ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 149 ถูกปฏิเสธ
ตอนที่ 149 ถูกปฏิเสธ
ในโรงน้ำชาหน้าประตูเรือนหมอเทวดา มีคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความปรารถนาของผู้คนที่จะขอรับการรักษาไม่ได้ถูกขัดขวางด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวแต่อย่างใด
เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถอดทนได้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไร้ความสำคัญ
เว่ยเฟิงซื่อจื่อแห่งจวนผิงหนานอ๋องมาถึงเป็นคนแรก แต่กลับไม่สามารถเคาะประตูธรรมดาบานนี้ให้เปิดออกได้ เขากำหมัดแน่น สีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
หมอเทวดาจะวางท่าเกินไปแล้ว
ตอนที่เขามาถึงฟ้ายังไม่สาง พอไปเคาะประตู เด็กเฝ้าประตูบอกว่ายังไม่ถึงเวลา เชิญไปรอที่โรงน้ำชานอกประตู
ไม่ว่าคนไข้จะอาการสาหัสเพียงใดก็ไม่สนใจไยดี ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไม่มีความเมตตากรุณาบ้างเลยหรือ!
เขาทั้งร้อนใจทั้งโมโห เดิมทีคิดว่าจะพังประตูเข้าไป แต่พ่อบ้านที่พามาด้วยหยุดเขาเอาไว้
พ่อบ้านกล่าวว่า “แม้แต่ไคหยางอ๋องที่มาขอรับการรักษาก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายครั้ง ซื่อจื่ออดทนอีกหน่อยนะขอรับ”
เมื่อได้ยินพ่อบ้านเอ่ยถึงเสด็จอาท่านนั้น เขาก็จำใจต้องอดทน
ถ้าหมอเทวดาไม่ยอมรับเสด็จอา แน่นอนว่าอาจจะไม่ยอมรับเขาเช่นกัน
เรื่องที่เสด็จลุงฮ่องเต้ให้เกียรติหมอเทวดาหลี่ เขาเองก็ทราบอยู่
แต่ชีวิตของเสด็จพ่อตกอยู่ในอันตราย หากเกิดเรื่องร้าย…เว่ยเฟิงไม่อยากจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลย
เขาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่แตะต้องถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้า จ้องมองไปยังประตูโดยไม่ละสายตา
ในใจเกิดความทรมานอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตอันราบรื่นตลอดยี่สิบปีมานี้
ณ ห้วงเวลานี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักแล้วว่าที่กล่าวว่าหนึ่งวันเหมือนหนึ่งปีเป็นอย่างไร
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดประตูก็เปิดออก
ผู้ที่ได้รับป้ายลำดับก็รีบกรูกันเข้าไป เด็กเฝ้าประตูตะโกนเรียกผู้ที่ได้รับป้ายลำดับที่หนึ่งเข้าไปก่อน
ซึ่งผู้ที่ได้รับป้ายลำดับที่หนึ่งคือเว่ยเฟิงอยู่แล้ว
เว่ยเฟิงถูกพาเข้าไปในเรือน ของกำนัลที่นำมาก็ถูกมอบให้กับเด็กเฝ้าประตูและส่งไปหลังฉากบังลม
ไม่นานหลังจากนั้น เด็กเฝ้าประตูก็เดินออกมาจากด้านหลังฉากบังลมพร้อมกับของกำนัล โค้งคำนับให้เว่ยเฟิง “ขออภัยด้วยซื่อจื่อ หมอเทวดาไม่ถูกใจของที่ท่านนำมา”
“เป็นไปไม่ได้!” เว่ยเฟิงร้องเสียงแห้ง ทันใดนั้นก็มองไปที่ฉากบังลมซึ่งปักภาพเทพกสิกรรมชิมพืชนานาพรรณ
สถานการณ์ของเขาไม่เหมือนเสด็จอา
ว่ากันว่าเสด็จอามาขอรับการรักษาเพราะอาการป่วยของแม่นม หมอเทวดาจะไม่ให้เกียรติก็ไม่แปลก
แต่เขากำลังขอให้ท่านหมอไปรักษาเสด็จพ่อ เสด็จพ่อผู้ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นพี่น้องแท้ๆ ของเสด็จลุงฮ่องเต้นะ!
เว่ยเฟิงตะโกนไปที่ฉากบังลม “หมอเทวดา เสด็จพ่อของข้าได้รับบาดเจ็บจากลูกธนู ยามนี้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย กำลังรอความช่วยเหลือจากท่านอยู่”
หลังฉากบังลมไม่มีเสียงใดลอดออกมา
เด็กเฝ้าประตูตอบแทนหมอเทวดาหลี่ “ซื่อจื่อ นี่คือกฎของหมอเทวดาเรา ไม่ว่าผู้มาขอรับการรักษาจะมีบรรดาศักดิ์เช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่นำมานั้นสามารถดึงดูดความสนใจของหมอเทวดาได้หรือไม่”
เว่ยเฟิงไหนเลยจะยอมฟังคำพูดดังกล่าว เปล่งเสียงลั่น “หากหมอเทวดาไม่ชอบสิ่งที่ข้านำมา เช่นนั้นไม่ว่าของสิ่งใดที่อยู่ในจวนผิงหนานอ๋อง หากหมอเทวดาต้องการก็สามารถมอบให้ได้ ขอเพียงท่านยอมไปที่จวนอ๋องตอนนี้ ช่วยรักษาเสด็จพ่อของข้า!”
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังฉากบังลมในที่สุด “ไม่ไป ฝูหลิง ให้คนต่อไปเข้ามา”
การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาทำให้ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อผู้ซึ่งกังวลและหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาเดินไปที่ด้านหลังฉากบังลมทันที
“ซื่อจื่อช้าก่อน…” เด็กเฝ้าประตูรีบหยุดเขาไว้
“หลีกทาง!” เว่ยเฟิงเอื้อมมือผลักเด็กเฝ้าประตูออกไป
เสด็จพ่อกำลังตกอยู่ในอันตราย เป็นแค่เด็กเฝ้าประตูเล็กๆ กลับกล้ามาหยุดเขา
ขณะที่เว่ยเฟิงกำลังจะเดินไปที่ฉากบังลม ดาบที่ยังไม่ออกจากฝักก็ขวางหน้าเขาไว้อย่างเงียบเชียบ
เว่ยเฟิงหยุดลงกะทันหันจึงพบว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง
คงเป็นเพราะร้อนใจเกินไป เขาจึงไม่รู้เลยว่าชายคนนี้อยู่ในห้องนี้ด้วยตลอดเวลา หรือว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด
แม้ว่าดาบจะอยู่ในฝัก แต่ก็ทำให้คนหวาดกลัว
เว่ยเฟิงเกิดความกลัวทั้งยังขุ่นเคืองที่ถูกหมิ่นเกียรติเช่นนั้น เขาเขม่นมองชายคนนั้นแล้วถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”
ชายคนนั้นกอดดาบ พูดด้วยกระแสเสียงสงบราบเรียบ “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากบังคับหมอเทวดา ฆ่าไม่เว้น”
“เจ้ากล้ารึ!”
ใบหน้าของชายคนนั้นสงบนิ่ง “คำพูดเหล่านี้ข้าไม่ได้เป็นคนพูด แต่เป็นฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ตรัสเอาไว้”
เว่ยเฟิงสูญเสียความกล้าไปในทันที
เด็กเฝ้าประตูรีบฉวยโอกาสนี้ส่งยิ้มให้เว่ยเฟิง “เชิญซื่อจื่อกลับก่อนเถิด พรุ่งนี้สามารถนำของสิ่งอื่นมาลองดูใหม่ได้”
“ขออภัย เป็นข้าน้อยที่ไร้มารยาท” เว่ยเฟิงขออภัยกับผู้ที่อยู่หลังฉากบังลมแล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง
พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่?
เสด็จพ่ออาจเป็นอะไรไปได้ทุกเมื่อ จะรอวันพรุ่งนี้ได้อย่างไร
แต่เขาเชิญหมอเทวดาไม่ได้
เว่ยเฟิงทุบเสาคอกม้าด้วยความเจ็บใจ ฝืนประคองตนเองออกจากที่พำนักของหมอเทวดา
สีหน้าของพ่อบ้านก็ดูไม่ดีเช่นกัน “หมอเทวดาไม่ยอมไปรักษาหรือขอรับ”
เว่ยเฟิงพยักหน้า
“แล้วจะทำเช่นไรดี…” พ่อบ้านเองก็กระวนกระวายใจ
“หมอเทวดาสมควรตาย เขาสนใจของสิ่งใดกันแน่” เว่ยเฟิงกระชับสายบังเหียน สั่งพ่อบ้านด้วยใบหน้ามืดมน “เจ้ารีบไปสืบดูหน่อย ดูว่าจะหาสิ่งที่หมอเทวดาสนใจได้หรือไม่”
พ่อบ้านโคลงศีรษะถอนหายใจ “ในเมืองหลวงมีคนที่คัดแยกสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับหมอเทวดาอยู่ แต่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเลย”
“หรือว่าต้องปล่อยไปเช่นนั้นงั้นหรือ” เว่ยเฟิงไม่อาจยอมได้ เขาไม่มีแม้กระทั่งความกล้าที่จะขี่ม้ากลับจวนผิงหนานอ๋องด้วยซ้ำ
เขากลัวว่าหากก้าวเข้าประตูไปแล้วจะได้ยินข่าวไม่เป็นมงคลของเสด็จพ่อ
“จริงสิ!” ดวงตาของพ่อบ้านเป็นประกายขึ้น “ซื่อจื่อ ข้าน้อยนึกถึงคนผู้หนึ่ง!”
“อย่าร่ำไร!”
พ่อบ้านลดเสียงลง “คุณหนูลั่วขอรับ”
“คุณหนูลั่ว?” เว่ยเฟิงนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“ใช่ขอรับ คุณหนูลั่ว แก้วตาดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนที่แม่ทัพใหญ่ลั่วป่วยหนัก หมอเทวดาลั่นวาจาว่าเขาจะไม่สนใจกับสิ่งของใดๆ ที่จวนแม่ทัพใหญ่ส่งมา พอคุณหนูลั่วไปเชิญด้วยตัวเอง กลับเชิญหมอเทวดามาได้…”
เว่ยเฟิงก็จำเรื่องนี้ได้ทันที เมื่อได้ฟังพ่อบ้านกล่าวเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“ไม่เพียงเท่านั้น ข้าน้อยยังได้ยินมาว่า เมื่อไม่กี่วันหลังจากหมอเทวดาไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ก็ไปที่จวนไคหยางอ๋องด้วย ในเวลานั้นไคหยางอ๋องได้ไปขอรับการรักษาหลายครั้งแล้ว มีข่าวลือว่าคุณหนูลั่วช่วยเป็นธุระให้ไคหยางอ๋อง…”
เว่ยเฟิงแทบจะรอไม่ไหวเอ่ยขัดจังหวะพ่อบ้านทันที “เจ้าหมายความว่า คุณหนูลั่วอาจจะทราบถึงความชอบของหมอเทวดาเช่นนั้นหรือ”
พ่อบ้านพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าน้อยคิดว่าอาจเป็นไปได้”
“ไปที่จวนแม่ทัพใหญ่!” เว่ยเฟิงออกแรงกระตุ้นท้องม้า พุ่งทะยานไปยังจวนตระกูลลั่วทันที
ในเวลานี้ ลั่วเซิงกำลังนั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นไม้ในเรือนเสียนอวิ๋น
เป็นวันอากาศร้อนอบอ้าว จักจั่นที่ซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้ส่งเสียงกรีดร้องระงม
ข้างโต๊ะหินมีอ่างใส่น้ำแข็งตั้งอยู่หลายอ่าง ช่วยนำความเย็นมาสู่พื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้
“คุณหนู ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือเจ้าคะ” หงโต้วถามด้วยความงุนงง เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงไม่พูดไม่จาและไม่แตะถ้วยชาเป็นนานสองนาน
ด้านโค่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยถอนหายใจ “จะอารมณ์ดีได้อย่างไร กว่าหอสุราของเราจะเจริญรุ่งเรืองได้ แต่ผู้ใดจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้าดูเอาเถิด คืนนี้คงไม่มีลูกค้าเข้าร้านแล้ว”
“ไม่มีลูกค้า?” หงโต้วกะพริบตา มุมปากกระดกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ “นี่ก็หมายความว่าอาหารที่เตรียมไว้ในวันนี้ ต้องให้พวกเราช่วยจัดการแล้ว?”
นี่เป็นเรื่องดีชัดๆ!
ไม่มีลูกค้าก็ไม่มีรายได้หรือ ฮ่าๆ คุณหนูของพวกนางไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินถึงเพียงนั้นเสียหน่อย
หลังจากที่หงโต้วเอ่ยเตือน โค่วเอ๋อร์ถึงได้รู้ตัว
เอ๋ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องดีนี่นา
แล้วเหตุใดคุณหนูถึงดูไม่มีความสุขล่ะ
สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน หงโต้วพับแขนเสื้อขึ้น “คุณหนู จักจั่นรบกวนท่านหรือไม่ บ่าวจะขึ้นต้นไม้ไปจับพวกมันลงมา”
“อย่าปีนต้นไม้” ลั่วเซิงหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ระวังจะตกเอา”
ในเวลานี้มีคนรับใช้มารายงานว่า “คุณหนู ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อมาขอพบขอรับ”