ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 121 สองภารกิจ
ตอนที่ 121 สองภารกิจ
เสนาบดีจ้าวลอบสบถในใจ แย่แล้ว
ทั้งที่เขาพิถีพิถันล้างเคราไปตั้งหลายครา เหตุใดถึงยังมีกลิ่นหลงเหลืออยู่เล่า
เสนาบดีเฒ่าใบหน้าไม่เปลี่ยนสี “ฮูหยินคิดไปเองกระมัง เคราจะมีกลิ่นหอมได้อย่างไร”
“ก็ใช่น่ะสิ เคราจะส่งกลิ่นหอมได้อย่างไรเล่า” ฮูหยินเสนาบดีขยับเข้ามาใกล้แล้วเลิกคิ้วขึ้น “นายท่านไปร้านอาหารมาหรือ”
เสนาบดีจ้าวลนลานตอบ “มีคนเป็นเจ้ามือ!”
“มีเจ้ามือหรือมิมีเจ้ามือก็ไม่ต้องลนลาน นายท่านบอกข้าหน่อยสิว่าร้านนี้อยู่ถนนเส้นใด แล้วชื่อร้านเรียกว่าอะไร”
กลิ่นนี้หอมเกินไปแล้ว คาดว่าอาหารของร้านจะต้องมีสชาติดีทีเดียว
“อยู่บนถนนชิงซิ่ง ชื่อว่าร้านมีหอสุรา”
“มีหอสุราอย่างนั้นหรือ”
เสนาบดีจ้าวผงกศีรษะ “แม้ชื่อร้านจะฟังแล้วระคายหู หากแต่อาหารอร่อยนัก จริงสิ ร้านแห่งนี้เป็นของบุตรสาวสุดที่รักของแม่ทัพใหญ่ลั่ว”
“หา! คุณหนูลั่วผู้นั้นหรือ” จ้าวฮูหยินเอ่ยเสียงสูงทันควัน
เสนาบดีจ้าวรีบปลอบขวัญ “ฮูหยิน เจ้าก็เห็นว่าหนวดเคราของข้าเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่กลัวคุณหนูลั่วหรอก”
ฮูหยินเสนาบดีหรี่ตามองตาแก่จอมเจ้าเล่ห์ของนางแล้วจึงพยักหน้า
กล่าวเช่นนี้ก็ถูกต้อง
เดิมทีนางคิดว่าอยากจะไปลองชิม แต่ในเมื่อร้านนี้เป็นของคุณหนูลั่ว เช่นนั้นก็ช่างเถอะ
“นอนเถอะ” ฮูหยินเสนาบดีตัดสินใจพักผ่อน เอนกายลงนอนอีกครั้ง
ฮูหยินเสนาบดีลืมตาแล้วตบคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“มีอะไรอีกรึ” เสนาบดีจ้าวถอนหายใจ
หน้าท้องตึงหนังตาหย่อนเช่นนี้แล้ว ยังจะไม่ยอมปล่อยให้เขานอนอีกหรือ
“หากนายท่านไปอีก ก็ห่ออาหารกลับเรือนมาด้วยสิเจ้าคะ”
นางไม่อยากไป แต่ให้นายท่านห่อกลับมาให้ชิมได้นี่นา
เสนาบดีจ้าวพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที
นี่ดวงกำลังขึ้นรึ เขาพร้อมจะนำเงินของตนไปใช้จ่ายแล้วแต่ยังมีเรื่องดีเช่นนี้อีก
“หากฮูหยินอยากกิน พรุ่งนี้ข้าก็จะไปอีกครั้ง” เสนาบดีจ้าวกระแอมไอเบาๆ ออกมาหนึ่งคำ “หากแต่สุราอาหารที่นั่นราคาค่อนข้างสูง…”
“แพงแต่ยังนับว่ามีเหตุผล พรุ่งนี้ข้าจะเอาเงินเพิ่มให้นายท่าน”
“ได้” เสนาบดีจ้าวตอบกลับอย่างกระตือรือร้นยิ่ง
วันรุ่งขึ้น
แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยถามบ่าวไพร่ “คุณหนูออกไปแล้วรึ”
“คุณหนูอยู่ในลานต่อสู้ขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วคาดการณ์ไว้แล้ว
กล่าวตามหลักแล้วมีหอสุราของเซิงเอ๋อร์เปิดทำการตอนค่ำ ย่อมไม่จำเป็นต้องออกไปเช้าเช่นนี้
แม่ทัพใหญ่ลั่วยกเท้าแล้วตรงไปยังลานต่อสู้
ลั่วเซิงกำลังฝึกยิงธนู
ธนูหนึ่งคัน ศรหนึ่งดอก
หลังจากนางน้าวศรและยิงออกไปนับครั้งไม่ถ้วนก็เป็นธรรมดาที่จะทุ่มความสนใจทั้งหมดให้กับมัน
ลูกศรพุ่งตรงเข้ากลางเป้า
“เยี่ยมมาก!” แม่ทัพใหญ่ลั่วตบมือ
ลั่วเซิงหันหน้าขวับ ยกคันธนูขึ้นน้าวศรไปทางแม่ทัพใหญ่ลั่ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มแล้วลูบกลุ่มผมของลั่วเซิงเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “เซิงเอ๋อร์ เจ้าฝึกยิงธนูจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ”
มือของลั่วเซิงที่ถือคันธนูสั่นไหวน้อยๆ หากไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่เห็น นางเก็บคันธนูกลับไป
“จู่ๆ ท่านพ่อก็ตบมือเช่นนี้ ทำลูกตกใจนัก”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหัวเราะ “เซิงเอ๋อร์ยังกังวลใจว่าจะมีคนร้ายในจวนอย่างนั้นรึ”
น้ำเสียงของลั่วเซิงราบเรียบ “ลูกบังเอิญเจอโจรปล้นระหว่างทางไปเมืองหลวง หลังจากนั้นก็อดกังวลไม่ได้เจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินเข้าก็ปวดใจยิ่ง พยายามปลอบขวัญ “เซิงเอ๋อร์วางใจเถอะ พ่อส่งพี่ห้าของเจ้าไปปราบปรามโจรพวกนั้นแล้ว ไม่กี่วันก่อนพี่ห้าของเจ้ากลับมารายงานว่า พวกโจรดักปล้นระหว่างทางเหล่านั้นได้ถูกจับกุมแล้ว”
ความซาบซึ้งใจสายหนึ่งก่อตัวในใจลั่วเซิง
หากแต่สัมผัสแห่งอารมณ์นี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนาง แต่มีเพื่อคุณหนูลั่ว
คุณหนูลั่วมีบิดาที่รักนางและถนอมนางอย่างสุดซึ้ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
นางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบบางอย่างออกมาจากถุงหอมแล้ววางลงบนมือของแม่ทัพใหญ่ลั่ว “ท่านพ่อเคยเห็นสิ่งนี้หรือไม่เจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพินิจอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นว่ามันเป็นเพียงขวานไม้ท้อด้ามหนึ่งที่มีความยาวเพียงสามชุ่นเท่านั้น
“ท่านพ่อเคยเห็นไหมเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วส่ายหน้า “จี้ประเภทนี้ธรรมดามาก หากจะบอกว่ามันพิเศษก็ต้องดูจากลวดลายของตัวขวานไม้ท้อว่ามีความหมายพิเศษหรือไม่”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านพ่อก็ไม่เคยเห็นใครแขวนมันมาก่อนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เหตุใดเซิงเอ๋อร์ถึงถามเรื่องนี้หรือ”
ลั่วเซิงยื่นคันธนูให้หงโต้ว เอ่ยเสียงขรึม “ระหว่างทางไปเมืองหลวง ลูกมิได้บังเอิญพบเพียงโจรพวกนั้น แต่ยังเจอมือสังหารด้วยเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” สีหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่วเปลี่ยนไปฉับพลันแล้วมองจี้ขวานไม้ท้อนั่นในมืออีกครา “เช่นนั้นนี่คือ…”
“เป็นของที่แขวนอยู่บนร่างของคนที่ไล่ล่าลูกเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่วยากจะมองยิ่ง “แล้วเหตุใดเจ้ากลับมาแล้วถึงไม่บอกพ่อ!”
ลั่วเซิงหลุบตา “ลูกเพิ่งจะกลับมาถึงจวนก็ได้ยินว่าท่านพ่อบาดเจ็บสาหัส อยู่ในขั้นวิกฤต ครั้นนึกถึงสิ่งที่ต้องประสบระหว่างทางก็มิกล้าอ้าปากพูดสักคำ ได้แต่ภาวนาให้ท่านพ่อรีบหายในเร็ววัน”
“เช่นนั้นตอนพ่อหายดีแล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่บอก”
โจรดักปล้นธรรมดากับมือสังหาร นี่ไม่เหมือนกันแล้ว
ลั่วเซิงเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ทัพใหญ่ลั่ว สีหน้าฉายแววอึดอัดใจ “หลังจากท่านพ่อหายดีแล้ว ลูกก็…ลืมมันไปแล้วเจาค่ะ เมื่อครู่เพิ่งจะนึกขึ้นได้”
มิใช่ว่านางไม่เคยคิดยืมอำนาจบารมีของแม่ทัพใหญ่ลั่วมาเสาะหาความจริงของผู้ที่ต้องการสังหารคุณหนูลั่ว เพียงแต่หลังจากนางตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับคุณหนูลั่วเลย การตัดสินเรื่องราวทั้งหมดที่มีต่อแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ล้วนมากจากความเห็นของคนรอบข้างทั้งสิ้น
นางไม่อาจฟังเพียงสิ่งที่คนอื่นบอกกล่าวได้ นางจำเป็นต้องตัดสินด้วยตาและหัวใจของตนเอง
ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าว่าความรักของแม่ทัพใหญ่ลั่วที่มีต่อบุตรสาวสุดของเขานั้นบริสุทธิ์ยิ่ง
แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงักงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผุดยิ้ม
หากบอกว่าลืมก็คงเป็นเช่นนั้น นี่แหละคือนิสัยของเซิงเอ๋อร์
แม่ทัพใหญ่ลั่วเก็บจี้ขวานไม้ท้อนั้นเอาไว้แล้วตบหัวลั่วเซิงด้วยความเอ็นดู “เรื่องนี้ให้พ่อตรวจสอบแล้วกัน เซิงเอ๋อร์อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”
ลั่วเซิงพยักหน้าแล้วเอ่ยถามทันที “ท่านพ่อ หรือท่านไปทำให้ใครหลายคนขุ่นเคืองใจหรือไม่เจ้าคะ”
ในฐานะผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลิน เลือดเปื้อนมือมากมายเช่นนี้ ยามข่มตาหลับตอนกลางคืนจะไม่รู้สึกหวาดผวาเลยจริงรึ
หากแต่แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับส่งยิ้มตอบ “เซิงเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก พ่อเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลิน ย่อมไม่กลัวที่จะทำให้ใครบาดหมางใจ”
เขาจะเป็นผู้บังคับบัญชาขององครักษ์จิ่นหลินได้อย่างไร หากกลัวว่าตนจะไปล่วงเกินใครเข้า
แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับมายังเรือนของตน นั่งนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ก็สั่งให้ใครบางคนเรียกผิงลี่และอวิ๋นต้งเข้ามา
ผิงลี่และอวิ๋นต้งมาถึงก่อนหลังตามลำดับ
“ท่านห้า นายท่านให้ท่านเข้าไปก่อนขอรับ”
อวิ๋นต้งพยักหน้าเล็กน้อยให้ผิงลี่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง
“พ่อบุญธรรมเรียกลูกมาด้วยเรื่องใดหรือขอรับ”
“เจ้าตรวจสอบเรื่องนี้สักหน่อยเถอะ ลองดูว่าจะเจออะไรบ้าง” แม่ทัพใหญ่ลั่วยื่นจี้ขวานไม้ท้อส่งให้
อวิ๋นต้งเหลือบมอง ไม่แสดงกริยาท่าทางใดแล้วรับมา พร้อมทั้งตอบรับเพียงหนึ่งคำ
“จงตรวจสอบเงียบๆ อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด” แม่ทัพใหญ่ลั่วกำชับเสร็จสรรพก็ให้อวิ๋นต้งออกไปได้ จากนั้นจึงให้ผิงลี่เข้ามาแทน
ผิงลี่เดินผ่านอวิ๋นต้งก็ส่งยิ้มให้เล็กน้อยแล้วเดินเข้าไป
“ผิงลี่ เจ้ายังไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลยกระมัง”
ผิงลี่ตกตะลึง
เขาต่างจากบุตรบุญธรรมคนอื่นๆ เพราะคอยช่วยบิดาบุญธรรมในการดูแลหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด
จู่ๆ บิดาบุญธรรมก็ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
“มีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง ข้าใคร่ครวญแล้วก็ไม่วางใจให้ใครทำจึงอยากจะให้เจ้าไปทำหน่อย”
“พ่อบุญธรรมโปรดสั่ง”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยืดกายขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบ “เจ้าจงไปที่จินชาแล้วรับตัวเฉินเอ๋อร์กลับมา”
ผิงลี่เงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพใหญ่ลั่วโดยพลัน สีหน้าไม่ปกปิดความตะลึงไว้เลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมที่พ่อให้ความสำคัญที่สุด ดังนั้นข้าจึงมอบหมายธุระนี้ให้เจ้าจัดการ หากเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเอ๋อร์…”
หัวใจของผิงลี่พลันสั่นไหว รีบกล่าวตอบอย่างเร่งรีบ “ข้าจะพาเด็กนั่นมาพบท่าน!”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าคลายกังวล “ไปเถอะ”
รอกระทั่งประตูปิดลงแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก
เขาได้รับจดหมายจากเฉินเอ๋อร์เมื่อหลายวันก่อน
ในจดหมายของเฉินเอ๋อร์เขียนไว้ว่าเขาสบายดีแล้ว และอยากกลับบ้าน
เดิมทีเขาไม่มีทางเห็นด้วย หากแต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว