว่าข้าด่าทอเขา”
ในใจหยางซื่อสุมไปด้วยความโกรธ หากแต่ต่อหน้ากลับไม่อาจแสดงออกมาได้ กล่าวตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูลั่วจะพาชีเอ๋อร์กลับไปเป็นนายบำเรอ”
ลั่วเซิงทำทีประหลาดใจ “หยางฮูหยินไปได้ยินมาจากใครกัน”
หยางซื่อนิ่งงัน
นางย่อมได้ยินคำพูดนี้มาจากผู้ดูแล และผู้ดูแลเองก็ได้ยินมาจากกลุ่มคนที่นำข่าวมารายงานยังจวนโหว ยิ่งเห็นว่าสวี่ชีโดนสาวใช้คนหนึ่งแบกไว้อยู่บนไหล่ หรือจะเป็นไปได้ไหมว่านี่คือความเข้าใจผิด
ลั่วเซิงส่ายหน้า “อย่างไรเสียหยางฮูหยินก็เป็นถึงสตรีสูงศักดิ์ เหตุใดถึงได้คิดร้ายเช่นนั้นเล่า ท่านลองถามกลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้ ว่าข้าเคยเอ่ยหรือว่าจะพาคุณชายสวี่กลับจวนไปเป็นนายบำเรอ”
หยางซื่อหันมองฝูงชนที่แออัดโดยไม่รู้ตัว
ผู้คนที่เฝ้าดูเรื่องสนุกต่างร้องตะโกนออกมาทีละคน “คุณหนูลั่วไม่ได้พูดอะไรเลย”
หยางซื่อกำหมัดแน่น หันมองลั่วเซิง
ลั่วเซิงยกยิ้มริมฝีปาก ชี้นิ้วไปยังสวี่ชีที่ถูกแบกอยู่บนไหล่หงโต้ว “ข้าน่ะ จะส่งคุณชายใหญ่สวี่กลับจวน มิเช่นนั้นจะเลือกเส้นทางนี้ไปทำไมกัน ทุกคนว่าจริงหรือไม่”
“ใช่” ได้รับชมฉากตื่นเต้นถึงอกถึงใจเช่นนี้ ผู้คนก็ร่วมโห่ร้องอย่างมีความสุข
ใบหน้าของหยางซื่อน่าเกลียด แทบจะไม่สามารถระงับความโกรธเอาไว้ได้ “ในเมื่อจะส่งชีเอ๋อร์กลับจวน เหตุใดถึงต้องแบกเขาไว้เช่นนั้นกัน”
“หยางฮูหยินไม่รู้หรือนี่” ลั่วเซิงทำทีประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม “เป็นเพราะคุณชายใหญ่สวี่โดนคุณชายจากเรือนไหนไม่รู้ทุบตี โดนทุบตีจนถึงขั้นหมดสติเชียวนา โชคดีที่เขาบอกชื่อแซ่ให้ทราบว่าเป็นคุณชายจากจวนใดก่อนที่จะหมดสติไป ข้าจิตใจมีเมตตาก็เลยพาเขามาส่งที่นี่”
สวี่ชีที่ถูกหงโต้วแบกไว้แทบจะกระโดดออกมา
นางเอ่ยวาจาเหลวไหล นางโกหก นาง…ครั้นนึกบางอย่างขึ้นได้ สวี่ชีก็นิ่งงัน
ไม่อาจพูดเรื่องทั้งหมดออกไปได้ อย่างไรหมดสติก็น่าอับอายน้อยกว่าการถูกฉุดตัวไปเป็นนายบำเรอ เพราะการทะเลาะกันจนหมดสติแล้วถูกพามาส่งที่จวนอย่างน้อยก็ไม่เสียหน้า
เขาฝังหน้าลงบนไหล่ของหงโต้ว หลบซ่อนสีหน้าเอาไว้
ยากเกินไปที่จะแสร้งทำเป็นหมดสติในยามนี้ เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้ใครเห็นใบหน้าของเขาไม่ได้
ในฝูงชน คุณชายกลุ่มนั้นปากอ้าตาค้างยิ่งกว่าเดิม ต่างหันไปมองหญิงสาวที่มีใบหน้าเคร่งขรึมคล้ายกับว่าได้เห็นโลกใหม่ที่มีมนต์ขลัง
นาง นาง เหตุใดนางถึงพูดจาโกหกได้อย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้
โดนพวกเขาทุบตีจนหมดสตินั่นมันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้านี้ด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงไม่เคยลงมือรุนแรงถึงขั้นนั้น หากจะกล่าวกันตามตรงเป็นพวกเขาต่างหากเล่าที่เกือบจะหมดสติไปในตรอกเมื่อครู่
“พวกเราเปิดโปงนางดีหรือไม่” คุณชายผู้หนึ่งมีท่าทีกระตือรือร้นในการเปิดเผยความจริง
คุณชายอีกคนตบหน้าเขา “เปิดโปงกับผีน่ะสิ หากโพล่งออกไปก็รู้หมดว่าพวกเราเป็นคนตี เจ้าโง่หรือไร!”
คุณชายที่ถูกตบหน้าพึมพำ “คุณหนูลั่วหลักแหลมจริงๆ”
การโกหกต่อหน้าธารกำนัลยากจะมีใครเปิดโปงได้ นับว่าได้เปรียบยิ่ง!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้คุณหนูลั่วบอกสาวใช้ให้วางชีเอ๋อร์ลงเถอะ” หยางซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “หยางฮูหยินจะไม่ถามหน่อยถือว่าคุณชายใหญ่สวี่ได้รับบาดเจ็บอย่างไร”
หยางซื่อใบหน้าเคร่งขรึม ตอบกลับ “ข้าพาสวี่เอ๋อร์เข้าไปแล้ว ย่อมจะเชิญหมอมาตรวจดูอาการ”
“เช่นนั้นหยางฮูหยินรู้หรือไม่ว่าคุณชายใหญ่สวี่โดนทุบตีเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง”
หยางซื่อเป็นกังวล นางเหลือบมองสวี่ชี น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรำคาญ “ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยได้ยินชีเอ๋อร์พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน…ชีเอ๋อร์จะไปทะเลาะกับคนอื่นได้อย่าง…”
ลั่วเซิงทนไม่ไหว เอ่ยขัดคำพูดของหยางซื่ออย่างไม่เกรงใจ “มิใช่ไปทะเลาะกับคนอื่น หากแต่โดนคนหลายคนรุมทุบตี บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของหยางฮูหยินมีชื่อเสียงขจรขจายในด้านพรสวรรค์ตั้งแต่อายุสิบสอง กระจ่างชัดแล้วว่าหยางฮูหยินย่อมเป็นสตรีมากความสามารถผู้หนึ่ง เหตุใดเมื่อเอ่ยวาจาถึงได้สับสนนักเล่า ทุกท่านบอกข้าเถิด ระหว่างทะเลาะกับผู้อื่นกับโดนผู้อื่นรุมทุบตีนั้นเหมือนกันรึ”
“แน่นอนว่าย่อมแตกต่าง”
“ไม่คิดเลยนะ ว่าคุณชายจวนโหวจะโดนรังแกด้วย”
“มีอะไรน่าแปลกใจเล่า ไหนเลยจะหลบหลีกเรื่องพวกนี้ได้ ใครให้คุณชายใหญ่สวี่ไม่มีมารดาคอยปกป้องกัน…”
ถ้อยคำแต่ละคำที่ฝูงชนเอ่ยออกมา บางคำก็คล้ายกับใบมีดแทงทะลุหัวใจของหยางซื่อ
“เหตุใดหยางฮูหยินถึงไม่รู้เล่าว่าคุณชายใหญ่สวี่โดนรังแกอยู่บ่อยครั้ง” ลั่วเซิงเอ่ยถามชัดถ้อยชัดคำ
หยางซื่อพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อีกครา แต่ก็ไม่อาจทนต่อสายตาแปลกประหลาดและคำชี้แนะนับไม่ถ้วนที่ส่งมาได้ ใบหน้าซีดขาวเอ่ยตอบ “ชีเอ๋อร์ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน…อีกอย่างเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในจวนฉางชุนโหว คุณหนูลั่วจะยุ่งเกินไปแล้วกระมัง”
ลั่วเซิงเลิกคิ้วแล้วเผยยิ้มเย็น “หนทางไม่เรียบย่อมมีคนแผ้วถาง เรื่องใดไม่ยุติธรรมย่อมมีคนจัดการ หยางฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในจวน เช่นนั้นหากวันใดคุณชายใหญ่สวี่โดนคนทุบตีจนสิ้นใจแล้วโยนทิ้งไว้บนถนน คนอื่นที่เห็นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยถึงเรื่องนี้รึ”
ลั่วเซิงหาได้สนใจสีหน้าน่าเกลียดของหยางซื่อในยามนี้ไม่ มุมปากยังคงประดับด้วยถ้อยคำถากถาง “หยางฮูหยินมิต้องเอาข้ออ้างที่คุณชายใหญ่สวี่ไม่เคยบอกมาก่อนมาเป็นชิ้นผ้าปกปิด ข้าได้ถามคนพวกนั้นที่ทุบตีแล้ว คุณชายสวี่ไม่ได้ถูกรุบทุบตีแค่ในครั้งนี้ แต่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญราวกับกินข้าว ท่านไม่รู้เรื่องเลยสักครั้ง เช่นนั้นจะไม่รู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยหรือ ตากแดดอาบเหงื่อมานานนับหลายปี ท่านทำอะไรในฐานะโหวฮูหยินรึ”
ลั่วเซิงถามคำถามติดกันไม่หยุด ฝูงชนก็ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกระตือรือร้น
“ใช่แล้ว หากบุตรชายถูกทุบตีอยู่บ่อยๆ คนเป็นมารดาจะไม่รู้เลยรึ”
“จุ๊จุ๊ หากถูกเลี้ยงดูในครอบครัวยากจนข้นแค้นที่มีเด็กเป็นโขยง ไม่ได้รับการสนใจดูแลก็มิใช่เรื่องแปลก แต่ครอบครัวขุนนางที่ร่ำรวยเป็นที่เชิดหน้าชูตาเช่นนี้ บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติคุณชายใหญ่สวี่ก็ไม่น้อย จะไม่รู้เรื่องเลยสักนิดได้อย่างไรเล่า”
“หรือว่าคุณชายใหญ่ไม่ให้พวกบ่าวเอ่ยถึงเรื่องนี้”
ใครบางคนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “หากเจ้าเป็นบ่าวคอยปรนนิบัติคุณชายใหญ่ เห็นนายท่านของตนถูกทุบตีอยู่บ่อยครั้งแล้วรู้ว่านายหญิงของเรือนรักนายท่านมากเช่นนี้จะทำอย่างไรเล่า”
คนหลายคนส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
ย่อมรายงานเรื่องนี้ให้นายหญิงทราบอย่างแน่นอน
หากเป็นเพียงครั้งสองครั้งคงฟังคำของนายน้อยตนว่าห้ามบอกใคร แต่หากบ่อยครั้งเช่นนี้ จะกล้าปกปิดสายตายนายหญิงของจวนโหวได้อย่างไรกัน
เว้นแต่บ่าวในจวนจะรู้ดีว่า นายหญิงของจวนแท้จริงแล้วไม่ได้รักหรือใส่ใจนายน้อยขนาดนั้น
หยางซื่อได้ยินวาจาเหล่านั้น ดวงตาก็มืดครึ้มลงทีละส่วน จบแล้ว ชื่อเสียงดีงามนานหลายปีที่นางสั่งสมไว้ได้ถูกทำลายย่อยยับ เพราะคำพูดไม่กี่คำของคุณหนูลั่ว!
หันมองไปทางร่างของหยางซื่อที่แทบจะทรงไว้ไม่ได้ ลั่วเซิงก็กระตุกยิ้มเล็กน้อย
การโจมตีเล็กๆ น้อยๆ ก็ทนแทบไม่ได้เสียแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้หรอก