ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 148 มุกดอกไม้
ตอนที่ 148 มุกดอกไม้
บุรุษผู้นี้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ
หลังจากความคิดนี้วาบผ่าน สีหน้าของลั่วเซิงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทว่าประกายริบหรี่ในแววตากลับเผยถึงความขุ่นเคืองเล็กน้อย
นางยกมือขึ้นดึงมุกดอกไม้ออกจากผมแล้วโยนลงบนโต๊ะอย่างส่งๆ พูดเสียงเรียบ “เบี้ยวแล้วก็ไม่เอาแล้ว”
ในยามนี้คุณชายสามเซิ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู “น้องลั่ว ผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหาร…”
คำพูดถัดมาหายไปอย่างกะทันหัน เพราะเห็นว่าลั่วเซิงและเว่ยหานยืนใกล้ชิดกันมาก
ความตกใจจากเรื่องที่ผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหารพลันถูกระงับด้วยไฟแห่งความสอดรู้สอดเห็นทันที
เหตุใดญาติผู้น้องกับไคหยางอ๋องถึงยืนใกล้ชิดกันเพียงนี้
ซี้ด…หรือว่ากำลังจะกอดกัน?
ลั่วเซิงเม้มริมฝีปากแน่น
ผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหาร หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกลับมาส่งข่าวก็ไม่แปลกนัก แต่เหตุใดญาติผู้พี่ถึงดูร้อนใจมากเพียงนี้
กินขาหมูกับเนื้อตุ๋นมาตั้งมาก ยังไม่เห็นว่าจะมีสง่าราศีขึ้นบ้างเลย
ความโกรธที่เกิดจากความกังวลว่าเว่ยหานจะสังเกตเห็นพาลไปลงที่คุณชายสามเซิ่งอย่างลับๆ
ลั่วเซิงเดินออกไปด้านนอก “ไปดู”
คุณชายสามเซิ่งรู้สึกรางๆ ว่าญาติผู้น้องกำลังโกรธ คิดว่าอาจเป็นเพราะตนเองไปรบกวนเรื่องดีๆ ของญาติผู้น้องเข้าจึงหันไปยิ้มกับเว่ยหานอย่างขอลุแก่โทษแล้วเดินตามออกไป
“น้องลั่ว รอข้าด้วย…”
เว่ยหานยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตามองจับไปยังมุกดอกไม้ที่ถูกโยนลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี
มุกดอกไม้มีสีชมพูอ่อน สีชมพูอ่อนจนเกือบจะเป็นสีขาว คล้ายกับชุดสีเรียบสะอาดตาที่คุณหนูลั่วสวมใส่ในยามปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีที่นางมีต่อเขาก็ยิ่งเย็นชาไร้ความรู้สึก
เว่ยหานหยิบมุกดอกไม้ขึ้นมาจ้องมองครู่หนึ่ง จากนั้นเก็บเข้าในอกเสื้อแล้วจึงเดินออกไปด้านนอก
ด้านนอกกำลังตกอยู่ความสับสนอลหม่าน เหล่าเจ้าหน้าที่และทหารจากกรมทหารม้าที่รับผิดชอบลาดตระเวนเร่งรุดเดินทางมา องครักษ์จิ่นหลินที่ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ลั่วให้ลอบเฝ้าหอสุราอย่างลับๆ ก็กลับจวนแม่ทัพใหญ่เพื่อรายงานข่าวอย่างเงียบๆ
เสนาบดีจ้าวพาพี่น้องหลินเถิงเร่งรุดไปถึงทันที ขณะนี้กำลังจ้องมองไปที่กองเลือดบนพื้นด้วยความงุนงง
แย่แล้ว แย่แล้ว กรมยุติธรรมเดือดร้อนใหญ่แล้ว
เขาหันหน้าไปมองหลินเถิงที่กำลังคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งด้วยสายตาว่างเปล่า
โชคดีที่พาหลินเถิงมาด้วย เช่นนั้นก็มอบหมายเรื่องใหญ่นี้ให้เจ้าหมอนี่จัดการก็แล้วกัน
อะไร จะให้เขาจัดการกระนั้นหรือ
ถึงให้เขาจัดการไปก็เปล่าประโยชน์ ลำพังแค่เป็นหัวหน้าที่ดีของหลินเถิงยังไม่พออีกหรือ
แล้วจึงลูบพุงป่องๆ ของตัวเอง เสนาบดีจ้าวถอนหายใจเฮือกใหญ่
สุราอาหารที่ชอบก็มีราคาแพงนัก งานที่ต้องรับผิดชอบก็น่าปวดหัว ชีวิตมนุษย์หนอช่างลำบากแสนเข็ญจริงๆ
“ไล่ตามไปถึงปากตรอกแล้วก็ไม่เจอรึ” หลินเถิงถามชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ทว่าสายตาเฉียบคม เขาก็คือองครักษ์ลับของผิงหนานอ๋องที่ไล่ตามลั่วเซิงไปนั่นเอง
“พาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่”
องครักษ์ลับพยักหน้า
แต่แล้วก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น “เกิดเรื่องขึ้นกับพี่สามของข้างั้นรึ”
การปรากฏตัวของเว่ยหานทำให้บรรยากาศเงียบลง แม้แต่หลินเถิงที่กำลังจะไปตรวจสอบกับองครักษ์ลับก็ยังหยุดเดิน
“มีคนร้ายซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ยิงธนูลอบสังหารผิงหนานอ๋องขอรับ” เสนาบดีจ้าวรีบอธิบายเหตุการณ์ที่รู้มาให้เว่ยหานฟังทันที
เว่ยหานก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว อาศัยแสงโคมไฟดูคราบเลือดบนพื้น
ลั่วเซิงไม่ปริปากเอ่ยคำใด จ้องมองไปที่คราบเลือดเช่นกัน
นางได้ยินชายที่เพิ่งช่วยนางจัดมุกดอกไม้ให้ตรงถามว่า “พี่สามของข้าล่ะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านอ๋องถูกส่งกลับจวนอ๋องแล้วขอรับ”
“คนเป็นอะไรหรือไม่”
เสนาบดีจ้าวส่ายศีรษะ “พูดยาก ตอนที่ส่งกลับไปยังมีลมหายใจอยู่”
ใบหน้าของลั่วเซิงยังคงสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
ยังมีลมหายใจอยู่?
นางมั่นใจว่าไม่พลาด ลูกธนูปักเข้าหลังหัวใจของเขาเข้าเต็มๆ ตอนที่องครักษ์รู้ตัวและพาส่งกลับจวนจะยังมีลมหายใจได้อย่างไร
“เสนาบดีจ้าวตามข้าไปตรวจดูที่จวนผิงหนานอ๋องเถอะ” เว่ยหานกล่าวอย่างสงบ
เสนาบดีจ้าวตกตะลึง “ที่นี่…”
กระแสเสียงของเว่ยหานยังคงสงบราบเรียบ “ในเมื่อคนร้ายหลบหนีไปแล้ว ก็มอบหมายให้กรมทหารม้าไปสืบค้นเถอะ เดิมทีการติดตามจับตัวคนร้ายก็ไม่ใช่หน้าที่ของกรมยุติธรรมอยู่แล้ว เสนาบดีจ้าวมิสู้ไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของผิงหนานอ๋องกับข้าดีกว่า จะได้สอบถามสถานการณ์กับพระชายาผิงหนานอ๋องด้วย”
พอเสนาบดีจ้าวได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าเป็นจริงตามนั้น กรมยุติธรรมมีหน้าที่วินิจฉัยคดี ไม่ใช่ไล่ตามจับคนร้าย เหตุใดเขาต้องไปยุ่งงานของผู้อื่นเล่า
แน่นอนว่าเขาไม่เก่งในการวินิจฉัยคดีเช่นกัน แต่ก็มีหลินเถิงอยู่
พาหลินเถิงไปที่จวนผิงหนานอ๋องและสอบถามสถานการณ์จากพระชายาผิงหนานอ๋องและผู้อื่นต่างหากจึงจะเป็นงานที่ถูกต้องเหมาะสม
เสนาบดีจ้าวเรียกหลินเถิงทันที “หลินเถิง ตามข้าไปจวนผิงหนานอ๋อง”
หลินเถิงตอบรับแล้วเดินตามหลังเสนาบดีจ้าวไป
เว่ยหานหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับลั่วเซิง
“คุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงระงับความสับสนวุ่นวายในใจ เงยหน้าขึ้นมองเขา
สีท้องฟ้ายามราตรีปกคลุมด้วยสีคราม ขับเน้นให้ใบหน้าของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น
“คนร้ายลงมือในวันนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ คุณหนูลั่วไม่ต้องกังวลมากเกินไป รีบกลับจวนเถิด”
สายลมยามค่ำคืนพัดพาถ้อยคำเหล่านี้มากระทบโสตของลั่วเซิง ฟังออกถึงการปลอบประโลมจากคำพูดเหล่านั้น
กระทั่งเพราะการเดาเช่นนั้น ทำให้นางฟังออกถึงอีกความหมายหนึ่ง
แต่นางก็ไม่อาจสงบใจลงได้
หากผิงหนานอ๋องยังไม่ตาย แล้วแผนการที่นางคำนวณไว้จะมีประโยชน์อะไร
เว่ยหานพยักหน้าน้อยๆ ให้ลั่วเซิงเพื่อเป็นการอำลา
ลั่วเซิงเฝ้าดูกลุ่มคนที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ร่างในชุดสีเข้มเกือบจะกลืนหายไปในยามราตรี ทว่าดูสดใสที่สุดในสายตาของนาง
“คุณหนู?” หงโต้วดูความคึกคักมามากพอแล้วตะโกนขึ้นเมื่อเห็นลั่วเซิงยืนนิ่ง
พวกเขากำลังหิวกันอยู่นะ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หงโต้วก็กระโดดขึ้นมา “แย่แล้ว!”
ทุกคนในหอสุราหันมามองนางเป็นตาเดียว
หงโต้วกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย “ลูกค้าที่มาดื่มที่หอสุราวิ่งออกไปมุงดูเรื่องชาวบ้าน ยังไม่ได้จ่ายเงินเลย!”
มีคนกินแล้วชักดาบเยอะแยะ จะขาดทุนเท่าใดกันเนี่ย!
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้ดูแลหญิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ต้องกลัว ข้าจดจำไว้ในหัวหมดแล้ว ไม่ขาดตกไปแม้แต่คนเดียว”
ถ้าเป็นถึงผู้ดูแลร้านยังทำส่วนนี้ไม่ได้แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปรับเบี้ยหวัดและสวัสดิการอาหารที่พักจากหอสุราเล่า
“งั้นก็ดี” หงโต้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โค่วเอ๋อร์โคลงศีรษะ “ถือว่าไปดูเรื่องชาวบ้านแล้วฉวยโอกาสชักดาบ ลูกค้าเหล่านี้พฤติกรรมใช้ไม่ได้เลย”
“จริงด้วย” สือเยี่ยนถือโอกาสพูดแทนนายท่านของตน “นายท่านของเราไม่เป็นเช่นนั้น มีแต่จะจ่ายเงินล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแล้วค่อยหักค่าใช้จ่ายทีหลัง”
ลั่วเซิงไม่สนใจเสียงเหล่านี้ เดินฉับๆ ไปที่หอสุรา
ซิ่วเย่ว์ผู้ไม่ได้ก้าวเท้าออกจากครัวกำลังยืนเงียบๆ อยู่ที่หน้าประตูหอสุรา
เมื่อลั่วเซิงเดินเข้ามาก็ถูกนางคว้าแขนเสื้อไว้เบาๆ
“ผู้ที่เกิดเรื่องคือผิงหนานอ๋องหรือเจ้าคะ”
ลั่วเซิงหยุดชะงักแล้วมองไปที่ซิ่วเย่ว์
“คุณหนู ผู้ที่เกิดเรื่องคือผิงหนานอ๋องหรือ”
ลั่วเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ผู้ที่เกิดเรื่องคือผิงหนานอ๋อง แต่จะมีเรื่องหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่ทราบ”
“เช่น เช่นนั้น…” ซิ่วเย่ว์อ้าปากเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่หงโต้วที่ตามเข้ามาก็ทำให้นางต้องกลืนความสงสัยกลับลงไปแล้วปล่อยมือออกเงียบๆ
ที่นางอยากรู้มากที่สุดมีเพียงคำถามเดียวนั่นคือ ผู้ที่ลอบสังหารผิงหนานอ๋องคือคุณหนูลั่วใช่หรือไม่
น่าเสียดายที่กลับถึงจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว ซิ่วเย่ว์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ถาม
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่
“เหตุใดท่านพ่อถึงมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ”
“ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นใกล้ๆ หอสุรา” แม่ทัพใหญ่ลั่วมองลั่วเซิงอย่างประเมิน เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของนางก็อดปวดใจไม่ได้ “เซิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าคนร้ายจะเป็นผู้ใด กล้ากระทำการเช่นนี้ภายใต้พระบาทของฮ่องเต้จะต้องถูกจับอย่างแน่นอน”
ลั่วเซิงคว้าแขนเสื้อของแม่ทัพใหญ่ลั่ว น้ำตาชุ่มขนตา “ท่านพ่อ ลูกกลัวมากจริงๆ ท่านช่วยไปดูให้หน่อยได้หรือไม่ว่าผิงหนานอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง… “
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ในที่สุดลั่วเซิงก็ได้รับข่าวที่แม่นยำจากแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เพราะผิงหนานอ๋องหัวใจเยื้องไปทางขวาจึงไม่ได้เสียชีวิต แต่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก่อนรุ่งสาง ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อได้ไปเชิญหมอเทวดาหลี่ด้วยตนเอง