ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 175 ดื่มมากเกินไปหรือไม่ได้ดื่มมากเกินไป
ตอนที่ 175 ดื่มมากเกินไปหรือไม่ได้ดื่มมากเกินไป
ลั่วเซิงเดินเข้ามายิ้มให้เว่ยเชียงเล็กน้อย “องค์ชายคิดว่าแบบนี้ดีหรือไม่เพคะ”
เว่ยเชียงสูดหายใจเข้าลึก ยับยั้งอาการมือสั่นที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติเอาไว้ ค่อยๆ ฝืนยิ้ม “มิเป็นไร พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คนส่งเงินมาให้”
ทุกคนพยักหน้าเงียบๆ
พวกเขาเข้าใจความรู้สึกขององค์รัชทายาทจริงๆ
ตอนนี้พวกเขาเองก็ไม่กล้าลงบัญชี หาเงินเพียงพอแล้วค่อยมากิน ไม่เช่นนั้นลูกน้องหอสุราไปเก็บเงินที่จวน เสือตัวเมีย[1]ในจวนจะรู้เข้า
“ก็ดีเพคะ เอาที่องค์ชายสะดวก” ลั่วเซิงวางตัวดีมาก ทั้งอ่อนโยนและใจกว้าง
แต่เว่ยเชียงอยากจะสั่งสอนนังหนูน้อยคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงสั่งอาหารได้ไม่จำกัด
ทุกคนพากันลุกขึ้นเตรียมจากไป
เว่ยหานเอ่ยปากขึ้นในครานี้ “ข้าขอไชเท้าดองที่หนึ่งกลับจวน”
ทุกคนชะงักฝีเท้า
ใช่แล้ว ยังซื้อไชเท้าดองกลับได้ด้วยนี่
ไชเท้าดองของมีหอสุรารสชาติเปรี้ยวเผ็ดอมหวานเล็กน้อย รสสัมผัสกรุบกรอบ เหมาะสำหรับกินกับข้าวมากที่สุด
“ลงบัญชีข้าเลย” เว่ยหานเสริม
ทุกคนตั้งสติได้ พูดขึ้นว่า “ขอไชเท้าดองให้ข้ากลับจวนหนึ่งที่ จ่ายสด!”
คำว่า ‘จ่ายสด’ สองคำนี้ พวกเขาพูดด้วยความภาคภูมิ
มันแน่นอนอยู่แล้ว มีตั๋วเงินอยู่เต็มกระเป๋า คิดไม่ถึงว่ามื้อนี้ไม่ต้องเสียเงิน
ก็แค่ไชเท้าดองหนึ่งโถสองตำลึง หากซื้อได้ไม่จำกัด ซื้อสองโถก็ยังได้
เว่ยเชียงมองคนงานสองสามคนที่เริ่มยุ่งขึ้นมา ไม่นานทุกคนก็ได้โถกระเบื้องสีดำใบเล็กคนละโถ เขาก็ยิ่งรู้สึกเศร้าสลด
ใช่ เขายอมรับว่าอาหารของหอสุราอร่อยมาก แม้จะราคาสูงแต่ก็ทำให้เขามีความคิดว่าหากมีโอกาสจะมากินอีกครั้ง
แต่ขุนนางราชสำนักผู้สูงศักดิ์เหล่านี้กินมากเกินไปหรือไม่
กลุ่มชายชราอายุเฉลี่ยเกือบหกสิบกลุ่มนี้ กินมากมายเช่นนี้ไม่กลัวอาหารไม่ย่อยหรืออย่างไร
โถกระเบื้องดำใบน้อยใบหนึ่งถูกผลักไปข้างหน้าเว่ยเชียง
เว่ยเชียงเงยหน้ามอง สบตากับคนถือโถกระเบื้อง
“โถนี้ให้องค์ชายเพคะ”
แถมให้?
เว่ยหานมองมาด้วยสายตาเย็นชา
ทุกคนที่อุ้มโถไชเท้าดองต่างมองมา
เหตุใดยังแถมให้ด้วยนะ
ลั่วเซิงยิ้มอธิบายว่า “ตั้งแต่ที่หอสุราเปิดกิจการมา นี่เป็นมื้อที่ใช้จ่ายเยอะที่สุด ในฐานะที่เป็นเจ้าของหอสุรา หม่อมฉันอยากจะขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงสนับสนุน ดังนั้นจึงขอมอบไชเท้าดองให้หนึ่งโถเพคะ”
เว่ยเชียง “…” ใช้มีดแทงหัวใจเขายังดีเสียกว่าอธิบายให้ทุกคนฟัง
ทุกคนแสดงสีหน้ากระจ่าง อดพยักหน้าไม่ได้
ใช่ๆ สมควรแถมให้จริงๆ ห้าพันหกร้อยยี่สิบตำลึงเชียวนะ
พูดจากใจจริง แค่คิดถึงยอดเงินจำนวนนี้ พวกเขาก็รู้สึกวิงเวียนแล้ว
บางคนเมารถม้า บางคนเมาเรือ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่เมาจำนวนเงินด้วย
เดิมเว่ยเชียงอยากจะปฏิเสธ
เขาเป็นองค์รัชทายาท นังหนูน้อยคนนี้พูดอะไรนิดหน่อยเขาก็รับเอาไว้ ดูน่าอายเกินไป
แต่เมื่อคิดถึงไชเท้าดองที่เมื่อครู่นี้ได้ชิมก็ปฏิเสธไม่ลง
เขาจำได้ว่าอวี้เหนียงชอบทานไชเท้าดองมาก
อวี้เหนียงมักไม่ค่อยอยากอาหาร ดังนั้น ไชเท้าดองจานนี้จึงเป็นเครื่องเคียงที่พบได้ทั่วไปบนโต๊ะอาหารในฤดูร้อน
บางครั้งเขาไปกินอาหารกับอวี้เหนียงและลองชิมบ้าง เพียงแต่ว่ารสชาติดีไม่เท่าไชเท้าดองวันนี้เลย
หากมีไชเท้าดองไปฝากอวี้เหนียง นางน่าจะดีใจมากกระมัง
เว่ยเชียงคุร่นคิดพลางรับโถกระเบื้องสีดำมา
“ขอบใจคุณหนูลั่ว” โถไชเท้าดองกดทับลงบนมือของเขาอย่างหนักอึ้ง เช่นเดียวกับหัวใจที่หนักอึ้งของเขาในยามนี้
ทุกคนรู้สึกได้ว่าองค์รัชทายาทอารมณ์ไม่ค่อยดีนักจึงรีบแยกย้ายอำลาไปพร้อมกับไชเท้าดอง
เว่ยหานอยู่รอเป็นคนสุดท้าย
“ท่านอ๋อง ต้องขออภัยด้วย หอสุราปิดแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงเอ่ยปากเสียงราบเรียบ
อิ่มหนำสำราญแล้ว อยู่ที่นี่อีกทำไม
“คุณหนูลั่วลืมเรื่องๆ หนึ่งไป” ชายคนนี้คงดื่มสุราไปไม่น้อย สายตาเป็นประกายจนน่าตกใจ
ลั่วเซิงยังคงทำตัวสบายๆ “เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“วันนี้ไม่มีอาหารแถม” เว่ยหานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ลั่วเซิงรู้สึกถึงความเสียใจในน้ำเสียงนั้น นางเหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้องค์รัชทายาทอยู่ด้วย”
ชายที่ดูกรึ่มๆ เหมือนกับว่าได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นเจอกันพรุ่งนี้”
เดิมลั่วเซิงไม่อยากสนใจ แต่เมื่อคิดถึงวันนี้ที่ได้เชือดเว่ยเชียงมื้อหนึ่ง ชายตรงหน้านี้ก็ถือว่าทำคุณไว้มาก นางจึงพยักหน้า “เจอกันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“เจอกันพรุ่งนี้” เว่ยหานอมยิ้ม พูดขึ้นอีกครั้ง
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “สือเยี่ยน ท่านอ๋องดื่มมากแล้ว เจ้าไปส่งหน่อยเถอะ”
สือเยี่ยนกำลังจะเดินเข้ามา เว่ยหานก็หัวเราะเบาๆ พูดขึ้นว่า “คุณหนูลั่วไปส่งข้าเถอะ”
สือเยี่ยนชะงักอยู่ที่เดิม
นายท่านคิดได้แล้ว?
โอ้ สวรรค์ หรือว่าองค์รัชทายาทเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่งยังทำให้เกิดผลเช่นนี้
ลั่วเซิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
หรือว่าไคหยางอ๋องมีเรื่องอยากคุยกับนางส่วนตัวนะ
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
เมื่อเดินออกจากหอสุรา ลมอุ่นๆ ก็พัดมา ไม่ได้สบายเหมือนกับอยู่ในหอสุรา
เข้าสู่ฤดูกาลที่ร้อนที่สุดของปี แม้จะเป็นตอนกลางคืนก็ไม่ได้รู้สึกสบาย
แต่ไม่เหมือนกับในหอสุราที่มีกะละมังใส่น้ำแข็งจำนวนหนึ่งบริเวณมุมห้อง เพื่อรักษาความอยากอาหารของแขกในหอสุรา
หากพูดจากมุมนี้ อาหารราคาแพงย่อมมีเหตุผลของมัน
เว่ยหานไม่ได้พูดอะไร เขารักษาระยะห่างเดินข้างๆ หญิงสาวไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน
เงาด้านหลังทอดยาวขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเดินออกจากแสงสีส้มที่ส่องสว่างของโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ซึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาหอสุรา
ลั่วเซิงไม่เห็นเว่ยหานปริปากเสียที ในที่สุดก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
เว่ยหานชะงักฝีเท้าลง ส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร”
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว
ไม่มีอะไร?
“ในเมื่อไม่มีอะไร เหตุใดท่านอ๋องต้องแยกผู้อื่นออกไปด้วย”
ที่ตั้งใจให้นางมาส่งไม่ใช่เพราะมีอะไรจะพูดหรอกหรือ
เว่ยหานงงงัน “ข้าไม่ได้ตั้งใจแยกผู้อื่นออกไป”
“แล้วท่านอ๋องให้ข้ามาส่ง…” ลั่วเซิงค่อยๆ เข้าใจ ถามหน้านิ่งว่า “ก็แค่ส่งหรือเจ้าคะ”
ไคหยางอ๋องว่างมากหรือไร
เว่ยหานหยุดลง มองหญิงสาวสีหน้าขรึมอย่างไม่เข้าใจ
ก็แค่ส่ง ยังมีความหมายอย่างอื่นหรือ
อาจเป็นเพราะวันนี้เขาดื่มมากไปเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณหนูลั่วเท่าใดนัก
แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เขาเข้าใจดี หากไม่พูดอะไรสักเล็กน้อย เหมือนกับว่าคุณหนูลั่วจะโมโห
องครักษ์น้อยที่ตามอยู่ข้างหลังคอยฟังบทสนทนาของทั้งสอง เขาร้อนรนจนโบกหมัดไปมา
นายท่าน ถึงตรงนี้แล้ว ท่านต้องสู้เขาหน่อยนะ
บอกไปเลยว่าท่านชอบคุณหนูลั่ว โอกาสเหมาะสมขนาดนี้!
เว่ยหานยื่นมือออกไปจับมือของลั่วเซิงขึ้นมา
สือเยี่ยนตื้นตันจนแทบจะกระโดดขึ้นมา
นายท่าน ทำได้ดี!
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว มองชายที่ดูมึนเมาตรงหน้าว่าจะทำอะไร
เห็นเพียงมือข้างที่ว่างของอีกฝ่ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าเงินที่แขวนอยู่บริเวณเอวแล้วหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาวางไว้บนมือของนาง
“คุณหนูลั่ว ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเงินที่จ่ายล่วงหน้าใกล้จะใช้หมดแล้ว เงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี่เจ้ารับไปก่อนเถิด”
อะไรนะ?
สือเยี่ยนเข่าแทบทรุด โมโหจนอยากจะต่อยพื้น
ติดตามนายท่านแบบนี้ อนาคตมืดมนจริงๆ
ลั่วเซิงหลุบตามองตั๋วเงินในมือปึกนั้นแล้วมองมือข้างที่ยังไม่ปล่อยออก เอ่ยทีละพยางค์ว่า “ท่านอ๋อง ท่านดื่มมากเกินไปแล้ว”
“ข้าไม่ได้ดื่มมาก” เว่ยหานสวนขึ้นทันควัน
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “หมายความว่าท่านอ๋องจับมือข้าในขณะที่ยังมีสติอยู่หรือเจ้าคะ”
เว่ยหานเพิ่งตั้งสติได้ว่าตนเองกำลังทำอะไร เขารีบปล่อยมือ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณหนูลั่ว ข้าดื่มมากเกินไปแล้ว”
[1] เสือตัวเมีย เปรียบเปรยผู้หญิงที่มุทะลุ ดุดัน โหดร้าย ในเรื่องหมายถึงภรรยา