ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 140 เหยื่อตกปลา
ตอนที่ 140 เหยื่อตกปลา
ฟักเขียวอำพันเป็นอาหารที่ใช้เวลาทำอย่างมาก ใช้เวลาสี่ชั่วยามยังถือว่าน้อย
นางจำได้ว่าเป็นอาหารจานโปรดที่สุดของพระชายาผิงหนานอ๋อง
หลังจากท่านหญิงหมั้นหมายกับผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแล้ว มีอยู่วันหนึ่งพระชายาผิงหนานอ๋องมาเป็นแขก พระชายาภาคภูมิใจในความกตัญญูของท่านหญิงจึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับพระชายาผิงหนานอ๋อง
พระชายาผิงหนานอ๋องประหลาดใจมาก บอกว่าตอนนางยังไม่ออกเรือนเคยกินฟักเขียวอำพันครั้งหนึ่ง ต่อมาก็หาพ่อครัวที่ทำอาหารรายการนี้ไม่ได้ นางยังคงจดจำไม่เคยลืมเลือน
พระชายาไม่รู้ว่าฟักเขียวอำพันเป็นอาหารที่ใช้เวลาทำนานมากจึงบอกให้ท่านหญิงทำอาหารจานนี้ให้พระชายาผิงหนานอ๋องชิม
คนเป็นแม่ มักอดที่จะอวดโอ้ความเลิศเลอของลูกสาวไม่ได้
ท่านหญิงไม่อาจทำให้พระชายาผิดหวังจึงได้เชิญแม่ครัวมาสอนนางทำฟักเขียวอำพัน แม่ครัวท่านนี้บอกเคล็ดลับกับท่านหญิงทำให้สามารถลดระยะเวลาทำอาหารได้อย่างมาก
ทว่ารสชาติจะด้อยลงไปเล็กน้อย
“ลูกไม้ที่ว่าคืออะไรหรือเจ้าคะ” ซิ่วเย่ว์มองลั่วเซิงแล้วกระซิบถาม
บางทีนางอาจคิดมากไป ฟักเขียวอำพันที่คุณหนูลั่วทำอาจไม่ใช่ฟักเขียวอำพันเดียวกับที่นางคิดก็ได้
ในจวนอ๋องยังมีพ่อครัวอีกคนที่ทำฟักเขียวอำพันได้ คือใช้ส้มเช้งกับฟักเขียวเป็นส่วนประกอบ เป็นของหวานที่ยอดเยี่ยมสำหรับคลายร้อนในฤดูร้อน ทว่าแม่ครัวนางนั้นกลับดูถูกว่าเป็นอาหารข้างทางไม่เหมาะจะนำขึ้นโต๊ะอาหาร
ลั่วเซิงยิ้มให้ซิ่วเย่ว์ “เจ้าดูก็รู้แล้ว”
ซิ่วเย่ว์ไม่ส่งเสียงใด ดวงตาจับจ้องตั้งแต่ตอนหั่นฟักเขียวเป็นแว่นๆ จนสุดท้ายกลายเป็นฟักเขียวอำพันใสแจ๋วแต่ละชิ้น
“คุณหนูลั่วเรียนมาจากที่ใดหรือ” ซิ่วเย่ว์ถามด้วยความลนลาน
ลั่วเซิงกวาดตามองชายมีหนวดที่กำลังนั่งยองๆ ล้างจาน รวมไปถึงชายชฉกรรจ์ที่กำลังฝ่าฟืนในสวน จากนั้นก็ยิ้ม “แม่ครัวคนหนึ่งสอนข้าทำอาหารจานนี้ รอให้ข้าว่างค่อยเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง”
ซิ่วเย่ว์ได้สติกลับมา พยักหน้าหงึกๆ “ได้ ได้”
ลั่วเซิงเรียกหงโต้วที่เข้ามาสั่งอาหารเอาไว้ “ยกฟักเขียวอำพันจานนี้ไปที่โต๊ะคุณหนูจู จำเอาไว้ต้องพูดเช่นนี้…”
หลังฟังคำสั่งของลั่วเซิง หงโต้วก็ยกอาหารเดินเข้าไปในห้องโถง ระหว่างทางกลืนน้ำลายไม่รู้ตั้งกี่ครั้งถึงจะสะกดกลั้นให้ไม่แอบหยิบชิมสักชิ้นได้
เวลานี้คุณหนูรองหวังดื่มน้ำแกงหยดสุดท้ายจดหมดเกลี้ยง จากนั้นก็ยิ้มหวานให้คุณหนูใหญ่หวัง “พี่หญิง บะหมี่หยางชุนอร่อยมากเลยเจ้าค่ะ!”
คุณหนูใหญ่หวังลอบบีบกระเป๋าเงิน จากนั้นก็กัดฟัน “เสี่ยวเอ้อร์ เนื้อตุ๋นอีกจาน”
พวกนางร่วมโต๊ะกับผู้อื่น ไหนเลยจะไม่ได้กลิ่นหอมของอาหารโอชะเต็มโต๊ะ
โดยเฉพาะหลังจากได้กินบะหมี่หยางชุน แม้แต่บะหมี่หน้าตาธรรมดายังรสชาติดีถึงเพียงนี้ จิตนาการได้เลยว่าเนื้อตุ๋นเหล่านั้นจะอร่อยเพียงใด
คุณหนูรองหวังได้ยินก็รีบโบกมือ “ไม่ต้อง ข้าอิ่มแล้ว”
เนื้อตุ๋นหนึ่งจานราคายี่สิบตำลึงเงิน พี่สาวจะเอาเงินมากมายเช่นนี้มาจากที่ใด
ต่อให้มีก็ไม่ควรนำมาใช้จ่ายเพื่ออาหารจานเดียว
คุณหนูใหญ่หวังเริ่มรู้สึกเศร้า
ราคาร้านมีหอสุราแพงเป็นพิเศษ ทว่ารสชาติก็อร่อยเป็นพิเศษเช่นกัน
หากท่านแม่ยังอยู่ พาพวกนางมาเสียเงินสักหลายสิบตำลึงเงินเพื่อลองรสชาติแปลกใหม่ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
แต่น่าเสียดายท่านแม่จากไปไว พวกนางใช้ชีวิตภายใต้เงื้อมมือแม่เลี้ยง นอกจากเสื้อผ้าตามฤดูกาลแล้วก็มีแค่เบี้ยรายเดือนพอใช้จ่ายเท่านั้น
ที่พาน้องสาวมาถึงที่นี่ สิ่งที่กล้าลองชิมมีเพียงบะหมี่หยางชุนและแตงกวาเสื้อกันฝนเท่านั้น
เพียงแต่ความอร่อยที่เหนือความคาดหมายรบกวนความคิดของนางเข้าแล้ว
ช่างเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว หรือจะให้น้องสาวกินอิ่มท้องเพียงครึ่งเดียวแล้วกลับไปหรือ
ต่อให้แพงเพียงใดก็ต้องกินให้ได้สักมื้อ
“ข้าอยากลองชิม” คุณหนูใหญ่หวังยิ้มให้น้องสาว จากนั้นก็สั่งอาหารกับโค่วเอ๋อร์
เวลานี้หงโต้วเดินมาพอดีแล้ววางอาหารจานนั้นต่อหน้าทั้งสองคน
บนจานมีอำพันใสแจ๋วแต่ละชิ้นเรียงกันเป็นกอง ดูไม่ออกว่าทำมาจากวัตถุดิบชนิดใด มีเพียงสีที่เย้ายวนและกลิ่นหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ทำให้คนรู้สึกใจไม่สงบ
อาหารจานนี้แพงขนาดไหนกันเชียว!
คุณหนูรองแทบกระโดดลุกขึ้น “ข้า พวกเราไม่ได้สั่งอาหารจานนี้”
คุณหนูใหญ่หวังแอบคว้ากระเป๋าเงินแน่น
อาหารจานนี้ดูก็รู้ว่าอร่อย แต่ราคาไม่เบาแน่นอน ไม่แน่อาจแพงกว่าเนื้อตุ๋นเสียอีก
เงินในกระเป๋านางเพียงพอแค่ซื้อเนื้อตุ๋นอีกจานเท่านั้น
หากจดบัญชีเอาไว้ ตอนกลับไปหอสุรานำใบบัญชีส่งให้แม่เลี้ยง นางทนรับรอยยิ้มแอบยาพิษของแม่เลี้ยงไม่ไหว
อีกอย่าง กินเนื้อได้ประโยชน์มากกว่า…
หงโต้วยิ้มหวาน “นี่คืออาหารอภินันทนาการเจ้าค่ะ”
อาหารอภินันทนาการ?
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป สายตามากมายก็มองมาทันที
หนึ่งในนั้นรวมไปถึงเว่ยหานด้วย
ครั้งก่อนคนอื่นได้กินอาหารอภินันทนาการแต่เขาไม่มี เป็นตอนที่ผู้อาวุโสหลินพาหลายชายมากินข้าว
ครั้งนี้ เหตุใดมีอาหารอภินันทนาการอีกแล้ว?
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของเว่ยหานที่มองมา จูหานซวงก็รู้สึกเกร็งและตื่นเต้น
เขากำลังมองนางใช่หรือไม่
เมื่อครู่ตอนที่ท่านหญิงไปทักทายเขาก็ไม่เห็นเขามองท่านหญิงอย่างกระตือรือร้นเท่าใด…
ตอนนี้จูหานซวนในใจความคิดสับสนหลากหลาย แม้กระทั่งว่าเหตุใดคุณหนูสกุลหหวังถึงมีอาหารอภินันทนาการ นางล้วนไม่ทันสังเกต
คุณหนูใหญ่หวังกลับสติแจ่มชัด “ขอโทษด้วย ขอถามว่าเหตุใดมีเพียงพวกเราทีมีอาหารอภินันทนาการหรือ”
ต่อให้เป็นญาติสนิทกัน แต่สำหรับลูกชายลูกสาวแล้วก็ยังมีการแบ่งแยก นับประสาอันใดกับคนนอก
ใต้หล้านี้เดิมทีก็ไม่มีของใดได้มาเปล่าๆ
ลูกค้าในห้องโถงหอสุราอดไม่ได้ที่จะหูผึ่งรอฟัง
จริงด้วย เหตุใดแม่นางน้อยทั้งสองจึงมีอาหารอภินันทนาการ
เล่าลือกันว่ามีเพียงหลานชายคนรองที่หลินจี้จิ่วพามาถึงลดได้ครึ่งราคาไม่ใช่หรือ?
ตามที่เสนาบดีจ้าวเล่าเขาพาหลานชายมาลองดูแล้ว ไม่ลดราคาให้แม้แต่เหวินเดียว
ราวกับถูกหลานชายที่พามาเอาเปรียบ เสนาบดีจ้าวก็ไม่ได้มาสักพักแล้ว
“อาหารอภินันทนาการจานนี้เป็นของชดเชยให้ลูกค้าที่ยอมให้ร่วมโต๊ะเจ้าค่ะ” หงโต้วอธิบาย
ทุกคนตาเป็นประกาย
เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ พวกเขาก็ยินดีให้ร่วมโต๊ะเช่นกัน
หงโต้วรีบกล่าวตามติดๆ “แน่นอนว่ามีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว ดังนั้นเป็นเพราะคุณหนูทั้งสองจิตใจงดงามโชคดีเจ้าค่ะ”
คุณหนูใหญ่หวังถอนหายใจเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
ท่ามกลางสายตาจับจ้องมากมาย คุณหนูใหญ่หวังคีบฟักเขียวอำพันใส่ชามของคุณหนูรองหวัง “น้องสาวลองชิมดู”
คุณหนูรองหวังเมื่อเห็นก้อนอำพันใสแจ๋วในชามก็ไม่กล้าขยับตะเกียบ จากนั้นก็เอ่ยถาม “ขอถามว่านี่คือสิ่งใดหรือ”
“นี่เรียกว่าฟักเขียวอำพัน เป็นอาหารเฉพาะของหอสุราเราเจ้าค่ะ”
คุณหนูรองเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อสายตา “นึกไม่ถึงว่าทำจากฟักเขียว?”
นางอดใจไม่ไหวคีบเข้าปาก สีหน้าที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“พี่สาว ท่านก็กินด้วยสิ”
ได้เห็นแม่นางน้อยทั้งสอง เจ้ากินหนึ่งชิ้นข้ากินหนึ่งชิ้น ทุกคนก็ร้อนใจแล้ว
อร่อยหรือไม่ช่วยเอ่ยสักคำสิ เหตุใดเอาแต่กินเล่า!
ฮือๆๆ ต้องอร่อยมากแน่ๆ แล้วยังเป็นอาหารอภินันทนาการ มีเงินแต่ก็ซื้อไม่ได้อีก
ส่วนท่านหญิงน้อยเว่ยเหวิน หลังจากที่ยกฟักเขียวอำพันมาก็ไม่เอ่ยปากอีก จนกระทั่งเหลือก้อนอำพันเหลืองอร่ามเพียงสองสามชิ้น นางจึงกล่าวขึ้น “เอาฟักเขียวอำพันมาให้พวกเราหนึ่งที่”
เสด็จแม่เคยเอ่ยถึงอาหารจานนี้อยู่หลายครั้ง น่าเสียดายที่พ่อครัวในจวนอ๋องไม่มีใครทำได้ ทั้งยังบอกว่าตอนเด็กนางก็ชอบกินเช่นกัน
อาหารที่เคยกินตั้งแต่วัยเยาว์รสชาติเป็นเช่นไรนางลืมไปนานแล้ว แต่เสด็จแม่ชอบนั้นสำคัญที่สุด
“ขออภัยด้วย อาหารอภินันทนาการหอสุราเราไม่ขายเจ้าค่ะ” หงโต้วปฏิเสธตรงๆ อย่างว่องไว
คุณหนูสั่งเอาไว้แล้ว ห้ามแหกกฎของหอสุราเด็ดขาด
จูหานซวงสีหน้าขรึมลง “ไม่ขายหรือ พวกเจ้าเปิดร้านทำการค้า มีกฎเช่นนี้ได้ที่ไหน!”
หงโต้วมุ้ยปาก “กฎเป็นเถ้าแก่เราเป็นผู้กำหนด แม้แต่ไคหยางอ๋องอยากซื้อล้วนซื้อไม่ได้ หรือว่าคุณหนูจูใหญ่โตกว่าท่านอ๋องอีกหรือเจ้าคะ”