ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 125 เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเงินห้าตำลึง
ตอนที่ 125 เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเงินห้าตำลึง
ภายในหอสุรา
เว่ยหานเช็ดมุมปากแล้วกล่าวกับสือเยี่ยน “คิดเงินได้”
“เนื้อตุ๋นห้าจาน ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวหนึ่งจาน สุราหนึ่งกาและบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งร้อยหกสิบห้าตำลึงเงินขอรับ” สือเยี่ยนกล่าวแจ้งวาจาฉะฉาน
หนึ่งร้อยหกสิบห้าตำลึงเงินไม่ใช่เงินมากมายสำหรับเว่ยหานผู้มีตั๋วเงินหมื่นตำลึงอยู่ในแขนเสื้อ หากแต่โต๊ะข้างๆ เพิ่งจะได้ส่วนลดครึ่งราคา….
เว่ยหานนั่งนิ่ง กายปราศจารการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
“นายท่าน” สือเยี่ยนเอ่ยเรียกอย่างงุนงง
ดวงตาเย็นชากวาดมองมาทางเขา
สือเยี่ยนตัวแข็งทื่อ กดเสียงต่ำลง “เศษก็มิอาจหักลบได้ขอรับ”
ยิ่งครึ่งราคาน่ะหรือ เป็นไปมิได้เลย องครักษ์ตัวน้อยที่ยามนี้รับหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ไปโดยปริยายแทบไม่คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เว่ยหานไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เหลือบมองไปทางหญิงสาวในอาภรณ์สีเรียบที่อยู่ข้างตู้คิดเงิน
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเงินห้าตำลึงเงิน
กระจ่างชัดว่ากินข้าวอยู่ในโถงเวลาเดียวกันแท้ๆ โต๊ะข้างๆ ได้ส่วนลดครึ่งราคาประหยัดไปราวสี่ร้อยกว่าตำลึง หากแต่เขากลับไม่ได้ลดแม้แต่ห้าตำลึงเงินด้วยซ้ำ นี่กำลังรังแกกัน เพราะเขามีเงินเยอะอย่างนั้นหรือ
แต่ว่า เนื้อตุ๋นก็อร่อยมากจริงๆ ส่วนลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวก็เลิศรสไม่แพ้กัน…
เว่ยหานคิดมาโดยตลอดว่าเขาหาใช่คนที่มีความปรารถนาใดๆ ไม่ จนกระทั่งได้ลิ้มรสของบะหมี่ผัดเครื่องชามนั้น ทุกอย่างก็คล้ายจะเปลี่ยนไป
หลังจากไม่สบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเข้ามาเอาใจเขาแน่นอน เว่ยหานจึงปรับอารมณ์ของเขาเงียบๆ แล้วเอ่ยถาม “พรุ่งนี้มีอาหารอะไรบ้าง”
“พรุ่งนี้มีสไบนางและผ้าขี้ริ้ว รสชาติสดหวานและยังเผ็ดเล็กน้อย เข้มข้นยิ่งขอรับ” สือเยี่ยนกล่าวไป พร้อมกับกลืนน้ำลาย
เว่ยหานหรี่ตามองเขา “เจ้ากินแล้วหรือ”
สือเยี่ยนตื่นตระหนก ลนลานตอบ “หาไม่ขอรับ!”
เห็นว่าผู้เป็นนายยังหรี่ตามองเช่นนั้น องครักษ์ตัวน้อยก็อยากจะร้องไห้ แทบจะคุกเข่าลงสาบานกับฟ้าดิน “จริงๆ นะขอรับ! ข้าน้อยได้ยินโค่วเอ๋อร์พูดมาอีกที โค่วเอ๋อร์ถามจากท่านอาซิ่ว”
“อืม” ในที่สุดเว่ยหานก็ดึงตั๋วเงินออกมาแล้วยื่นให้
สือเยี่ยนรับไว้แล้วมองดูมัน รีบร้อนตอบกลับ “ประเดี๋ยวนะขอรับ ข้าน้อยจะทอนเงินให้”
นายท่านต่างไปจากเสนาบดีผู้ยากจนและอาจารย์ผู้น่าสงสารพวกนั้น สามารถจ่ายด้วยตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงได้เลย โดยไม่ต้องจดบัญชี
“ไม่ต้อง ไว้หักลบกับครั้งหน้า” เว่ยหานหยัดกายขึ้น ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ลั่วเซิง
ลั่วเซิงมองเขานิ่งๆ “ท่านอ๋องมีเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
หรือเพราะเห็นว่านางให้ส่วนลดโต๊ะข้างๆ ครึ่งราคา ชินอ๋องผู้สูงส่งก็เลยมาหาเรื่องนางอย่างนั้นหรือ
มิรู้เลยสินะว่าตนอยู่ในจุดใด
หลินซูเป็นหลานชายของนาง หากมิกลัวว่าการให้กินโดยไม่คิดเงินจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นล่ะก็ ต่อให้อาศัยระยะยาวในร้านนางก็ยินดี
แต่ไคหยางอ๋องเป็นคนของตระกูลเว่ย ถ้าหากทำตามใจได้จริงๆ ถึงเขาจะมากินทุกวันแล้วจ่ายเงินก็ตาม นางกลับไม่อยากขายให้ด้วยซ้ำ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเฉยเมยของอีกฝ่าย เว่ยหานกลับไม่ได้ชักเท้ากลับ เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบนุ่มสบายออกมา “เนื้อไก่น่าจะอร่อยกว่า”
แม้ผ้าขี้ริ้วจะดี แต่ก็ยากที่จะอิ่มท้อง
ลั่วเซิงได้ยินก็ชะงัก มองเว่ยหานอย่างลุ่มลึก
นี่คืออสุราผู้เย็นชาที่ชาวเป่ยฉีเรียกขานกันจริงหรือ
อาภรณ์สีแดงสดราวเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ คิ้วดำดุจหมึก เป็นไคหยางอ๋องผู้นั้นไม่ผิดแน่
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลั่วเซิงก็กล่าว “พรุ่งนี้จะมีไก่แช่น้ำมันเป็นอาหารอีกจานหนึ่ง”
เดิมทีไม่ได้จะทำ แต่น้ำที่ใช้ตุ๋นเนื้อวัวยังสามารถใช้ต่อได้ ใช้เวลาทำไม่นานก็จะได้เนื้อหอมๆ อีกหม้อหนึ่ง
อีกอย่างยังใช้ได้ดีในการตุ๋นหูหมู ตีนหมู คอเป็ด และใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมาก
แต่เพิ่มรายการอาหารอีกสักรายการหนึ่งก็ไม่เลว คิดดูแล้วพรุ่งนี้น่าจะมีลูกค้ามากกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าเว่ยหานจะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นดีเห็นงามด้วยง่ายดายเช่นนี้ มุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อยแล้วเผยยิ้มจางออกมา “ขอบคุณมาก”
เขาสบตานาง ดวงตาเฉียบคบนั้นทอประกายสดใส
ใบหน้าลั่วเซิงกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ”
คิดว่านางเป็นคุณหนูลั่วแล้วจะอาศัยความรูปงามของตนมาทำให้หวั่นไหวได้อย่างนั้นหรือ
สือเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ลูบหน้าผากเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าระหว่างทางไปเมืองหลวงต้องใช้เวลากับคุณหนูลั่วทั้งวันทั้งคืน แล้วยังโดนคุณหนูลั่วปลดเข็มขัดออกอย่างช่วยไม่ได้ นายท่านจะไม่เกิดความรู้สึกอะไรเลยได้อย่างไรเล่า
มิผิด ยามนี้ความปรารถนาขององครักษ์ตัวน้อยมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ต้องให้นายท่านแต่งคุณหนูลั่วเข้าเรือนให้เร็วที่สุด!
เขามีเวลาอยู่กับต้าไป๋เพียงครึ่งปีเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่สามารถกินอาหารที่คุณหนูลั่วทำได้ อ๊ะ ไม่สิ หากต้าไป๋ไม่ต้องการเขาอีกต่อไป จะทำอย่างไรเล่า
ด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างสุดซึ้งต่อนายท่านของตนเอง องครักษ์ตัวน้อยจึงอดตำหนิลั่วเซิงในใจไม่ได้
เป็นถึงสตรีชนชั้นสูง จะมาชอบของใหม่ลืมของเก่าเช่นนี้ได้อย่างไร
หลานชายของอาจารย์หลินนั่นแค่ลมพัดก็ปลิวแล้ว แต่กลับกินเยอะยิ่ง มีอะไรดีกัน
“เช่นนั้นก็เจอกันวันพรุ่งนี้” เว่ยหานพยักหน้าให้ลั่วเซิงเล็กน้อยแล้วเดินออกไปจากร้าน
หลังจากส่งนายท่านออกจากร้านไปแล้ว สือเยี่ยนก็ตบอกของตนด้วยความโล่งอก
หัวใจจะวายตายแล้ว เมื่อครู่ตอนที่นายท่านถามว่าเขาเคยลิ้มรสสไบนางและผ้าขี้ริ้วหรือไม่นั้น เขาคิดจริงๆ แล้วว่านายท่านจะให้เขากลับไปที่จวนอ๋องเพื่อขัดถังส้วมอีกครั้งเพราะความอิจฉา
ขัดถังส้วมน่ะหรือ ชีวิตนี้ก็ไม่อยากจะกลับไปทำมันอีกแล้ว ตอนนี้ขอเพียงคุณหนูลั่วอยู่ที่ไหน เขาก็จะอยู่ที่นั่น
ครั้นคิดได้ว่าความคิดนี้ไม่เหมาะสม องครักษ์ตัวน้อยก็รีบหาเหตุผลอื่นโดยเร็ว ช่วยปกป้องภรรยาในอนาคตแทนนายท่านอย่างไรเล่า
คุณหนูลั่วชอบของใหม่ลืมของเก่าเร็วปานนี้ ขืนรอให้นายท่านตาสว่างคงจะไม่ทันการพอดี
ลั่วเซิงกวักมือให้สือเยี่ยนเดินเข้ามาใกล้
“คุณหนูมีเรื่องใดหรือขอรับ” สือเยี่ยนยิ้มกว้างเอ่ยถาม
ลั่วเซิงเอ่ยแก้เล็กน้อย “เรียกข้าว่าคุณหนูลั่วเถอะ”
อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนของนาง เรียกแบบนั้นคงจะคุ้นเคยไปหน่อยกระมัง
“ท่านอ๋องของเจ้า…” ลั่วเซิงพึมพำ “ชอบกินมากเลยหรือ”
สือเยี่ยนกระแอมไอเบาๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ต่างให้นายท่านของตน “ใครเล่าจะไม่ชอบกินอาหารที่ท่านทำ นายท่านของข้าก็ไม่อาจเลี่ยงเรื่องนี้ได้ขอรับ”
“เลี่ยงไม่ได้ก็ดีแล้ว” ลั่วเซิงลดเสียงลง พึมพำเบาๆ
เช่นนั้นนางก็จะได้มีความมั่นใจมากกว่าเดิม ในการเฝ้ารอคอยการมาของผิงหยางอ๋องเงียบๆ
“น้องหญิง ไม่มีลูกค้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”
คุณชายสามเซิ่งยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็มีใครบางคนพรวดพราดเข้ามาในร้าน
“บะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม!”
คุณชายสามเซิ่งโมโหยิ่ง หันขวับไปกวาดสายตามองก็เห็นว่าเป็นลูกค้าคนเดิม ชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่เมื่อวานกินบะหมี่หยางชุนไปถึงยี่สิบชาม
แม้ในใจจะหงุดหงิดมากเพียงใด แต่ก็ยังต้องรับแขก
“บะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม” คุณชายสามเซิ่งตะโกนเสียงอ่อนแรง
ไม่นานหลังจากนั้น โค่วเอ๋อร์ก็ยกชามบะหมี่หยางชุนที่พวยพุ่งด้วยไอร้อนเข้ามา แล้ววางลงเบื้องหน้าชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์แทบรอไม่ไหว หยิบตะเกียบคีบบะหมี่ส่งเข้าปากในทันที
โค่วเอ๋อร์เห็นว่าเป็นลูกค้าคนเดิมก็เอ่ยแนะนำด้วยไมตรีจิต “ท่านลูกค้าเจ้าคะ ข้าขอแนะนำมิสู้ท่านลองชิมเนื้อตุ๋นสักจานดู เมื่อวานนี้ท่านอาจคิดว่าหัวหมูย่างหนึ่งร้อยตำลึงเงินนั้นแพงเกินไปก็เลยสั่งบะหมี่หยางชุนยี่สิบชาม สุดท้ายแล้วก็จ่ายเงินเท่ากัน เนื้อตุ๋นของร้านเราจานละยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น คิดเป็นเงินแล้วก็เท่ากับบะหมี่หยางชุนสี่ชาม ข้าบอกท่าน เมื่อคำนวณแล้วก็แทบจะไม่ต่างกันเลยนะเจ้าคะ…”
ชายฉกรรจ์หารู้ไม่ว่าคำนวณเท่าใดแล้วจะถูกต้อง แต่กลับฟังเข้าใจกระจ่าง
เสี่ยวเอ้อร์หน้าตาน่ารักคนนี้พูดถูก
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเนื้อตุ๋นมาหนึ่งจาน”
หลังจากกินเนื้อตุ๋นจานนี้แล้ว ห้ามสั่งบะหมี่หยางชุนเพิ่มอีกเด็ดขาด!
หนึ่งเค่อต่อมา ชายฉกรรจ์ก็หยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาแล้วเดินออกไปจากร้าน ครั้นกายสัมผัสเข้ากับสายลมยามค่ำคืน ก็คล้ายกับได้สติขึ้นมาทันที
ใครกันที่บอกว่าจะไม่สั่งบะหมี่หยางชุน หลังจากกินเนื้อตุ๋นแล้ว
ใครกันที่บอกว่าเนื้อตุ๋นจานเดียวก็พอแล้ว
เนื้อตุ๋นสี่จาน และบะหมี่หยางชุนอีกสี่ชาม นี่เขา เขาเสียเงินไปหนึ่งร้อยตำลึงเงินอีกแล้ว!
มิต้องเอ่ยถึงน้ำตาแห่งความเสียใจของชายฉกรรจ์ที่หลั่งออกมา ด้านเสนาบดีจ้าวที่กลับมาถึงจวน ยังไม่ทันได้ล้างทำความสะอาดเคราก็เห็นว่าฮูหยินส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนแล้ว
“นายท่าน วันนี้กินข้าวมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เสนาบดีจ้าวฝืนยิ้ม “กินเรียบร้อยแล้ว”
“แล้วท่านเอาอาหารใดกลับมารึ” เมื่อไม่เห็นห่ออาหาร ใบหน้าของฮูหยินเสนาบดีก็พลันเปลี่ยนเป็นยากจะมอง
เสนาบดีจ้าวยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าผาก ยิ้มแห้ง “ร้านไม่ให้ห่อ…”
ฮูหยินเสนาบดีเดินเข้ามาใกล้ ดมเคราของเสนาบดีจ้าวแล้วชี้นิ้วไปที่ประตูด้วยใบหน้ามืดทะมึน “คืนนี้นายท่านนอนในห้องหนังสือแล้วกัน”