ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 154 องค์รัชทายาทเยี่ยมคนป่วย
ตอนที่ 154 องค์รัชทายาทเยี่ยมคนป่วย
หมอเทวดาหลี่มองพระชายาผิงหนานอ๋อง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้คลื่นความรู้สึก “ลูกธนูทำให้อวัยวะภายในบาดเจ็บหนัก ทั้งยังทิ้งไว้ในร่างกายเป็นเวลานาน เทพเซียนมาก็ยากจะช่วยชีวิตได้ ข้าไม่ใช่เทพเซียน อย่างมากที่สุดก็สามารถรับรองได้ว่า ขณะที่นำลูกธนูออกมาจากร่าง ท่านอ๋องจะไม่เสียชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไป สำหรับเรื่องอื่นๆ นั้น ก็ไม่สามารถรับรองได้แล้ว…”
พระชายาผิงหนานอ๋องฟังออกถึงความหมายหลายอย่างในนั้น ดวงหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด “ความหมายของท่านก็คือ…แม้ว่าจะนำลูกธนูออกมาได้โดยไม่เป็นอันใด แต่ท่านอ๋องก็อาจจะ ก็อาจจะ…”
หมอเทวดาหลี่ลูบเคราด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่ใช่อาจจะ เดิมก็มีโอกาสตายถึงเก้าส่วน ตายไปถึงจะเป็นเรื่องปกติ”
พระชายาผิงหนานอ๋องหนังตาสั่นไหว มีท่าทีจะเป็นลม
เว่ยเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านหมอเทวดา เสด็จแม่ของข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ไหว…”
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หมอเทวดาหลี่ก็ยิ่งไม่เกรงใจ ยิ้มเยาะออกมาทันที “ข้ารับผิดชอบแค่รักษาอาการป่วย ไม่รับผิดชอบปลอบใจผู้คน สถานการณ์ของท่านอ๋องเป็นเช่นนี้ พวกท่านพิจารณาให้ดี อย่ามาทำเป็นรู้ชัดอยู่แก่ใจว่าเป็นคนที่จะต้องตายแล้ว แต่รอจนข้าลงมือช่วยชีวิตแล้วฟื้นตัวไม่ดีก็หวนกลับมาทำลายชื่อเสียง หาว่าข้าเป็นพวกหลอกลวงเชียว”
เมื่อเห็นหมอเทวดาหลี่เอาสองมือไพล่หลัง ท่าทางไม่ขอข้องเกี่ยว เว่ยเฟิงก็อดมองไปทางพระชายาผิงหนานอ๋องไม่ได้
เรื่องใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องให้พระชายาผิงหนานอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจ
“เสด็จแม่…” ท่านหญิงน้อยเว่ยเหวินเอ่ยเรียกทั้งน้ำตา
นัยน์ตาเฉื่อยชาของพระชายาผิงหนานอ๋องค่อยๆ กลอกมองไปทางหมอเทวดาหลี่
นางอยากจะมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวชายชราที่ถูกผู้คนบนโลกนับถือเป็นเทพเซียนที่มีชีวิต และได้รับการรับรองสักสองสามประโยค แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นใบหน้าเมินเฉยดวงหนึ่ง
พระชายาผิงหนานอ๋องมองไปทางหมอหลวงหลายท่านนั้นอีกครั้ง
หมอหลวงหลายท่านก้มหน้าปรับจิตใจให้สงบนิ่ง ท่าทางราวกับพยายามลดการมีตัวตนของตนเองให้น้อยลง
พระชายาผิงหนานอ๋องตะลึง สุดท้ายความลังเลเป็นหมื่นเป็นพันครั้งก็กลายเป็นคำพูดไม่กี่คำที่เล็ดลอดออกมาจากไรฟัน “เชิญท่านหมอเทวดาลงมือ…”
เมื่อเอ่ยประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่งจบ นางก็ทรุดตัวลงคล้ายกับถูกสูบพลังทั้งหมดไป
เว่ยเหวินประคองร่างพระชายาผิงหนานอ๋องเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “เสด็จแม่ ท่านไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ”
พระชายาผิงหนานอ๋องสั่นไปทั้งร่างไม่หยุด ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงไปปลอบโยนบุตรี
หยาดน้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ของเว่ยเหวินรินไหลอาบแก้ม ร่วงกระทบลงบนพื้น
ไม่ได้ยินเสียง แต่กลับทำให้ในใจนางรู้สึกสิ้นหวัง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ท่านหมอเทวดาที่เชิญมาก็ไม่สามารถทำให้เสด็จพ่อฟื้นตัวได้หรือ
“พระชายาคิดดีแล้วหรือ” ก่อนเดินเข้าไป หมอเทวดาหลี่ก็ยืนยันอีกครั้ง
พระชายาผิงหนานอ๋องพยักหน้าอย่างยากลำบาก
“ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านอ๋อง…”
พระชายาผิงหนานอ๋องออกแรงกำหมัด เอ่ยเสียงสั่น “เช่นนั้นก็เป็นชะตาของท่านอ๋อง ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับท่านหมอเทวดา…”
ดวงหน้าหมอเทวดาหลี่ที่ราบเรียบมาตลอดถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนและไล่คนที่คอยปรนนิบัติออกไปจนหมด
หมอหลวงหลายท่านรีบเขยิบไปที่หน้าประตูแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ขึ้นมา
“ตำแหน่งนั้น ท่านหมอเทวดาจะดึงลูกธนูออกมาได้อย่างไร”
“ยาก ยากเกินไปแล้ว หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะทำให้เลือดออกมาก”
“ลูกธนูอยู่ในร่างกายท่านอ๋องคืนหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะควบคุมเลือดออกได้ ก็เกรงว่าภายในคงเป็นหนองแล้วเช่นกัน…”
…
พระชายาผิงหนานอ๋องได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้แล้วก็ร่างโงนเงน เว่ยเหวินนั้นน้ำตานองหน้า
เว่ยเฟิงบันดาลโทสะจึงเอ่ยด้วยความโมโหว่า “เหตุใดเมื่อครู่หมอหลวงทุกท่านถึงไม่เอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าท่านหมอเทวดาเล่า”
ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ เพราะตั้งใจจะขู่เสด็จแม่กับน้องสาวของเขาโดยเฉพาะหรือไร
หมอหลวงหลายท่านฟื้นคืนสู่ท่าทางก้มหน้าปรับจิตใจให้สงบนิ่ง ไม่พูดอะไรอีก
อยากด่าก็ด่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็รักษาไม่ได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หมอเทวดาหลี่ก็เดินออกมาแล้ว
พระชายาผิงหนานอ๋องพุ่งเข้าไปถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านหมอเทวดา ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ตาย สามารถเข้าไปดูแลได้แล้ว”
พระชายาผิงหนานอ๋องเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ก็เห็นคราบเลือดบนสาบเสื้อสีขาวราวหิมะของผิงหนานอ๋องได้ในทันที
นางปิดปาก ร่ำไห้อย่างไร้เสียง
หลังจากนั้นการเตรียมยา เคี่ยวยา และสิ่งที่ต้องระวังก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายอย่างละเอียด
ผู้ดูแลคนหนึ่งรีบร้อนเข้ามารายงาน “พระชายา องค์รัชทายาทมาขอรับ”
พระชายาผิงหนานอ๋องซับน้ำตาจนแห้งแล้วพาสองพี่น้องเว่ยเฟิงออกไปต้อนรับ
เว่ยเชียงนำของขวัญจำนวนมากมาด้วย เป็นตัวแทนของฮ่องเต้ในการมาเยี่ยมผิงหนานอ๋อง
“องค์ชาย…” เมื่อได้พบเว่ยเชียง พระชายาผิงหนานอ๋องก็คล้ายจะหาบุคคลสำคัญที่สามารถพึ่งพาได้พบ หยาดน้ำตาไหลพราก
ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร เซียงเอ๋อร์ก็ยังคงเป็นบุตรชายคนโตของนางในใจนางเสมอ เด็กที่ตั้งใจเลี้ยงดูสั่งสอนในฐานะผู้สืบทอดจวนอ๋องตั้งแต่ยังเยาว์วัย
สำหรับนาง เซียงเอ๋อร์กับเฟิงเอ๋อร์ แบกรับความหวังเอาไว้ไม่เหมือนกัน เฉกเช่นความหวังที่บิดามารดาทุกจวนที่มีต่อบุตรชายคนโตซึ่งเกิดแต่ภรรยาเอก
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของพระชายาผิงหนานอ๋อง อารมณ์ของเว่ยเชียงก็ซับซ้อนยิ่ง
ด้านหนึ่ง เขาก็กล่าวโทษเสด็จพ่อที่สังหารลั่วเอ๋อร์ทิ้งโดยไม่สนใจความคิดของเขา อีกด้านหนึ่ง อย่างไรสายเลือดและความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็ตัดกันไม่ขาด
โดยเฉพาะตอนนี้ที่บิดาผู้ให้กำเนิดจะเป็นหรือตายนั้นก็ยังคาดเดาได้ยาก มารดาผู้ให้กำเนิดก็หวาดหวั่นไร้ที่พึ่ง
เขาก็ไม่อยากเห็นบิดาผู้ให้กำเนิดเกิดเรื่อง และมารดาผู้ให้กำเนิดต้องเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม
เว่ยเซียงก้าวเท้าเข้าไปปลอบโยน ทั้งที่ความคิดเหล่านี้ยังโหมซัดสาด “อาสะใภ้ไม่จำเป็นต้องกังวล เสด็จอาเป็นคนดีย่อมได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“เพคะ องค์ชายมาเยี่ยมเขา เขาจะต้องดีขึ้นแน่ๆ…” พระชายาผิงหนานอ๋องกุมมือของเว่ยเชียงเอาไว้ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง
เซียงเอ๋อร์ไม่ได้พูดคุยกับนางแบบนี้นานมากแล้ว
เว่ยเฟิงทนดูต่อไปไม่ไหวอยู่บ้างจึงอ้าปากเอ่ยว่า “พี่…”
เมื่อได้รับสายตาที่เว่ยเซียงกวาดมองมา เขาจึงเปลี่ยนวาจา “องค์ชาย เข้าไปเยี่ยมเสด็จพ่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่เห็นว่าพี่ใหญ่จะร้อนใจอะไร
หรือว่าในใจของพี่ใหญ่ ท่านหญิงชิงหยางมีความสำคัญมากขนาดนั้น เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และญาติล้วนอยู่ด้านหลัง
หากว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ จะมีแต่ซาบซึ้งใจที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทำให้เขาได้ครอบครองทุกอย่าง
อยากเป็นบุรุษที่สูงศักดิ์ที่สุดในต้าโจว เสียสละสตรีนางหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้
ของมีค่าสองสิ่งมักจะไม่ได้มาครอบครองพร้อมกันโดยง่าย พี่ใหญ่ไม่รู้จักพอเกินไปแล้ว
ความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตเหล่านั้นค่อยๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นกระแสธารใต้น้ำเงียบๆ
เว่ยเฟิงจ้องแผ่นหลังที่เดินเข้าไปในห้องของเว่ยเซียงด้วยแววตาเคร่งขรึม
หากเขาเป็นพี่ใหญ่ก็คงจะดี…
เมื่อเดินออกมาจากจวนผิงหนานอ๋อง เว่ยเชียงก็เอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้า
ขอบฟ้าไร้เมฆา แสงอาทิตย์เจิดจ้า
อารมณ์ของเว่ยเชียงกลับไม่ดีนัก
ไม่เพียงเพราะชีวิตของเสด็จพ่อตกอยู่ในอันตราย น่าจะพูดได้ว่า ทุกครั้งที่มาเยือนจวนผิงหนานอ๋อง อารมณ์เขาล้วนไม่ค่อยดี
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ?”
หากเขาเป็นพี่ใหญ่ก็คงจะดี…
ขอบฟ้าไร้เมฆา แสงอาทิตย์เจิดจ้า
ไม่เพียงเพราะชีวิตของเสด็จพ่อตกอยู่ในอันตราย น่าจะพูดได้ว่า ทุกครั้งที่มาเยือนจวนผิงหนานอ๋อง อารมณ์เขาล้วนไม่ค่อยดี
เมื่อเดินออกมาจากจวนผิงหนานอ๋อง เว่ยเชียงก็เอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้า
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ?”
เว่ยเชียงมองโต้วเหริน ขันทีคนสนิทที่ติดตามเขามาด้วย
“ข้างนอกอากาศร้อน พระองค์รีบกลับวังเถอะพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเหรินรู้ว่า เว่ยเชียงอารมณ์ไม่ดีจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง
เว่ยเชียงไม่ได้เอ่ยตอบ หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เสด็จอาผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหารที่หอสุราไหน”
จุดเด่นที่สุดของโต้วเหรินก็คือเฉลียวฉลาด
ยามที่ข่าวผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหารบนถนนลือเข้าไปในวัง เขาก็ไปสอบถามกับองครักษ์แล้วจึงได้ยินเรื่องหอสุรามาบ้างพอดี
“กระหม่อมได้ยินมาว่า หอสุราแห่งนั้นมีชื่อว่ามีหอสุรา คุณหนูลั่วซึ่งเป็นบุตรีอันเป็นที่รักของแม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นผู้เปิดพ่ะย่ะค่ะ”
คุณหนูลั่วหรือ
ในสมองของเว่ยเชียงพลันมีภาพการพบเจอลั่วเซิงที่สวนบุปผาจวนอ๋องพาดผ่าน
สตรีชั่วร้ายที่ถืองูขู่สาวใช้คนนั้น ถึงกับเปิดหอสุราแห่งหนึ่งด้วยหรือ
“หอสุราแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ใด”
“อยู่บนถนนชิงซิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเชียงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า “ไปดูสักหน่อย”
“ฝ่าบาท ไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเพิ่งถูกลอบสังหารที่หอสุราได้ไม่นาน ตอนนี้ก็ยังตามหาตัวคนร้ายไม่พบ…”
เว่ยเชียงก้าวเท้ายาวตรงไปด้านหน้าโดยไม่สนใจ
โต้วเหรินรีบร้อนตามไป พลางถอนหายใจในใจ
“ที่นั่นหรอกหรือ” เว่ยเชียงหยุดมองหอสุราซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ประตูใหญ่ปิดสนิทพลางถาม
ตอนนี้เงาร่างสายหนึ่งปรากฏเข้าสู่ครรลองสายตาของเขา