ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 123 กลวิธีเอาใจคุณหนูลั่ว
ตอนที่ 123 กลวิธีเอาใจคุณหนูลั่ว
ตอนนั้นเองเสนาบดีจ้าวและท่านหลินก็เดินตามหลังกันเข้ามา
“หลินเถิง พวกเจ้ามาถึงแล้วหรือ”
หลินเถิงและหลินซูหยัดกายลุก หันไปทักทายเสนาบดีจ้าวก็เห็นว่าท่านหลินอยู่ที่นี่ด้วย
“ท่านปู่” สองพี่น้องประหลาดใจ
ท่านหลินหรี่ตามองหลานชายทั้งสอง ก่อนที่สายตาเขาจะหยุดลงที่ร่างของหลินซู
“ซูเอ๋อร์ เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
หลินซูคิดจะอ้าปากโต้แย้งก็โดนหลินเถิงกระทุ้งศอกให้เงียบปากทันที
“หลานบังเอิญเจอน้องรองเข้าพอดีก็เลยเรียกให้เขามาด้วยกันขอรับ”
“นั่งก่อนเถอะ นั่งก่อนเถอะ” เสนาบดีจ้าวหย่อนกายนั่งลง กวาดตามองจานอาหารทานเล่นทั้งสี่จานที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วจ้องหลินเถิงเขม็ง
ยังมิได้บอกผู้ใดจะเป็นเจ้ามือ เจ้าเด็กนี่ก็กล้าสั่งอาหารแล้วรึ
หลินเถิงลนลานกล่าว “นี่เป็นอาหารอภินันทนาการขอรับ”
เสนาบดีจ้าวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็จดจ้องไปยังจานทั้งสี่ไม่วางตา
หน่อไม้เขียวหลายสิบชิ้นวางซ้อนกันอยู่บนจานกระเบื้องสีขาวสะอาด สีเขียวชอุ่มนั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำมันสีแดง
แล้วยังมีหุยเซียงเม็ดอวบสีเหลืองอร่ามในจานสีแดง
จานสีเขียวยังมีมันม่วงรูปทรงสี่เหลี่ยมเนื้อใสแจ๋วราวกับแก้ว ด้านบนโรยหน้าด้วยเมล็ดงาขาว
หากแต่ของทางเล่นในจานสีชมพูทำให้ดวงตาของเสนาบดีจ้าวเบิกกว้างขึ้นมาหลายส่วน ปรากฏแววตกตะลึง
นั่นคือหนังขนาดไม่หนาไม่บางจนเกินไปหลายชิ้น ชิ้นกุ้งที่ห่ออยู่ในนั้นเนื้อเด้งแวววาวดุจหยดน้ำ
เมื่อนึกถึงหัวหมูย่างจานนั้นในราคาหนึ่งร้อยตำลึง หัวใจของเสนาบดีจ้าวก็ลอยขึ้นสูง
อาหารทานเล่นสี่จานนี้ไม่คิดเงินจริงหรือ
อย่างอื่นก็ไม่นับเป็นอะไร หากแต่ในแผ่นหนังแวววาวนี้มีกุ้งอยู่ด้วย!
โค่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถาม “ลูกค้าทุกท่านอยากทานอะไรหรือเจ้าคะ”
คุณหนูบอกไว้แล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ในฐานะใด เพียงแค่ผ่านเข้ามาในประตูร้านพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกเรียกว่าลูกค้า
เห็นว่าเสนาบดีจ้าวเอาแต่จดจ้องอาหารทานเล่นบนโต๊ะ ท่านหลินก็ลูบเคราของตนแล้วกล่าว “วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง มีอาหารจานพิเศษอะไรก็ยกมาเลย”
“ท่านปู่!” หลินเถิงหน้าเปลี่ยนสีทันที
ท่านหลินเหลือบมองหลายชายคนโตด้วยความงุนงง “อะไรรึ”
เถิงเอ๋อร์โดยปกติแล้วนิสัยเคร่งขรึม วันนี้เกิดอะไรขึ้น
ดูจากเจตนาแล้ว เหมือนว่าจะรู้สึกเสียใจแทนเขาที่ต้องเสียเงิน
นี่น่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว
ร้ายดีอย่างไรเขาก็เป็นถึงอาจารย์จากกั๋วจื่อเจียน จะถูกจะแพงอย่างน้อยยังมีแรงเป็นเจ้ามื้อสักมื้อ
อีกอย่าง สี่คนที่ล้อมรอบโต๊ะยามนี้ก็เป็นหลานชายของเขาไปสองคนแล้ว หากเขาไม่เลี้ยงใครจะเลี้ยงเล่า
เสนาบดีจ้าวเองก็เหลือบมองหลินเถิงแวบหนึ่ง “ทำไมรึ”
เจ้าสารเลวน้อยนี่ พอเป็นเงินของปู่เจ้าแล้วนึกเสียดาย เช่นนั้นของข้ามิใช่เงินหรือไรหา
“ไม่มีอะไรขอรับ” หลินเถิงกลับมามีสีหน้าจริงจัง หลุบตาลงต่ำแล้วดื่มน้ำ
พูดให้น้อยแล้วกินให้มากเถอะ อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีเงินอยู่ดี
หลินซูเพียงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติก็ก้มหน้าลงดื่มน้ำเช่นกัน คิดอยู่ในใจ มีหอสุราแห่งนี้ตระหนี่นัก กาที่ยกมาต้อนรับหาใช่กาชาไม่ แต่เป็นเพียงน้ำเปล่า
“วันนี้ร้านของเรามีเนื้อตุ๋นเจ้าค่ะ”
“อย่างอื่นเล่า”
เนื้อตุ๋นย่อมเข้ากันได้ดีกับสุรา แต่จะมีเพียงเนื้อตุ๋นคงไม่ได้กระมัง
โค่วเอ๋อร์เหลือบมองหลินซูเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ยังมีลิ้นเป็ดผัดกระเทียมราดเต้าเจี้ยวด้วยเจ้าค่ะ”
เดิมทีมีเพียงเนื้อตุ๋นเท่านั้น แต่เป็นเพราะผู้ดูแลโน้มน้าวคุณหนูอยู่ครึ่งค่อนวัน คุณหนูจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อคุณชายรองหลินมา เช่นนั้นก็เพิ่มลิ้นเป็ดผัดกระเทียมราดเต้าเจี้ยวด้วยเถอะ”
เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว คุณชายรองหลินก็สง่างามดุหยกจริงๆ
แต่ว่าคุณหนูเอ่ยวาจาเปิดเผยเช่นนี้ก็มิงามอีก ตอนที่ผู้ดูแลได้ยินคุณหนูกล่าวเช่นนั้นก็อ้าปากค้างอยู่นานจนหุบไม่ได้
ท่านหลินรู้สึกมึนงง
เขาถามว่ายังมีอาหารอะไรอีกบ้าง เหตุใดเมื่อเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยชื่ออาหาร ทุกคนในร้านถึงได้จ้องมองเขาราวกับว่าเขาเอาเปรียบด้วยเล่า
“มีอะไรก็แจ้งมาให้หมดทีเดียว” ท่านหลินยืดกายตรงเผยความสง่า
“มีเนื้อตุ๋น ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยว สุรา แล้วก็บะหมี่หยางชุนเจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์กล่าววาจาฉะฉานแจ้งรายการอาหาร จากนั้นจึงชี้แจงราคา “เนื้อตุ๋นหนึ่งจานราคายี่สิบตำลึง ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวหนึ่งจานราคาสามสิบตำลึง สุราหนึ่งการาคาสามสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
ท่านหลินที่ยืดกายตรงอย่างสง่าผ่าเผยแทบจะพลัดตกจากเก้าอี้
ราคานี้แพงเกินไปแล้ว…
เนื้อตุ๋นหนึ่งจานราคายี่สิบตำลึงหรือ มิรู้ว่าจานจะใหญ่มากขนาดไหนกัน
ท่านหลินนึกถึงหลานชายทั้งสองที่กินจุยิ่งของตนก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับใจที่อดสั่นรัวมิได้ “เช่นนั้นเอาเนื้อตุ๋นมาจานหนึ่ง ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวจานหนึ่งและสุราหนึ่งกา”
หลินเถิงคล้ายอยากเอ่ยบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แน่นอนว่าเสนาบดีจ้าวมิอาจพูดมากได้ เพราะเขามิใช่เจ้ามือในมื้อนี้
โค่วเอ๋อร์จดรายการแล้วเดินไปสั่งอาหารด้วยสีหน้าประหลาด
ท่านหลินสัมผัสได้ว่าบรรยากาศมีบางส่วนผิดเพี้ยนไปเล็กน้อยจึงหยิบตะเกียบคีบกุ้งแช่บ๊วยเนื้อเด้งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
เมื่อครู่เขาเห็นแล้วว่ากุ้งแช่บ๊วยนี้หน้าตาน่ารับประทาน งดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน
ทันทีที่กุ้งถูกส่งเข้าปาก ท่านหลินก็ตื่นตะลึง
นี่ นี่มันอร่อยยิ่งนัก!
อาจารย์เฒ่ารีบกลืนกุ้งคำนั้นเข้าไปแล้วคีบชิ้นที่สองขึ้นมา
“เชิญลูกค้าด้านในขอรับ” จู่ๆ เสียงของสื่อเยี่ยนก็ตะโกนดังขึ้นพร้อมกับความวิตกกังวลที่ซ่อนอยู่ในความกระตือรือร้น
นายท่านมาอีกแล้วจริงด้วย!
เมื่อได้รับการอนุญาตแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลว่านายท่านจะไล่ให้กลับไปเลี้ยงห่านอีก หากแต่สิ่งที่เขากังวลในยามนี้คือนายท่านจะกินมากเกินไป รอกระทั่งลูกค้ากลับหมดหลังจากปิดร้านแล้วจะไม่หลงเหลืออะไรให้พวกเขากิน…
หลังจากกุ้งแช่บ๊วยคำที่สองถูกส่งเข้าปาก ท่านหลินก็หันไปทางเว่ยหานแล้วเอ่ยคำทักทาย
เว่ยหานพยักหน้ารับ ก่อนสายตาจะมองต่ำลงไป
อาหารทั้งสี่จานถูกรับประทานไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงมองออกว่าน่ากินมาก
รสชาตินั้นย่อมอร่อยมากแน่นอน
ท่านหลินเห็นว่าเว่ยหานมองสำรวจอาหารบนโต๊ะจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ “อาหารอภินันทนาการจากทางร้านรสชาติไม่เลวเลย”
อาหารอภินันทนาการอย่างนั้นรึ
เว่ยหานอดมองไปทางหญิงสาวในอาภรณ์ราบเรียบที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตู้คิดเงินมิได้
ลั่วเซิงผุดยิ้มจางให้แล้วพยักหน้า
เว่ยหานดึงสายตากลับมา จากนั้นก็จ้องมองไปยังร่างของหลินซู
ในสถานการณ์นี้ หลินซูทำได้เพียงคารวะตามท่านปู่ ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเอ่ยทักทายชินอ๋องตามลำพัง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้และยังคงตั้งหน้าตั้งตาลิ้มรสหน่อไม้ที่เพิ่งกินเข้าไป
เว่ยหานเม้มริมฝีปากบาง จากนั้นจึงหย่อนกายนั่งลงที่โต๊ะตัวถัดไป
“ท่านอ๋องมิสู้มาร่วมโต๊ะด้วยกันจะดีกว่าหรือไม่” ท่านหลินเอ่ยชวนอย่างสุภาพ
หลินเถิงบีบตะเกียบที่อยู่ในมือแน่น
เขามิได้กังวลสิ่งอื่นใด นอกเสียจากใบรายการเก็บเงินในตอนสุดท้าย หากว่าท่านปู่เป็นลมจนขาดใจตายไปเล่า แล้วท่านย่าก็เป็นลมจนสิ้นไปด้วยอีกคน ไม่ก็ท่านพ่อท่านแม่ตกใจจนหมดสติไปด้วย
“ข้าอยากนั่งกินเงียบๆ น่ะ”
ได้ยินสื่อเยี่ยนแจ้งรายการอาหาร เว่ยหานก็เอ่ยเสียงเรียบ “เนื้อตุ๋นสามจาน ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวสองจาน สุราอีกสองกา”
ท่านหลินมองเว่ยหานด้วยความประหลาดใจ
ไคหยางอ๋องสามารถกินเนื้อตุ๋นได้ถึงสามจานเชียวรึ มองไม่ออกเลยจริงๆ
ใบหน้าของเว่ยหานสงบสุขุม
ราคายี่สิบตำลึงเงินต่อเนื้อตุ๋นหนึ่งจานนั้น ด้วยนิสัยของคุณหนูลั่วที่เขารู้จักแล้ว เกรงว่าคงจะมิได้มีปริมาณมากนัก
สื่อเยี่ยนกระแอมในลำคอ “ลูกค้าขอรับ ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวมีจำนวนจำกัด สามารถสั่งได้เพียงหนึ่งจานต่อหนึ่งโต๊ะเท่านั้นขอรับ”
เว่ยหานนิ่งเงียบแล้วกล่าวตอบ “เช่นนั้นเพิ่มเนื้อตุ๋นอีกหนึ่งจาน”
“ได้ขอรับ ท่านโปรดรอสักครู่”
อาหารบนโต๊ะของท่านหลินถูกยกเข้ามาก่อน
เมื่อมองเนื้อตุ๋นแผ่นบางๆ ที่วางซ้อนทับกันในจานและลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวที่สามารถนับออกมาได้ ท่านหลินก็ตกตะลึง
นี่ เนื้อตุ๋นจานนี้ราคายี่สิบตำลึงเชียวรึ
ด้านเว่ยหานรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นคนยกอาหารจานพิเศษเช่นเดียวกับโต๊ะข้างๆ มาให้ ในที่สุดจึงเอ่ยถาม “ไม่มีอาหารอภินันทนาการหรือ”
“ไม่มีขอรับ” สื่อเยี่ยนกิริยาเคารพนบนอบ ไร้ที่ติ
เว่ยหานกวาดสายตามองไปยังโต๊ะข้างๆ
สื่อเยี่ยนเข้าใจความหมายนี้ดี รีบร้อนอธิบาย “อาหารอภินันทนาการนี้มิใช่ว่าจะมีทุกโต๊ะขอรับ”
“ทำอย่างไรถึงจะได้”
หรือต้องมาเป็นคนแรกถึงจะได้อย่างนั้นรึ
หากเป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้เขาก็จะออกจากจวนให้เร็วกว่าเดิม
สื่อเยี่ยนหันมองหลินซูอย่างลึกซึ้งทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งให้เว่ยหาน
เว่ยหานเข้าใจความหมายนี้ ริมฝีปากบางเม้มแน่น
ตอนนี้เขาอยากรู้แล้วว่า ต้องทำอย่างไรคุณหนูลั่วถึงจะกำจัดอคติที่มีต่อเขาได้