ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 143 ปลามาติดเบ็ด
ตอนที่ 143 ปลามาติดเบ็ด
เช้าวันต่อมาลั่วเซิงก็รีบไปที่หอสุรา
เพราะว่าฟักเขียวอำพันต้นตำรับน้นเป็นอาหารที่ประณีตและใช้เวลาในการทำมาก
ต้องนำฟักมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นรูปดอกไม้ เคี่ยวให้เป็นสีน้ำตาล ต้องใช้เวลามากถึงสี่ห้าชั่วยามในการตุ๋นไฟอ่อนจึงจะสำเร็จ
และปริมาณน้ำหนักของฟัก น้ำเชื่อมรวมถึงอุณหภูมิไฟจะต้องพิถีพิถันมาก หากไม่ทันระวังก็อาจทำให้ฟักเละได้
ส่วนขาหมูตุ๋นเป็นอาหารจานใหญ่ที่มีชื่อรองลงมาและใช้เวลาในการทำไม่น้อยเช่นกัน
คุณชายสามเซิ่งย้ายเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงข้างหม้อน้ำแกงไม่ห่างไปไหน เขาสูดดมกลิ่นหอมแล้วเอ่ยถามลั่วเซิงว่า “น้องลั่ว ใกล้จะสองชั่วยามแล้ว ยังตุ๋นไม่เสร็จอีกหรือ”
เขาเห็นตั้งแต่น้องหญิงและอาซิ่วจัดการกับขาหมูจำนวนหลายสิบจิน จากนั้นใส่ลงไปในหม้อตุ๋นเป็นเวลากว่าสามชั่วยามแล้ว
ช่างพิถีพิถันเหลือเกิน แม้ขาหมูตุ๋นจะเสียเวลามากก็จริงอยู่ แต่ทำไมยังต้องล้างน้ำเย็นแล้วแช่ไว้กว่าหนึ่งชั่วยามด้วยเล่า
ไม่เป็นการเสียเวลาหรอกหรือ
คุณชายสามเซิ่งนั่งรอด้วยอาการกระวนกระวายใจ อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา
ลั่วเซิงอธิบายขึ้นช้าๆ ว่า “หากแช่น้ำเป็นเวลานานพอก็จะสามารถกำจัดเลือดออกไปได้ ในขาหมูจึงจะไม่มีกลิ่นคาว”
อธิบายเสร็จ ซิ่วเย่ว์ก็เปิดฝาหม้อขึ้นช้าๆ กลิ่นหอมกรุ่นลอยออกมาจากหม้อ
“เสร็จแล้วหรือ”
“กินได้แล้วใช่หรือไม่”
หงโต้วและคนอื่นๆ เข้ามานั่งมุง ชะโงกมองอย่างอดใจไม่ไหว
ท่ามกลางควันที่ลอยกรุ่น ขาหมูสีแดงมันวาวน่ากินเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ไม่ต้องพูดถึงว่ามองไปแล้วน่ากินขนาดไหน
สือเยี่ยนพูดขึ้นว่า “ดูแล้วน่าอร่อยจริง”
หงโต้วเบ้ปากพูดว่า “จะไม่อร่อยได้อย่างไร กระดูกชิ้นใหญ่ที่อยู่ข้างในก็เลาะออกมาเรียบร้อยแล้ว เวลากินมีแต่เนื้อ”
คุณชายสามเซิ่งเอ่ยถามลั่วเซิงว่า “มิสู้เราลองชิมดูสักหน่อยดีหรือไม่?”
หงโต้วและคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย
ชิมก่อนสักคำก็ดี พอดมกลิ่นช่างหอมกรุ่นนัก
ลั่วเซิงยิ้มเอ่ยว่า “ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาหารชนิดนี้จึงเรียกว่า ขาหมูตุ๋น”
“ไม่รู้ ข้ารู้แค่มันอร่อย” คุณชายสามเซิ่งตอบตามความเป็นจริง
ซิ่วเย่ว์กำลังตักน้ำพะโล้ออกมา ลั่วเซิงจึงอธิบายว่า “ตุ๋นก่อนเลาะทีหลัง เป็นจุดที่เยี่ยมยอดที่สุดของอาหารชนิดนี้น่ะสิ”
ถัดจากถังไม้เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่ ก้นหม้อมีจานที่เล็กกว่าฝาหม้อเพียงเล็กน้อยวางอยู่ ขาหมูหมูถูกตักออกมาวางไว้ด้านบน
ซิ่วเย่ว์สั่งให้ชายมีหนวดนำวัตถุดิบทำน้ำแกงในถังไม้ใส่ลงไป ปิดฝาหม้อแล้วใช้ไฟอ่อนตุ๋นไปเรื่อย ตอนนี้จึงเริ่มว่างชั่วคราว
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่า ซิ่วเย่ว์เปิดฝาหม้อออกดู ยิ้มให้ลั่วเซิง “คุณหนู น่าจะได้แล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เสร็จแล้วหรือ”
ลั่วเซิงไม่ได้อธิบายอีก นางนำขาหมูแต่ละชิ้นวางลงไปบนถาดอย่างระมัดระวัง รอจนน้ำแกงในหม้องวดแล้วก็นำแปรงมาจุ่มทาลงไปที่เนื้อหมูทีละชั้น
ทาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งขาหมูเย็นลงจึงกลายเป็นสีแดงใสมันวาวราวกับกระจกสี ถือว่าวิธีทำยอดเยี่ยมไม่ต่างจากฟักเขียวอำพันเท่าไรนัก
ในเวลานี้ ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ใกล้ได้เวลาเปิดหอสุรา
คุณชายสามเซิ่งเข้าไปขวางที่ประตู “น้องหญิง วันนี้ให้เราลองชิมดูก่อนเป็นไร ไม่ต้องเปิดร้านหรอก!”
สือเยี่ยนและคนอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แต่เถ้าแก่ก็คือเถ้าแก่ ไม่ใช่น้องหญิงของพวกเขา ดังนั้นนางจึงใช้ความนิ่งสงบเป็นการตอบรับ
ลั่วเซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “หงโต้ว ไปบอกกับอาซิ่วว่าให้หั่นขาหมูตุ๋นมาให้ทุกคนชิมสองชิ้น”
หงโต้วรีบเดินเข้าไปในครัว ในไม่ช้าก็เดินถือจานออกมาสองจาน
ทันทีที่วางจานลง ทุกคนก็เข้ามารุมราวกับหมาป่าผู้หิวโหย
ลั่วเซิงเห็นดังนั้นก็หัวเราะส่ายหน้าแล้วเดินไปเปิดประตูหอสุรา
ด้านนอกมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ทำให้นางตกใจจนต้องถอยหลังไปครึ่งก้าว
“ข้าทำให้คุณหนูลั่วตกใจหรือ” เว่ยหานถาม
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อเดินทางมาถึงแล้วประตูจะเปิดออกทันที
ลั่วเซิงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายหนุ่มด้านนอกประตู
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น เป็นเพราะไคหยางอ๋องสวมชุดสีเขียวไผ่ตัวยาวในวันนี้
หากเทียบกับเมื่อก่อน วันนี้เขาดูสดชื่นมากทีเดียว
เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงกำลังมองดูเสื้อผ้าของเขา เว่ยหานก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่กลับไม่แสดงสีหน้าใด
“วันนี้ท่านอ๋องมาเร็วจริง” ลั่วเซิงเปิดทางให้เขาแล้วเอ่ยทักทาย
เว่ยหานเดินเข้าไปด้านในหอสุรา เมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของเขาก็กระตุก
เมื่อวานได้ยินว่าวันนี้จะมีอาหารใหม่ชื่อว่าขาหมูตุ๋น จะไม่ให้มาเร็วได้อย่างไร
เพราะเขาไม่อาจสั่งจองล่วงหน้าได้ และไม่อาจได้รับสิทธิพิเศษใดๆ
จากนั้น เว่ยหานก็ไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก สายตาเหลือบมองไปยังสือเยี่ยนและคนอื่นๆ ที่กำลังแย่งกันกินอย่างมูมมาก แววตาเขาเยือกเย็นลงทันใด
เขารู้ว่าสือเยี่ยนมาอยู่กับคุณหนูลั่ว คงได้กินอาหารดีๆ ไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะกินดีขนาดนี้
เจ้านี่ลืมไปแล้วหรือว่าควรทำอะไร?
รังสีอัมหิตแผ่ซ่านออกมา ทำให้สือเยี่ยนหันหลังกลับมามองพอพบว่าเป็นเว่ยหานก็ตกใจเบิกตากว้าง
องครักษ์ตัวน้อยรีบกลืนเนื้ออันโอชะในปากลงคอแล้วกระโดดเข้าไปตรงหน้าเว่ยหาน
“นายท่าน เหตุใดจึงมาเร็วนักขอรับ เชิญนั่งทางนี้ก่อน!”
เว่ยหานนั่งลง กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากข้าไม่มาเร็วเช่นนี้ คงไม่เห็นเจ้ากำลังกินหมูตุ๋นน่ะสิ”
สือเยี่ยนแทบจะคุกเข่าลงตรงหน้า “นายท่าน ฟังข้าน้อยอธิบายก่อนเถิด!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กินของอร่อยก่อน ตามปกติแล้วต้องรอร้านปิดจึงจะมีของกิน
“ไม่จำเป็น ยกอาหารมา” เว่ยหานน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม
เมื่อได้ยินว่าเจ้าสารเลวนี่มีของอร่อยๆ กินทุกวัน เขายังต้องกังวลว่าตนจะไม่มีอะไรให้กินหรือ?
“วันนี้ท่านอยากกินสิ่งใดขอรับ” องครักษ์ตัวน้อยถามด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ขาหมูตุ๋นสามชิ้น ฟักเขียวอำพันหนึ่งจานและสุราด้วยหนึ่งกา”
สือเยี่ยนยืนตรงไม่ขยับ
เว่ยหานมองไปทางเขาปราดหนึ่ง
สือเยี่ยนเกิดแรงกดดันขึ้นทันที เขาพยายามยืนหยัดอธิบายว่า “เถ้าแก่บอกว่าขาหมูตุ๋นจำกัดจำนวน หนึ่งโต๊ะสั่งได้มากสุดสองชิ้นเท่านั้น”
“งั้นหรือ วันนี้มีขาหมูทั้งหมดเท่าไหร่” เว่ยหานเอ่ยถาม
สือเยี่ยนตอบว่า “สามสิบชิ้นขอรับ”
“หืม?” เว่ยหันเลิกคิ้วถาม “รับแขกเพียงสิบโต๊ะ โต๊ะละสองชิ้น?”
แล้วอีกสิบชิ้นไปไหน?
“พรุ่งนี้จะให้สืออี้…”
ยังไม่ทันพูดจบ สือเยี่ยนก็เข้าไปกอดขาของนายท่านตนเอาไว้ “นายท่าน ข้าน้อยและต้าไป๋มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ท่านอย่าได้ใจร้ายเช่นนี้…”
เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงมองมา สีหน้าเว่ยหานก็มืดมนลง “ลุกขึ้น”
ทันใดนั้นเอง ที่หน้าประตูมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “อ้าว น้องสิบเอ็ดก็มาหรือ”
เว่ยหานหันไปมอง พบว่าเป็นผิงหนานอ๋องยืนอยู่ปากประตู ด้านข้างมีพระชายาผิงหนานอ๋อง ส่วนผู้ที่กอดแขนพระชายาผิงหนานอ๋องนั้นก็คือท่านหญิงน้อยเว่ยเหวิน
ลั่วเซิงเองก็มองไปเช่นกัน
นางเห็นเพียงคนคนเดียวนั่นคือผิงหนานอ๋อง
เสียเวลาตกปลาอยู่ตั้งนาน ในที่สุดปลาใหญ่ก็ติดเบ็ดสักที
ศัตรูของนางคือจวนผิงหนานอ๋องและองค์รัชทายาท ตอนนี้จากสถานการณ์จะลงมือกับองค์รัชทายาทคงยากเกินไป คิดบัญชีกับจวนผิงหนานอ๋องก่อนจะดีกว่า
ผิงหนานอ๋อง พระชายาผิงหนานอ๋อง ซื่อจื่อเว่ยเฟิง ท่านหญิงน้อยเว่ยเหวิน เจ้านายของจวนผิงหนานอ๋องมีสี่คน หากจะรับประกันว่าจะไม่มีใครสงสัยตัวนาง อย่างน้อยก็ต้องเลือกผู้ที่เกี่ยวข้องกับหอสุรามาจัดการเพียงคนเดียวน่าจะปลอดภัยกว่า
คนแรกที่จะเลือก ก็คือผิงหนานอ๋อง
เปิดหอสุราแห่งหนึ่ง สังหารหนึ่งคน
เป็นการค้าที่ไม่ขาดทุนเลย
“หงโต้ว ยังไม่รีบไปต้อนรับลูกค้าอีก” ลั่วเซิงพูดขึ้นอย่างสงบ