ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 138 มีชื่อเสียง
ตอนที่ 138 มีชื่อเสียง
สุราอาหารขายหมดแล้ว?
เว่ยหานสีหน้าอึมครึม
ชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดกระทั่งว่าคุณหนูลั่วพุ่งเป้ามาที่เขา
แน่นอน แม้มีความรู้สึกเช่นนี้ เขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้เช่นกัน
เป็นถึงชินอ๋อง เขาคงไม่อาจเรียกร้องเอาความกับสตรีนางหนึ่งเพื่ออาหารสักมื้อได้
อีกอย่าง ความจริงเขาเองก็ไม่ใช่คนประเภทใส่ใจกับการกิน
เว่ยหานลูบท้องที่กำลังเริ่มปวดจางๆ เดินไปหาลั่วเซิง
ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เถอะเจ้าค่ะ หอสุราเรากำลังจะปิดแล้ว”
เว่ยหานไม่สนใจคำพูดนี้ เขานำกล่องไม้ตั้งไว้บนตู้คิดเงิน
ลั่วเซิงกวาดตามองลวกๆ มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“หอสุราของคุณหนูลั่วเปิดกิจการ ข้ายังไม่เคยส่งของมาร่วมแสดงความยินดีเลย เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
ลั่วเซิงน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้ากับท่านอ๋องไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ชายหญิงแตกต่างกัน ท่านอ๋องไม่ส่งของมาร่วมแสดงความยินดีก็เป็นเรื่องปกติ เหตุใดจึงกล่าวว่าเสียมารยาท ท่านอ๋องเก็บของกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยหานมอบของขวัญให้สตรี นึกไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงด้วยเหตุผลที่ว่าชายหญิงแตกต่างกัน
แม้กระทั่งสือเยี่ยนที่กำลังหดหู่ล้วนทนฟังไม่ไหวแล้ว
คุณหนูลั่วรังแกกันเกินไปแล้ว
ชายหญิงแตกต่างกันจะกล่าวกับผู้ใดก็ได้ทั้งนั้น แต่จะกล่าวว่าชายหญิงแตกต่างกันกับนายท่านของพวกเขา ไม่เป็นการไม่ยอมรับผิดและปัดความผิดให้ผู้อื่นหรือ
สือเยี่ยนขยิบตาให้เว่ยหาน
นายท่าน เอาเรื่องที่คุณหนูลั่วปลดเข็มขัดของท่านมาพูดสิ!
แน่นอน เว่ยหานไม่อาจลืมเลือนช่วงเวลาที่ทำให้เขากลายเป็นหัวข้อสนทนายามว่างหลังอาหารของผู้คนมากมายจวบจนทุกวันนี้ได้
ทว่าเขาไม่คิดจะกล่าวถึงมันอีก
จากการพบปะกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดินทางเข้าเมืองหลวงจนถึงตอนนี้ เขาสามารถยืนยันได้ว่าคุณหนูลั่วไม่สนใจในตัวเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กล่าวถึงเรื่องพวกนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
เว่ยหานดันกล่องไม้ไปให้ลั่วเซิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในใจข้า สหายก็คือสหาย มีเพียงอุปนิสัยแตกต่าง ไม่มีชายหญิงแตกต่าง”
สือเยี่ยนกุมขมับ
สวรรค์ช่วยด้วย ชาตินี้นายท่านคงทำได้แค่รอฝ่าบาทพระราชทานงานอภิเษกให้เท่านั้น หากต้องพึ่งพาตนเองคงไม่มีทางหาสะใภ้ได้
นึกไม่ถึงเขากลับสนทนาเรื่องอุปนิสัยกับสตรีหน้าตางดงาม กล่าวตามตรงว่าอยากเป็นเพื่อนกับนาง
กล่าวเช่นนี้ก็พอเข้าใจได้ ทว่าการแสดงออกของท่านก็ควรหลอกล่อให้คนเกิดจินตนาการสักหน่อยเถอะ จะปั้นหน้าจริงใจเปิดเผยเพื่อสิ่งใด?
เป็นการบอกกล่าวคุณหนูว่าท่านไม่น่าสนใจนางเลยสักนิด
องครักษ์น้อยคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวัง
ลั่วเซิงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย
สหาย?
มือเรียวยื่นออกไป วางอยู่บนกล่องไม้
“ในเมื่อท่านอ๋องพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะรับเอาไว้ ขอบคุณสำหรับของขวัญของท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
นางไม่มีทางเห็นไคหยางอ๋องเป็นสหาย แต่กล่าวมาถึงตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องแข็งขืนเกินไป
ถึงอย่างไรนางรับของขวัญเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย
เมื่อเห็นลั่วเซิงรับของขวัญแล้ว เว่ยหานก็ยิ้ม “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
“ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัย”
เมื่อเห็นนายท่านเดินจากไปด้วยท้องหิวอย่างน่าเวทนา สือเยี่ยนก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “เถ้าแก่ ท่านบอกว่าจะทำบะหมี่พริกฮวาเจียวให้พวกเรากินไม่ใช่หรือ”
บะหมี่พริกฮวาเจียว?
เว่ยหานชะงักฝีเท้า
เขายังไม่เคยกินบะหมี่พริกฮวาเจียวที่คุณหนูลั่วทำมาก่อนเลย
คิดได้เช่นนี้ เว่ยหานก็เหล่มองสือเยี่ยน
สือเยี่ยนใจกระตุก เข้าใจความหมายของนายท่าน หากคืนนี้ไม่สามารถทำให้นายท่านได้กินบะหมี่พริกฮวาเจียวได้ ในเวลาอันใกล้นี้เขาคงไม่ได้เป็นเสี่ยวเอ้อร์ของร้านนี้แล้ว
“เถ้าแก่ มาเช้าไม่สู้มาทันเวลาพอดี นายท่านของพวกเรามาแล้ว ไม่สู้ให้อยู่กินด้วยกันที่นี่อย่างไรก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้น”
คุณชายสามเซิ่งกระแอมไอออกมาเบาๆ
เข้าข้างเจ้านายตนเองจริงๆ เสียด้วย นั่นใช่แค่เรื่องเพิ่มตะเกียบมาอีกคู่เท่านั้นหรือไร
เป็นเรื่องเพิ่มอาหารมาอย่างน้อยอีกห้าชามต่างหาก!
เมื่อเห็นสายตาเต็มไปด้วยความเว้าวอนของสือเยี่ยน ลั่วเซิงก็กล่าว “หากท่านอ๋องไม่รังเกียจ เช่นนั้นก็อยู่กินข้าวด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ”
เว่ยหานพยักหน้ากล่าวขอบคุณ จากนั้นก็นั่งลงอย่างสงบ
ความจริงคือเขาไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากกว่านั้น
เกิดเอ่ยสิ่งใดไม่เหมาะสม คุณหนูลั่วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจะทำเช่นไร
“ท่านอ๋องรอสักครู่” ลั่วเซิงหมุนตัวออกไปจากห้องโถง เดินไปยังห้องครัวด้านหลัง
เว่ยหานเหลือบมองกล่องไม้ที่วางอยู่บนตู้คิดเงินแล้วหัวเราะอย่างจนปัญญา
ในเวลาไม่นาน กลิ่นหอมกรุ่นเข้มข้นก็ลอยออกมาจากห้องครัวด้านหลังและแผ่กระจายไปทั่วห้องโถง
กลิ่นหอมเริ่มครอบงำและกระตุ้นต่อมรับรสของผู้คนอย่างต่อเนื่อง
“ข้าจะไปยกบะหมี่!” คุณชายสามเซิ่งก้าวเท้าวิ่งไปห้องครัวด้านหลัง
เว่ยหานนั่งรอสงวนท่าทีอยู่ที่โต๊ะด้านข้าง
เห็นคุณชายสามเซิ่งยกถาดเดินเข้ามา บนถาดมีชามกระเบื้องลายครามใบใหญ่สี่ใบ
ด้านหลังเขาคือชายฉกรรจ์คนหนึ่ง เขาเองก็ถือถาดบะหมี่สี่ชามเช่นกัน
ด้านหลังถัดไปมีชายที่ไม่อาจคาดเดาอายุได้อีกคน
เว่ยหานจับจ้องชายคนนั้น เขาจดจำอีกฝ่ายได้
เขาคือหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาที่ปล้นคุณหนูลั่วระหว่างที่เข้าเมืองหลวงนั่นเอง
เขามองคน มักมองที่ดวงตาเสมอ
หนวดเคราสามารถปกปิดใบหน้าได้ แต่ดวงตานั้นไม่เปลี่ยน
ผู้ที่อยู่ด้านหลังชายไว้หนวดเคราเป็นเด็กหนุ่มผิวค่อนข้างคล้ำคนหนึ่ง
สิ่งที่ตามเข้ามาพร้อมกับคนยกถาดบะหมี่พริกฮวาเจียวก็คือกลิ่นหอมเผ็ดร้อนเข้มข้น
“นายท่าน กินบะหมี่ขอรับ” สือเยี่ยนยกถาดมาวางไว้ตรงหน้าเว่ยหานพร้อมด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ
เว่ยหานหุบสายตาลง กินด้วยท่าทางสง่างาม
กินหมดหนึ่งชามก็ต่ออีกหนึ่งชาม กินหมดแล้วต่อก็อีกหนึ่งชาม
ชายมีหนวดและชายฉกรรจ์ทางด้านนั้นเริ่มแย่งกันแล้ว
“พี่ชาย กินบะหมี่มากเกินไปจะท้องอืด ปวดท้อง ชามสุดท้ายให้น้องชายกินเถอะ ถ้าปวดท้องก็ปวดที่ท้องของน้องชายเอง”
ชายฉกรรจ์ถือชามกระเบื้องลายครามไม่ยอมปล่อย “น้ำใจของน้องชายข้ารับไว้แล้ว แต่เป็นพี่ชายจะปล่อยให้น้องชายทนลำบากได้เช่นไร เป็นเรื่องที่ควรทำหรือ ให้ข้าปวดเถอะ ให้ข้าปวดดีกว่า!”
หงโต้วยืนเท้าสะเอวด่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าชามกระเบื้องลายครามใบหนึ่งราคาเท่าใด หากกล้าทำชามแตก ข้าจะเอาพวกเจ้าไปขายที่แม่น้ำจินสุ่ย!”
เว่ยหานที่กินบะหมี่ไปห้าชามวางตะเกียบลงและจมอยู่กับความคิด
สองคนนี้สามารถอยู่ที่นี่ได้ กล่าวตามตรง เขารู้สึกว่าความชอบของคุณหนูลั่วนั้นเข้าใจยากเกินไป
รอจนเว่ยหานจากไปแล้ว เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงเหมือนจะลืมเรื่องของขวัญไปแล้ว สือเยี่ยนจึงอุ้มกล่องไม้เดินเข้ามา “เถ้าแก่ ท่านไม่ดูหน่อยหรือว่านายท่านมอบสิ่งใดให้”
ลั่วเซิงยื่นมือไปเปิดกล่องไม้ออก
ภายในกล่องคลุมด้วยผ้าสักหลาดสีแดง มีของสิ่งหนึ่งวางอยู่บนนั้น
“นี่คือ…” สือเยี่ยนเสียงสั่น ราวกับไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เห็น
หงโต้วเหลือบตามองจากนั้นก็กล่าวอย่างมึนงง “มีดทำครัวเล่มหนึ่งอย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้จักหรือ”
นัยน์ตาสือเยี่ยนเลื่อนลอย รู้สึกว่าบะหมี่พริกฮวาเจียวกลิ่นหอมฉุยที่กินไปเมื่อครู่พลันไร้รสชาติ
เขาย่อมรู้ว่ามันคือมีดทำครัว
แต่ว่าของขวัญที่นายท่านมอบให้คุณหนูลั่ว เหตุใดต้องเป็นมีดทำครัวด้วย?
แค่ด้ามมีดหุ้มด้วยทอง มันก็จะไม่ใช่มีดทำครัวแล้วหรือ
เว่ยหานที่ออกจากหอสุรอกำลังคิด คุณหนูลั่วชอบเงิน ชอบทำอาหาร ของขวัญชิ้นนั้นนางน่าจะพอใจกระมัง
……
หลังเปิดกิจการมีหอสุรามาแล้วเป็นวันที่สี่ ในที่สุดชื่อเสียงก็เลื่องลือออกไปแล้ว
เป็นเช่นนั้นอยู่ครึ่งเดือนกว่า กลุ่มคนชั้นสูงของเมืองหลวงล้วนรู้แล้วว่าร้านมีหอสุราบนถนนชิงซิ่งเป็นของคุณหนูลั่วบุตรสาวหัวแหวนของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ราคาโหดมาก แต่ก็อร่อยมากเช่นกัน!
ส่วนคุณหนูรองจูหานซวงแห่งจวนอันกั๋วกงกลับได้ยินข่าวลือว่าไคหยางอ๋องเป็นลูกค้าประจำของร้านมีหอสุรา
“ท่านหญิง ได้ยินว่าอาหารและสุราของร้านมีหอสุรานั้นล้ำเลิศนัก ไม่ไปลองก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
ท่านหญิงน้อยเว่ยเหวินส่ายหน้าปฏิเสธ “อากาศร้อน ข้าไม่อยากอาหาร”
ตั้งแต่เกิดคดีฆาตกรรมในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเสด็จแม่ สภาพจิตใจของเสด็จแม่ก็ไม่ใคร่ดีนัก นางไหนเลยจะมีอารมณ์ออกไปกินอาหาร
ยิ่งไปกล่าวนั้น นั่นเป็นหอสุราของลั่วเซิง เหตุใดนางต้องออกหน้าไปอุดหนุนด้วย