ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 183 เดือดดาล
ตอนที่ 183 เดือดดาล
หอสุราเปิดตามเวลา กลับไม่เห็นแขกสักคน
ฝนยังคงตก มองจากหน้าต่างออกไปเห็นเพียงม่านสีเทาไม่สิ้นสุด
โคมไฟของร้านค้าข้างถนนที่แต่เดิมควรจะสว่างในครานี้ก็ดับไปเพราะฝนที่เทลงมาอย่างหนัก
อากาศแบบนี้ ย่อมทำให้แขกประจำของหอสุราล้มเลิกความคิดที่จะมาดื่มสุรา
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ นานๆ ทีจะมีอุปสรรคมาช่วยขัดขวาง หักห้ามขาที่อดที่จะวิ่งไปมีหอสุราไม่ได้
“น้องลั่ว เราปิดร้านก่อนเวลาเถอะ” นี่คือคุณชายสามเซิ่งที่วิ่งฝ่าลมฝ่าฝนมาหอสุรา
ช่วยไม่ได้ ใครให้เขามีความรับผิดชอบขนาดนี้ ฟ้าฝนก็ทำอะไรเขาไม่ได้
ลั่วเซิงมองฝนนอกหน้าต่าง ขัดความคิดของคุณชายสามเซิ่งเพียงประโยคเดียว “จะเปลี่ยนแปลงกฎซี้ซั้วไม่ได้”
ท่ามกลางสายฝน ร่มสีเขียวคันหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว
“คุณหนู เหมือนกับว่าจะมาหอสุราของเราเจ้าค่ะ” หงโต้วตาดี ชี้ไปที่ร่มคันสีเขียวที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้อย่างดีอกดีใจ
แค่ร่มคันเดียวเท่านั้น แสดงว่ามีแค่คนเดียว
แขกแค่คนเดียว ไม่กลัวเขามากินหรอก ให้อยู่ว่างๆ เช่นนี้จนปิดร้านก็ออกจะน่าเบื่อ
คุณชายสามเซิ่งยื่นศีรษะออกไปมอง พูดด้วยความตะลึงว่า “ใครกันน่ะ ฝนตกหนักขนาดนี้ยังมาดื่มสุรา”
หงโต้วยิ้ม “คุณชาย เรามาเดากันเถอะ ใครเดาถูกคืนนี้ได้กินปลาม้วนหรูอี้ของอีกฝ่าย”
“เดาก็เดาสิ ข้าเดาว่าเป็นไคหยางอ๋อง”
หงโต้วหน้าบูด “งั้นจะทำอย่างไรดี ข้าก็เดาว่าไคหยางอ๋อง”
เดาว่าไคหยางอ๋องทั้งสองคน เช่นนั้นจะกินปลาม้วนหรูอี้ของใครเล่า
ปลาม้วนหรูอี้เป็นอาหารจานใหม่
เลาะก้างออกแล้วลอกหนังปลากุ้ยอวี๋ออกทำเป็นเนื้อปลาบด ม้วนกับไข่ทอดและพริกฝอย แล้วนำไปนึ่ง พักให้เย็นแล้วจึงหั่นเป็นท่อนเท่าๆ กัน กลายเป็นม้วนหรูอี้ที่มีความหมายมงคล
แค่เห็นก็น่ากิน กินแค่ชิ้นเดียวไม่พอแน่นอน
“สือซานหั่ว เจ้าคิดว่าคือใคร” หงโต้วเหลือบมองพลางถามสือเยี่ยน
สือเยี่ยนหัวเราะ เหอะๆ
นี่ยังต้องเดาอีกหรือ ฝนตกหนักขนาดนี้ หากมีแขกเพียงคนเดียวมา นอกจากนายท่านของเขาแล้วยังจะมีผู้ใดอีก
ยังมีใครถือร่มได้มั่นคงเช่นนี้ ยังมีใครที่ดูเดินเล่นได้อย่างสบายๆ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเช่นนี้อีก
ในที่สุดร่มสีเขียวที่อยู่ท่ามกลางสายฝนคันนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้
เว่ยหานที่สวนชุดสีดำยืนใต้ชายคาเก็บร่ม เช็ดโคลนที่รองเท้าเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าหอสุรา
“นายท่าน ท่านมาเสียที” สือเยี่ยนเดินขึ้นไปต้อนรับ รับร่มไม้ไผ่ที่มีน้ำหยดมาจากมือของเว่ยหาน
เว่ยหานมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
หากเขาจำไม่ผิด เขาไม่ได้มาแค่เมื่อวาน
โคมไฟส่องสว่างในห้องโถง กลิ่นอาหารหอมอบอวล ทันทีที่เข้ามาราวกับว่าเปลี่ยนมาอยู่อีกโลกใบหนึ่ง
เว่ยหานเห็นร่างในชุดสีเรียบที่คุ้นเคยทันที
นางไม่ได้นั่งข้างโต๊ะคิดเงินเหมือนปกติที่ผ่านมา แต่นั่งโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าต่าง กำลังมองมาด้วยสีหน้าเฉยเมย
เว่ยหานพยักหน้าทักทาย “คุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงพยักหน้าทักทายกลับ ดูเกรงใจและเยือกเย็น
เว่ยหานเดินไปที่ประจำด้วยสีหน้าเช่นเดิม กลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ เหมือนกับว่าคุณหนูลั่วจะทำตัวห่างเหินเขา
เป็นเพราะคืนนั้น… เขาจับมือนางหรือไม่นะ
การกระทำคืนนั้นล่วงเกินนางจริงๆ
ที่เมื่อวานเขาไม่ได้มาก็เพราะอยากจะสงบอารมณ์ มีเวลาครุ่นคิดว่าเหตุใดจึงทำพลาดเช่นนั้น
ครานั้น ความสนใจของเขาอยู่ที่ความโกรธของคุณหนูลั่ว คิดว่าหากนางได้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงแล้วอาจจะหายโกรธ
แต่กลับลืมไปว่าเขาจับมือของนางไว้อยู่
จริงๆ แล้วไม่มีทางที่จะลืมได้
เว่ยหานครุ่นคิดค่อนวัน พยักหน้าอย่างมั่นใจ สำหรับเขาแล้วคุณหนูลั่วต่างจากผู้อื่น
แต่ต่างกันตรงไหนหรือ
เป็นเพราะว่าคุณหนูลั่วเคยดึงเข็มขัดของเขา ตีท้ายทอยเขาและโรยพริกไทยขาวใส่ตาเขา หรือว่าเป็นเพราะคุณหนูลั่วทำอาหารโอชะที่ทำให้เขาลืมไม่ลงแล้วยังทำการใหญ่อย่างการลอบสังหารผิงหนานอ๋องอย่างเงียบๆ
เดิมเขาอยากจะคิดให้เข้าใจก่อนค่อยมา ทว่ากระเพาะอาหารของเขาไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น
เช่นนั้นก็มาวันนี้เลยแล้วกัน หากคิดไม่ออกเสียทีก็คงจะไม่มากินข้าวไปตลอดไม่ได้
เมื่อกินเสร็จแล้วค่อยขอโทษคุณหนูลั่วก็ได้
“นายท่าน วันนี้มีอาหารใหม่เป็นปลาม้วนหรูอี้ ท่านจะลองชิมดูหรือไม่ขอรับ”
“อืม”
ไม่นานอาหารจำนวนหนึ่งก็ถูกยกมาพร้อมกับสุรากาหนึ่ง
ในห้องโถงมีเพียงเว่ยหานที่เป็นแขก พวกหงโต้วล้อมโต๊ะเอาไว้ มองเขากินอาหารจานใหม่ตาปริบๆ
เว่ยหานไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แต่แล้วเมื่อทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็แยกย้าย เพิ่งพบว่าร่างที่คุ้นเคยนั้นหายไปแล้ว
“คุณหนูลั่วเล่า” เว่ยหานถามหงโต้ว
หงโต้วยิ้มแหะๆ “คุณหนูของเรากลับห้องพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญคุณหนูลั่วออกมาหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีอะไรจะพูดกับนาง”
“ท่านรอสักครู่เจ้าค่ะ” หงโต้วหันหลังเดินไป
ในห้อง ลั่วเซิงกำลังอ่านหนังสือ
หงโต้วตกใจ “คุณหนูเหตุใดจึงอ่านหนังสือเวลานี้เจ้าคะ เสียสายตาแย่”
“อ่านเล่นฆ่าเวลาน่ะ” ลั่วเซิงวางหนังสือลง “มีเรื่องอะไรหรือ”
“ไคหยางอ๋องกินเสร็จแล้ว บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “บอกว่าข้าเหนื่อยแล้ว หากมีอะไรฝากเจ้าไว้ก็ได้”
หงโต้วกะพริบตาสองสามที “คุณหนู ท่านเบื่ออยากฆ่าเวลามิใช่หรือ แทนที่จะอ่านหนังสือ มิสู้เรียกไคหยางอ๋องมาคุยเป็นเพื่อนท่านดีกว่านะเจ้าคะ”
ไคหยางอ๋องหน้าตางดงาม ถึงอย่างไรก็น่าดูกว่าหนังสือ
ลั่วเซิงถลึงตาใส่หงโต้ว “อย่าพูดมาก”
“ก็ได้ บ่าวจะไปบอกให้เจ้าค่ะ” หงโต้วเดินกลับห้องโถงบอกเว่ยหาน ในใจกลับสับสันเล็กน้อย
คุณหนูเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ยอมอ่านหนังสือดีกว่าดูบุรุษรูปงาม
เมื่อตั้งใจมองเว่ยหานอีกครั้งก็ยิ่งงงงวย
ไม่ได้ขี้เหร่ลงเสียหน่อย ด้วยสายตาที่นางฝึกฝนมาหลายปี ท่ามกลางบุรุษ ความงดงามของเขาอยู่อันดับต้นๆ เชียวนะ
แต่ว่าคุณหนูคงเห็นใบหน้าหล่อเหลานี้มาหลายเดือนแล้ว คงจะเบื่อแล้วสินะ
เมื่อคิดถึงเหตุผล นังหนูน้อยก็โล่งใจทันที
“ท่านอ๋องมีอะไรก็บอกผ่านข้าได้ หากไม่มีอะไรก็เชิญกลับได้เจ้าค่ะ”
เว่ยหานเงียบลงไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”
ขอโทษต่อหน้าดูจริงใจมากกว่า หากจะบอกผ่านสาวใช้ก็อย่าเลย
เว่ยหานรับร่มที่สือเยี่ยนกางให้ เดินเข้าไปในม่านฝน
ถึงเวลาปิดหอสุราแล้ว แต่ฝนยังคงตกไม่หยุด
เว่ยเชียงคิดว่าวันนี้คุณหนูลั่วมาเป็นแขกในวังบูรพาไม่ได้สร้างปัญหาน่าปวดศีรษะอะไรจึงมาทานอาหารค่ำที่ตำหนักพระพระชายาเพื่อยืนยัน
พระชายากลับพูดถึงเรื่องเลวร้ายหลังจากทานอาหารเสร็จ
“ได้ยินคุณหนูลั่วบอกว่าฝ่าบาทไปเสวยอาหารที่หอสุราที่นางเปิด”
เส้นเลือดตรงขมับของเว่ยเชียงเต้นกระตุก “คุณหนูลั่วบอกเจ้าหรือ”
พระชายาลูบดอกไม้สดข้างขมับ “เพคะ บอกว่าฝ่าบาทเลี้ยงอาหาร แต่ไม่มีเงินจ่าย”
“พระชายา นี่เจ้ากำลังเยาะเย้ยข้าหรือ” เว่ยเชียงลุกพรวด ใบหน้าเขียวคล้ำ
พระชายาประหลาดใจ “สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน หม่อมฉันจะเยาะเย้ยฝ่าบาทได้อย่างไร ฝ่าบาทยังมาขอถอนเงินสองพันตำลึงจากหม่อมฉัน…”
“พอแล้ว!” เว่ยเชียงกัดฟันตัดบทพระชายา “พระชายา ข้าไม่ได้ให้สิทธิ์นายหญิงของวังบูรพาเพื่อให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่งข้านะ”
องค์รัชทายาทสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยสีหน้าเดือดดาล พระชายายกมุมปากยิ้มหยัน
นางตั้งใจทำให้รัชทายาทโมโหจริงๆ ถึงอย่างไรชายคนนี้ก็รักศักดิ์ศรีขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พูดถึงเรื่องนี้แล้วจะไม่หัวเสีย
เท่าที่นางรู้จักเขา ทุกครั้งที่เขาอารมณ์ไม่ดีก็จะไปหาอวี้เสวี่ยนซื่อ
วันฝนตก วันรั้งแขก
ดีจังเลย
พระพระชายาจับดอกไม้ข้างขมับลงมา เปิดหน้าต่างแล้วโยนออกไปตามสายลมและสายฝน