ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 153 ข้าต้องการให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย
ตอนที่ 153 ข้าต้องการให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย
หมอเทวดาหลี่ปรายตามองกล่องใบนั้นอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่แยแส “มีอะไรให้ชิมกัน เอากลับ…”
ลั่วเซิงไม่ฟังเลยสักนิดเดียว นางยื่นมือไปเปิดฝากล่องที่วาดเป็นภาพนกสาลิกาเคียงดอกเหมยออก
กลิ่นหอมพุ่งผ่านกระดาษน้ำมันที่วางปิดอยู่ด้านบนออกมาทันที
หมอเทวดาหลี่ขยับจมูก ดวงตาจ้องมองไปในกล่อง
ภายในตัวกล่องลึกมาก เมื่อเปิดกระดาษน้ำมันออก กล่องลึกหกช่องคือสิ่งที่ปรากฏเข้าสู่ครรลองสายตาเป็นอย่างแรก ทุกช่องล้วนมีอาหารชนิดหนึ่ง
ปริมาณไม่มาก แต่เป็นระเบียบและสวยงาม
“หัวหมูย่าง ขาหมูตุ๋น เนื้อวัวตุ๋น ลิ้นเป็ด…” ลั่วเซิงแนะนำทีละรายการ
นัยน์ตาของหมอเทวดาหลี่เคลื่อนไปตามการแนะนำรายการอาหารทุกประเภท แต่ยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก
แม่นางน้อยมีแรงจูงใจไม่บริสุทธิ์!
เมื่อเปิดกระดาษน้ำมันชั้นที่สองใต้กล่องลึกหกช่องออก ก็มีกล่องลึกหกช่องแบบเดียวกัน ทุกช่องบรรจุขนมสีหนึ่งเอาไว้
เคราของหมอเทวดาหลี่กระดิก
เมื่อดึงกระดาษน้ำมันชั้นที่สามทิ้งไป หมอเทวดาหลี่ก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยากจะปิดบังความประหลาดใจ “ไส้ดอกบ๊วยหรือ”
ดอกบ๊วยสีแดงแต่ละดอกในจาน ไม่ใช่ลำไส้ดอกบ๊วยที่งดงามดั่งภาพวาดแล้ว จะเป็นอะไรไปได้
หมอเทวดาหลี่มองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะถามลั่วเซิงว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของหอสุราเจ้าหรือ”
ลั่วเซิงพยักหน้า ยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว ท่านหมอเทวดา เห็นแก่ที่นำมันมาถึงที่นี่ในสภาพที่ไม่หกเลอะเทอะ ให้เกียรติชิมสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
นางพูดแล้ว ถือโอกาสยื่นตะเกียบเงินให้คู่หนึ่ง
หมอเทวดาหลี่ลังเลครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปรับตะเกียบมา พลางเอ่ยอย่างฝืนๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะชิมดูแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลาเจ้าที่นำมันเดินทางมาไกล”
เขาก็แค่ชิมเท่านั้นเอง
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น หมอเทวดาหลี่ก็เป่าเครา ถลึงตาใส่ลั่วเซิง
แม่นางน้อยมีแรงจูงใจไม่บริสุทธิ์ เห็นว่ามีอาหารหลากหลายประเภทขนาดนี้ ความจริงแล้วทุกประเภทก็แค่สองสามชิ้น ยังไม่พอจะยัดผ่านซอกฟันเลย
มีเพียงไส้ดอกบ๊วยที่ปริมาณเยอะหน่อย แต่รายการอาหารที่เขาชอบที่สุดนี้ ยังกินไม่พอก็หมดแล้ว
หมดแล้ว!
แม่นางน้อยไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายแล้วจะเป็นอะไรไปได้!
หมอเทวดาหลี่ดื่มชารสขมเพื่อเจือจางกลิ่นหอมอร่อยในปากแล้วถามหน้าตึงว่า “หอสุรามีชื่อว่าอะไร หลังจากนี้จะให้ฝูหลิงไปซื้อสุราและอาหารทุกวัน”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “หอสุราอยู่บนถนนชิงซิ่ง ชื่อว่ามีหอสุรา ทว่าหอสุรามีกฏข้อหนึ่งคือ ไม่ห่อกลับบ้าน และไม่จัดส่งเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะกวาดตามองกล่องอาหารว่างเปล่าก็เอ่ยด้วยสีหน้าทะมึน “พูดมาเถอะ มีเงื่อนไขอะไร”
เขาไม่ได้โง่ แม่นางน้อยนำอาหารอร่อยเหล่านี้มาหา คงไม่มีทางเพียงแค่ให้เขาลองชิมหรอก
เหอะ ทำดีหวังผล
“เหตุใดจึงเป็นเงื่อนไขเล่า” ลั่วเซิงยิ้มหวาน สีหน้าจริงใจ “แค่ขอร้องเท่านั้นเอง แน่นอนว่า หากท่านรับปากคำขอของข้า สุราและอาหารที่ขายในหอสุราวันนั้นๆ จะถูกนำมาส่งให้ท่านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ชุดหนึ่ง”
“เจ้าเอ่ยคำขอของเจ้ามาก่อน” หมอเทวดาหลี่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและนั่งตัวตรง สีหน้าจริงจัง
หากไม่ใช่เพราะหนวดเครายังเปื้อนเศษขนม ลั่วเซิงก็คงจะนึกว่า คนที่เมื่อครู่กินอาหารจนหมดปานพายุหอบเอาเศษปุยเมฆไปนั้นไม่ใช่ตาเฒ่าคนนี้
“ข้ามาที่นี่กับผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ ผิงหนานอ๋องได้รับบาดเจ็บหนัก…”
“ไม่ไป!” หมอเทวดาหลี่ตัดบทคำพูดของลั่วเซิงทันที
ลั่วเซิงเม้มปาก
หมอเทวดาหลี่ละสายตาจากกล่องอาหารอย่างยากลำบาก ฝืนทนไม่แสดงความเสียใจออกมา “ข้าไม่ชอบจวนผิงหนานอ๋อง แม้ว่าเจ้าจะส่งอาหารมาให้ข้าหนึ่งวันสามมื้อ ข้าก็ไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตเขา”
ลั่วเซิงพลันยิ้มออกมา “ท่านหมอเทวดาน่าจะจำได้ว่า ข้ากับท่านหญิงชิงหยางมีวาสนาที่ไม่อาจอธิบายได้ ข้าเองก็ไม่ชอบจวนผิงหนานอ๋องเช่นเดียวกันกับท่าน”
หมอเทวดาหลี่ตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “แม่นางน้อย เจ้าคิดจะให้ข้าเอาชีวิตของผิงหนานอ๋องหรอกหรือ”
เสียงของเขาจริงจังยิ่งขึ้น “นี่ยิ่งไม่ได้ใหญ่! แม้ว่าข้าจะไม่พิถีพิถันในเรื่องผู้เป็นหมอต้องมีจิตใจอันเมตตาต่อคนไข้ แต่ให้คนไข้ตายในมือข้านั้นไม่ได้หรอก”
เขาไม่รักหน้าตาแล้วหรือ
“ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านเอาชีวิตผิงหนานอ๋องเสียหน่อย”
หมอเทวดาหลี่มึนงง “เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยกมือวางลงบนกล่องภาพนกสาลิกาเคียงดอกเหมยสีแดงที่นำมา พลางเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “ข้าต้องการให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย”
คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
นางดำเนินการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ วางแผนร้ายมากมาย ผลคือ สวรรค์กลับไม่ได้รับเอาชีวิตของผิงหนานอ๋องไปในทันที
นี่ทำให้นางไม่กล้าเสี่ยง
แม้ว่าหมอเทวดาจะไม่ลงมือเอง ผิงหนานอ๋องก็อาจจะถูกหมอหลวงช่วยชีวิตเอาไว้ได้ พักรักษาตัวสักหลายเดือนหน่อยก็ฟื้นตัวจนกระโดดโลดเต้นได้แล้ว
ไม่แน่ว่าจะไปกินขาหมูที่มีหอสุราต่อด้วยซ้ำไป
แทนที่จะแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ ไม่สู้ให้นางควบคุมและลงมือเองดีกว่า
นางไม่อยากต่อสู้กับสวรรค์ นางจึงเปลี่ยนความคิด ให้ผิงหนานอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย ความจริงแล้วก็ไม่เลวเช่นกัน
“เจ้า…” หมอเทวดาหลี่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จ้องลั่วเซิงเหมือนอยากจะพูดอะไร
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สนทนาในหัวข้อนี้ต่อ แต่เหลือบไปทางกล่องอาหารแวบหนึ่ง พลางกระแอมไอสองครั้ง “รอถึงวันที่อากาศหนาวเย็น อาหารที่นำมาส่งก็เย็นหมดแล้ว”
ดรุณีน้อยแย้มรอยยิ้มงดงามดั่งมวลผกา “เช่นนั้นท่านสามารถไปกินที่หอสุราได้ เตาดินเผาใบเล็กสีแดง หม้อไฟผักดองกับเนื้อหมูควันกรุ่น ไม่ต้องพูดเลยว่า กินลงท้องไปแล้วรู้สึกอบอุ่นมากเพียงใด กินได้ตามสบาย ไม่เก็บเงิน”
หมอเทวดาหลี่ได้ฟังคำอธิบายของลั่วเซิงก็กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็จิตใจหวั่นไหว
ว่าแล้วเชียวว่านังหนูนี่มีแรงจูงใจไม่บริสุทธิ์!
“เช่นนั้นท่านรับปากแล้วสินะ” เมื่อเห็นหมอเทวดาหลี่กลืนน้ำลาย แต่ไม่พูดไม่จา ลั่วเซิงก็ยิ้มระรื่น พลางถาม
“เหอะ!” หมอเทวดาหลี่แค่นเสียงเย็น
“เช่นนั้นข้าจะประคองท่านไปพบผิงหนานอ๋องซื่อจื่อด้วยกันนะเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่ถลึงตามองลั่วเซิงแล้วสะบัดชายแขนเสื้อ “ข้าไม่ได้แก่ถึงขั้นเดินไม่ไหวจนต้องให้นังหนูอย่างเจ้ามาประคองสักหน่อย!”
เมื่อเห็นหมอเทวดาหลี่ก้าวเท้าเดินนำออกไปข้างออก ลั่วเซิงก็โค้งมุมปากขึ้นตามไปด้วย
เว่ยเฟิงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ฟังเสียงจักจั่นซึ่งซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้ส่งเสียงร้องไม่หยุดด้วยจิตใจสับสนวุ่นวาย
สรุปว่าคุณหนูลั่วจะสามารถเชิญท่านหมอเทวดาได้หรือไม่
หากว่าไม่ได้ ผู้อื่นก็เดินทางมารอบหนึ่งแล้ว เขายังจะสั่งสอนคนสักยกจริงๆ เช่นนั้นหรือ
บุตรีของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ใช่ว่าจะสามารถสั่งสอนได้ตามใจชอบ
ขณะที่กำลังวิตกกังวลก็เห็นลั่วเซิงเดินเคียงออกมากับชายชราเคราสีดอกเลาผู้หนึ่ง
เว่ยเฟิงอดลุกขึ้นไม่ได้แล้วเดินเข้าไป “ท่านคือท่านหมอเทวดาหลี่หรือ”
หมอเทวดาหลี่กวาดตามองเว่ยเฟิงแวบหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “คำพูดไร้สาระนั้นไม่ต้องเอ่ย ไปจวนผิงหนานอ๋องเถอะ”
เว่ยเฟิงเผยสีหน้ายินดีออกมาทันที ประสานมือคารวะขอบคุณไปทางหมอเทวดาหลี่แล้วอดมองไปทางลั่วเซิงไม่ได้
ลั่วเซิงมีสีหน้าสงบเยือกเย็น ขณะถามเว่ยเฟิง “ต้องการให้ข้าไปจวนอ๋องเป็นเพื่อนท่านหมอเทวดาหรือไม่”
เว่ยเฟิงยังคงอยู่ภายใต้ความรู้สึกตื่นตะลึงที่ลั่วเซิงสามารถเชิญท่านหมอเทวดาไปได้อย่างง่ายดาย จึงตอบออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “หากว่าคุณหนูลั่วยินยอม…”
“ข้าไม่ยินยอม”
เว่ยเฟิงตะลึง รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วมองนาง
ลั่วเซิงยิ้ม “จวนอ๋องกำลังยุ่งวุ่นวาย ข้าไปร่วมวงด้วยจะไม่เป็นการทำให้ผู้คนรังเกียจหรอกหรือ ท่านหมอเทวดา ท่านอ๋องน้อย ข้าไปก่อนล่ะ ไม่อยู่เป็นเพื่อนพวกท่านทั้งสองแล้ว”
“อืม” หมอเทวดาหลี่รับคำเรียบๆ
เว่ยเฟิงมองลั่วเซิงพลิกตัวขึ้นมาแล้วจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
เขาถอนสายตากลับมา ผายมือออกไปทางหมอเทวดาหลี่ “ท่านหมอเทวดา เชิญ…”
หมอเทวดาหลี่ตอบเสียงเย็น โดยที่ไม่เหลือบตาขึ้นมองเลยสักนิด “พูดมาก”
เว่ยเฟิง “…”
ดังนั้นคุณหนูลั่วประจบท่านหมอเทวดาที่มีนิสัยขวางโลกแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ
เมื่อหมอเทวดาหลี่ไปถึงจวนผิงหนานอ๋องก็เห็นผิงหนานอ๋องที่หมดสติอยู่จึงสอบถามความปรารถนาจากพระชายาผิงหนานอ๋องอย่างจริงจังว่า “รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็พอใช่ไหม”
พระชายาผิงหนานอ๋องที่อิดโรยตะลึงยิ่ง ถามเสียงสั่นว่า “ท่านหมอเทวดา นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”