ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 156 ติดต่อ
ตอนที่ 156 ติดต่อ
สายตาลั่วเซิงหยุดอยู่ที่หยดน้ำบนมุมปากของเขา นางยิ้มๆ “คุณชายใหญ่หลินมีความรับผิดชอบจริงๆ”
หากรู้เช่นนี้แต่แรก นางคงคว่ำกระบวยน้ำใส่หน้าของเจ้าหมอนี่ไปแล้ว
เมื่อหลินเถิงต้องเผชิญกับสายตาลึกล้ำคู่นั้น จู่ๆ เขาก็ทำตัวไม่ถูก
คุณหนูลั่วจ้องหน้าเขาอย่างตั้งใจขนาดนั้นทำไมนะ
ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษใดๆ เวลาที่มาดื่มสุราที่นี่ นางดูไม่น่าจะคิดอะไรกับเขานี่
หลินเถิงที่ดูเป็นคนจริงจังนั้น อันที่จริงนั้นขี้อายมาก ทันทีที่คิดเช่นนี้หูของเขาก็แดง รีบพูดว่า “ไม่รบกวนคุณหนูลั่วแล้ว ข้าจะออกไปเดินดูรอบๆ”
“คุณชายใหญ่หลินไปทำธุระเถอะ” ลั่วเซิงยิ้มน้อยๆ
เมื่อหลินเถิงพาลูกน้องหายลับไปจากสายตา สีหน้าลั่วเซิงก็เยือกเย็น หันหลังเดินเข้าไปหอสุรา
ในหอสุราไม่ได้ต่างจากปกติ ห้องโถงยังคงสะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย
เนื้อกำลังถูกตุ๋นในหม้อขนาดใหญ่ในห้องครัว กลิ่นหอมจนทำให้อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ไม่สิ ครานี้มีกลิ่นหอมของสุราเพิ่มมาด้วย
มันคือสุราส้มที่เมื่อครู่นี้ซิ่วเย่ว์ทำตกตอนที่เว่ยเชียงอยู่ที่นี่
มีเพียงกลิ่นหอมหลงเหลือ เศษกระเบื้องที่แตกกระจัดกระจายบนพื้นถูกชายมีหนวดและชายฉกรรจ์เก็บกวาดไปแล้ว
หงโต้วยืนอยู่ในสวน มือข้างหนึ่งเท้าเอว ยิ้มชื่นชมทั้งสองคน “พวกเจ้าสองคนขยันจริงๆ ไม่เหมือนใครบางคนที่ประมาทเลินเล่อ เสียของดีๆ ไปเปล่าๆ”
หากนางทำถ้วยจานแตกยังพอทนได้ หรือกระทั่งทำแจกันดอกไม้โบราณแตกก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ตกแตกนั้นเป็นสุราชั้นดีที่คุณหนูเป็นคนบ่ม นางทนไม่ได้หรอก
ชายมีหนวดและชายฉกรรจ์หัวเราะโง่งม จากนั้นก็แยกย้ายไป คนหนึ่งไปตัดฟืน อีกคนไปหยิบไม้กวาดกวาดสนามหญ้า
ขัดใจพี่ใหญ่หงโต้วไม่ได้ ขัดใจแม่ครัวใหญ่อาซิ่วก็ไม่ได้ พวกเขาไปทำงานดีกว่า
ทำงานดีจะตาย ตั้งใจทำงาน ตั้งใจกินข้าว ชีวิตแบบนี้ให้เขาเป็นเทพเขาก็ไม่เอา
ลั่วเซิงเดินเข้ามา
“คุณหนู” หงโต้วรีบเข้ามาหา “เมื่อวานบ่าวเห็นลู่หู่บดถั่วเหลืองเยอะมาก วันนี้เราจะทำเต้าหู้หรือเจ้าคะ”
เต้าหู้ก็ไม่เลว ขาวๆ นิ่มๆ ทำเป็นเต้าฮวย หรือไม่ก็นำไปจี่ให้เป็นสีเหลืองทั้งสองด้าน โรยต้นหอมเล็กน้อย ไม่ว่าทำแบบไหนก็อร่อย
“ข้าขอไปดูก่อนว่าอาซิ่วเตรียมถึงไหนแล้ว พวกเจ้าทำความสะอาดหอสุราทั้งในและนอกให้ดีๆ จะได้ปัดเป่าเคราะห์ร้าย” ลั่วเซิงสั่งเสร็จก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องครัว
เนื่องจากเป็นหอสุรา พื้นที่ห้องครัวจึงมีขนาดใหญ่มาก
อาซิ่วกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าโต๊ะที่อยู่ด้านในสุด
“อาซิ่ว” ลั่วเซิงเรียก
ซิ่วเย่ว์รีบหันไป เมื่อเห็นว่าเป็นลั่วเซิง ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกอึดอัดในใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จู่ๆตาก็แดง
นางหลุบตาลงเพื่อปกปิดอาการ ย่อเข่าให้ลั่วเซิงเล็กน้อย “คุณหนู”
“ตามข้าเข้าไปนั่งในห้อง” ลั่วเซิงพูดทิ้งท้าย หันหลังเดินออกไป
อาซิ่วซับหางตาเบาๆ และเดินตามไปเงียบๆ
หงโต้วและคนอื่นๆ กำลังวุ่นอยู่กับการเก็บกวาด ไม่มีผู้ใดสนใจทางนี้
แม้จะเห็นก็ไม่เป็นไร คุณหนูอยากทำอะไรก็ย่อมได้
เมื่อเข้าไปในห้อง ลั่วเซิงนั่งลง ส่งสัญญาณให้ซิ่วเย่ว์นั่งลงด้วย
ซิ่วเย่ว์ไม่นั่ง
ลั่วเซิงไม่ได้บังคับ นางพูดขึ้นว่า “วันนี้อาซิ่วเห็นรัชทายาทแล้วเหมือนกับว่าจะวิตกเล็กน้อย”
นางไม่ได้พูดต่อไป รอซิ่วเย่ว์ตอบ
ตั้งแต่การพบกันระหว่างทางเข้าเมืองหลวงไปจนถึงการเปิดเผยสิ่งของของท่านหญิงชิงหยางทีละน้อยหลังจากมาถึงเมืองหลวง จนกระทั่งเมื่อคืนนี้นางจงใจให้ซิ่วเย่ว์เห็นนางโผล่ออกมาจากห้องเก็บสุราในชุดสีดำ นางไม่เชื่อว่าซิ่วเย่ว์ยังคงไม่เต็มใจที่จะเข้าหานางจนถึงบัดนี้
เรื่องบางเรื่องน้ำมาคลองจึงเกิด
และแล้วก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ลั่วเซิงพูดเสร็จ ซิ่วเย่ว์ก็ตัวเกร็ง มองไปที่นางถามว่า “ผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหารเมื่อคืน เกี่ยวข้องกับคุณหนูหรือไม่…”
“ข้าเป็นคนทำ” ลั่วเซิงพูดอย่างใจเย็น หยิบกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมารินชาให้ตนเองจอกหนึ่ง
“คุณหนูเป็นคน…” ซิ่วเย่ว์เบิกตากว้าง ไม่รู้จะพูดต่อไปอย่างไร
ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่ง พูดอย่างสบายๆ ว่า “ข้าเอง ข้าซ่อนตัวบนต้นไม้แล้วยิงเขาด้วยธนู น่าเสียดายที่เขาไม่ตาย”
“เหตุใดท่าน… เหตุใด…” ซิ่วเย่ว์ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
ลั่วเซิงวางจอกชาลง สบตากับซิ่วเย่ว์ พูดเสียงเบาว่า “จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่มีคำตอบในใจหรือ”
ซิ่วเย่ว์สะดุ้ง ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“ทะ ท่านหญิง…” นางเดินขึ้นไปอีกหนึ่งก้าว มองลั่วเซิงอย่างสับสน “ท่านจริงๆ หรือ”
ลั่วเซิงลุกขึ้น จับมือของซิ่วเย่ว์ที่ยื่นออกมาโดยไม่รู้ตัว
มือนั้นบางและหยาบเหมือนมือของหญิงชรา แต่ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าลั่วเซิงว่าซิ่วเย่ว์มีอายุไม่ถึงสามสิบ
ลั่วเซิงยืนใกล้ซิ่วเย่ว์ พูดเสียงเบาว่า “ข้าเอง ซิ่วเย่ว์”
นางหลับไปหนึ่งตื่น ตื่นมาอีกครั้งผ่านไปสิบสองปี จากท่านหญิงชิงหยางผู้สูงศักดิ์กลายเป็นคุณหนูลั่วผู้เย่อหยิ่งป่าเถื่อน เดินเดียวดายบนโลกใบนี้ด้วยเนื้อหนังและร่างๆ นี้
ร่างกายอยู่บนโลก หัวใจอยู่ในนรก
ในที่สุดวันนี้ก็ได้ติดต่อกับสาวใช้คนเก่าในฐานะของท่านหญิงชิงหยาง
นางคือท่านหญิงชิงหยาง คือลั่วเอ๋อร์ของท่านพ่อและท่านแม่ ไม่ใช่คุณหนูลั่ว
“ท่านหญิง!” ซิ่วเย่ว์คุกเข่าข้างหน้าลั่วเซิง กอดขาทั้งสองข้างของนางแล้วร้องไห้อย่างหนัก
ลั่วเซิงนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้อีกฝ่ายระบายความรู้สึกออกมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดเสียงร้องไห้ของซิ่วเย่ว์ก็หยุดลง
“ลุกขึ้นมาพูดเถิด”
ซิ่วเย่ว์ลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาเบาๆ เมื่อดีขึ้นแล้วจึงถามลั่วเซิง “ท่านหญิง เหตุใดท่านจึง…”
ลั่วเซิงจัดการอารมณ์ของตนเองเสร็จก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก “อาจเป็นเพราะสวรรค์เวทนา ให้ข้ายืมศพคืนชีพกลายเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว”
“เพราะสวรรค์มีตา เพราะสวรรค์มีตา…” ซิ่วเย่ว์พูดวกไปวนมา ยิ่งเช็ดน้ำตา น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา
ลั่วเซิงตบไหล่ซิ่วเย่ว์เบาๆ “หยุดร้องได้แล้ว พูดเรื่องเสี่ยวชีหน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ซิ่วเย่ว์ตั้งสติได้ในทันที นางมองลั่วเซิงด้วยสีหน้าตื้นตัน “ท่านหญิง เสี่ยวชีก็คือเป่าเอ๋อร์ของท่านอ๋องเจ้าค่ะ!”
“เป่าเอ๋อร์?” ลั่วเซิงถอยหลังหนึ่งก้าว นั่งกลับไปบนเก้าอี้อย่างสับสน
ที่จริงแล้วนางก็เคยคิดว่าเสี่ยวชีก็คือเป่าเอ๋อร์ แต่นางกลับไม่กล้าคิดมากไปกว่านั้น
ยิ่งคาดหวังมาก ยิ่งเสียใจมาก
“ตามข่าวที่ข้าสืบรู้มา เป่าเอ๋อร์ถูกคนของแม่ทัพใหญ่ลั่วโยนลงมาและตายตั้งแต่ค่ำคืนเมื่อสิบสองปีก่อน…” ลั่วเซิงจับที่พักแขนของเก้าอี้ไว้แน่น กัดฟันเอ่ย
“นั่นไม่ใช่เป่าเอ๋อร์แน่นอน!” ซิ่วเย่ว์เช็ดน้ำตา นางยิ้มทั้งน้ำตา
ลั่วเซิงรอนางสงบอารมณ์ลงเสร็จแล้วก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ซิ่วเย่ว์ตกอยู่ในห้วงความทรงจำ “เดิมคืนนั้นจวนอ๋องล้วนตกอยู่ในความยินดีปรีดา จู่ๆ ก็ถูกทหารมากมายล้อมไว้… ทหารในจวนล้มลงทีละคน หยางจุ่นพาท่านอ๋องน้อยหนีออกไป บ่าวเห็นกับตา…”
นางเห็นคู่หมั้นตนรับคำสั่งในยามวิกฤต เขาพาเป่าเอ๋อร์ที่ยังถูกห่ออยู่ในผ้าห่อตัววิ่งออกไปข้างนอก
เขาทำได้เพียงมองนางจากที่ไกลๆ ไม่ทันได้กล่าวลาแม้แต่คำเดียวก็จากไปเช่นนั้น
นางย่อมไม่ถือโทษโกรธเขา นางแค่โมโหที่ตนเองทำอะไรไม่ได้ นางไม่สามารถฆ่าศัตรูเพื่อช่วยเขาได้
ผู้ที่คู่หมั้นพาไปคือความหวังของจวนเจิ้นหนานอ๋อง
ต่อมานางเป็นผู้โชคดีที่เหลือรอด นางทำลายโฉมหน้าด้วยมือของตนเอง ความคิดเพียงหนึ่งเดียวเมื่อมีชีวิตอยู่คือหาหยางจุ่นและท่านอ๋องน้อยให้เจอ
ลั่วเซิงฟังซิ่วเย่ว์เล่าเหตุการณ์ที่นางไม่รู้ในค่ำคืนนั้น ดวงตานางก็เริ่มแดง
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ เสี่ยวชีคือเป่าเอ๋อร์ ส่วนทารกที่ร่วงตกลงมาตายในคืนนั้นคงจะเป็นผู้น่าสงสารที่ถูกผลักออกไปแทนเพื่อคุ้มกันเป่าเอ๋อร์
ลั่วเซิงดีใจที่น้องเล็กยังมีชีวิตและเสียใจกับเด็กน้อยไร้เดียงสาคนนั้น
บาปกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากจวนผิงหนานอ๋อง
บัดนี้ หลินเถิงที่เดินไปมาไม่รู้กี่ครั้งบนถนนเส้นนี้จู่ๆ ก็หยุดลงที่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง