ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 190 หวนคืน
ตอนที่ 190 หวนคืน
เมื่อได้ปากคำจากชิงเอ๋อร์และนางกำนัล แรงจูงใจที่ชุ่ยหงทำร้ายพระชายาก็ชัดเจน
พระชายาสั่งให้ชุ่ยหงจับตามองอวี้เสวี่ยนซื่อ ให้สัญญาว่าชุ่ยหงจะได้เป็นเสวี่ยนซื่อของรัชทายาท
สุดท้ายชุ่ยหงเปิดโปงอวี้เสวี่ยนซื่อ แต่กลับต้องรับใช้อวี้เสวี่ยนซื่อต่อไปในที่ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่า
ชุ่ยหงไม่พอใจอย่างยิ่งกับพระชายาที่ไม่ได้ทำตามสัญญา ทำให้เกิดการกระทำอันน่าสะพรึงอย่างการทำร้ายพระชายาภายใต้ความโกรธแค้น
เว่ยเชียงหน้าขรึมดุจน้ำหมึก
ในแง่หนึ่งก็โมโหชุ่ยหงที่กำเริบเสิบสาน อีกแง่หนึ่งก็โมโหที่พระชายาจิตใจคับแคบ
หลายปีมานี้ พระชายาไม่เคยหาเรื่องอวี้เหนียง เขาคิดว่าพระชายาเป็นคนใจกว้างเสียอีก ใครจะไปคิดว่าจะทนคนอื่นไม่ได้เช่นนี้
แม้เขาจะปฏิบัติกับอวี้เหนียงอย่างแตกต่างจากผู้อื่น แต่ความเคารพที่ควรมีให้พระชายาเขาก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง สตรีใจร้ายเช่นนี้จะดูแลวังบูรพา เป็นชายาที่ดีของรัชทายาทได้อย่างไร
ตอนนี้เขาเป็นเพียงรัชทายาท หากขึ้นครองบัลลังก์ ในฐานะที่เป็นฮองเฮานางก็จะจัดการนางสนมวังหลังให้ตายทุกคนถึงจะพอใจหรือ
เว่ยเชียงยิ่งคิดยิ่งโมโหพระชายา สายตาของเขาเหลือบมองเฉาฮวาที่คุกเข่าเงียบๆ ความโมโหที่เกิดจากยาห้ามครรภ์ก็ลดลงเล็กน้อย
อวี้เหนียงคือคนที่ลั่วเอ๋อร์ทิ้งไว้ให้ แม้เรื่องที่ทำจะทิ่มแทงใจของเขา หากเขาไม่ปกป้องแม้แต่น้อย เกรงว่าคงจะถูกคนอื่นเอาเปรียบจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด”
เฉาฮวาลุกขึ้น หลุบตาลงถอยไปยืนข้างๆ
ครานี้มีขันทีคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา
“ฝ่าบาท หาชุ่ยหงเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“อยู่ที่ไหน”
“อยู่…ในบ่อน้ำที่ถูกทิ้งร้างพ่ะย่ะค่ะ…”
เสียงหอบหายใจดังขึ้น
เว่ยเชียงเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจออย่างไร แล้วจับขึ้นมาแล้วหรือยัง”
ขันทีตอบ “กระหม่อมแบ่งคนออกเป็นสองสามกลุ่มเพื่อช่วยกันค้นหา ตอนที่ผ่านบ่อน้ำที่ถูกทิ้งร้างเห็นผ้าเช็ดหน้าตกอยู่บนพื้นจึงลองมองลงไปในบ่อน้ำ เห็นบางอย่างลอยอยู่อย่างคลุมเครือ…หลังจากแบกขึ้นมาแล้วตรวจสอบพบว่าคือชุ่ยหงพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวกุ้ยเฟยเอ่ย “เช่นนี้แล้ว ชุ่ยหงทำร้ายพระชายาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ จากนั้นกลัวความผิดกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย ในเมื่อเรื่องชัดเจนแล้ว หม่อมฉันขอกลับก่อนแล้วกันเพคะ”
“กุ้ยเฟย…” เว่ยเชียงเรียก รู้สึกพูดไม่ออกกับเซียวกุ้ยเฟยที่บทจะกลับก็กลับเช่นนี้
วังบูรพาเกิดเรื่องเช่นนี้ เสด็จพ่อคงไม่พอพระทัยเป็นแน่
เซียวกุ้ยเฟยยิ้มเล็กน้อย “หม่อมฉันจะทูลความจริงแก่ฮ่องเต้ ส่วนเรื่องของพระชายา ฝ่าบาททูลบอกพระองค์เองจะดีกว่าเพคะ”
“กุ้ยเฟยค่อยๆ เดิน” เว่ยเชียงมองส่งเซียวกุ้ยเฟยจากไป สีหน้าเคร่งขรึม
เสด็จพ่อเป็นคนเลือกพระชายา ไม่ว่าทำความผิดอะไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเสด็จพ่อ
เว่ยเชียงนวดหว่างคิ้วเบาๆ ก้าวเท้าเดินออกไปสองก้าวแล้วหยุดลง มองเฉาฮวาอย่างไม่พอใจ “เจ้ายังอยู่ที่นี่ทำไม”
เฉาฮวากะพริบตาสองสามที เดินเข้าไปใกล้เว่ยเชียง
เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้แล้ว เว่ยเชียงก็พูดเสียงเย็นชาว่า “ไปเถอะ”
“เพคะ” เฉาฮวาขานตอบ จู่ๆ ก็สะดุดล้มไปข้างหน้า
“เสวี่ยนซื่อ ระวังเจ้าค่ะ!” ชิงเอ๋อร์ที่เดินตามข้างหลังเสวี่ยนซื่อรีบประคองนางไว้อย่างรวดเร็ว
เว่ยเชียงยื่นมือค้างอยู่กลางอากาศโดยสัญชาติญาณ รู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก
ทว่าความกระอักกระอ่วนก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยอย่างรวดเร็ว
“กำไลของเจ้าเล่า” สายตาของเว่ยเชียงหยุดอยู่ที่แขนข้างที่ชิงเอ๋อร์ประคองไว้
ข้อมือว่างเปล่า
เฉาฮวาหลุบตาลงไม่พูดอะไร
“พูดมาสิ กำไลของเจ้าเล่า”
เฉาฮวายังคงไม่ส่งเสียงใด
ชิงเอ๋อร์คุกเข่าลงไป “ฝ่าบาท กำไลของเสวี่ยนซื่อถูกพระชายาเอาไปเมื่อเช้านี้เพคะ!”
ทันทีที่เว่ยเชียงได้ยินก็ขมวดคิ้ว ถามเสียงขรึมว่า “เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!”
ชิงเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังอย่างกล้าหาญ
เว่ยเชียงสีหน้ามืดครึ้ม ฟังเสร็จก็ถามกุ้ยหมัวหมัว “พระชายาเอากำไลวงนั้นไปหรือ”
กุ้ยหมัวหมัวยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น นางตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “พระชายาสั่งให้หม่อมฉันเก็บไว้เพคะ”
ความเป็นจริงแล้ว พระชายาแค่ส่งให้นาง ให้นางเก็บไว้อย่าให้เกะกะสายตา
สิ่งที่พระชายาสนใจมิใช่กำไลวงหนึ่งอยู่แล้ว
“ส่งกำไลคืนให้อวี้เสวี่ยนซื่อไป” เว่ยเชียงพูดอย่างเยือกเย็น
ถึงครานี้แล้วกุ้ยหมัวหมัวจะกล้าต่อต้านหรือ นางรีบไปนำกำไลมา
“เสวี่ยนซื่อ กำไลของท่านเจ้าค่ะ” ไม่นาน กุ้ยหมัวหมัวก็ยกกำไลมาตรงหน้าเฉาฮวา
เฉาฮวายื่นมือไปรับ สวมกำไลกลับไปที่ข้อมือ
ข้อมือเล็กและขาว กำไลแพรวพราว ดูเข้ากันดีมาก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” นางย่อเข่าให้เว่ยเชียงเล็กน้อย
เว่ยเชียงขานตอบเบาๆ ก้าวเท้าเดินออกไป
เฉาฮวาลูบกำไลเบาๆ เดินตามไปเงียบๆ
เว่ยเชียงไปที่ตำหนักเฉียนชิงทันที
“ฝ่าบาท รัชทายาทเสด็จมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชายน่าเกรงขามคนหนึ่งวางหนังสือลง “เชิญรัชทายาทเข้ามา”
ไม่นานเว่ยเชียงก็เดินเข้ามา คุกเข่าพูดว่า “ลูกมาขอรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันมองเว่ยเชียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสว่า “ลุกขึ้นมาพูด”
เว่ยเชียงลุกขึ้น
“เชียงเอ๋อร์มาขอรับโทษด้วยเหตุใด”
เว่ยเชียงแสดงสีหน้าละอายใจ เล่าเรื่องพระชายาออกมา “ที่วังบูรพาเกิดเรื่องแบบนี้ล้วนเป็นเพราะลูกอบรมสั่งสอนไม่ดี ด้วยเหตุนี้ทำให้เสด็จพ่อตกพระทัย ลูกรู้สึกผิดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหย่งอันไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ กับพฤติกรรมของพระชายาเพียงถามว่า “บาดแผลบนหน้าพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยเชียงชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “หมอหลวงบอกว่าบาดแผลลึกเกินไป ผิวหนังเสียหาย คงจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
เว่ยเชียงใจกระตุก ไม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิหย่งอันนัก
พระชายาวางแผนกระทำความชั่วต่ออวี้เสวี่ยนซื่อนำไปสู่การถูกลอบทำร้าย หากจะพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือเรื่องของการผิดศีลธรรมและจิตใจที่คับแคบ
หากจะพูดให้เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ใช่เรื่องน่าถกเถียงอะไรเลย
เสด็จพ่อถามเรื่องบาดแผลบนใบหน้าของพระชายา คงต้องการรอดูว่าพระชายาเสียโฉมหรือไม่ ถึงจะตัดสินพระทัยว่าจะให้อยู่ต่อหรือออกไป
เว่ยเชียงครุ่นคิด ออกจากตำหนักเฉียนชิงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
หลังจากนั้นสองสามวัน วังบูรพามิได้สงบ
หลังจากพระชายาตื่นทราบว่ารัชทายาทรู้เรื่องที่นางบงการชุ่ยหง รวมทั้งความเจ็บแสบบนใบหน้าคอยย้ำเตือนนางว่านางมีโอกาสที่จะเสียโฉม นางก็ตกอยู่ในสภาพพร้อมพังทลาย
เศษกระเบื้องในห้องบรรทมถูกกวาดไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เทียบกับที่นี่แล้ว เรือนหลังน้อยๆ ที่อยู่ห่างไกลนั่นสงบกว่ามาก
“เสวี่ยนซื่อ เหตุใดรัชทายาทยังให้ท่านอยู่ที่นี่เจ้าคะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพระชายาบงการชุ่ยหงให้ทำร้ายท่าน” ชิงเอ๋อร์ถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉาฮวายิ้มๆ “เพราะว่าข้าทำผิดจริงๆ นี่ ทำผิดแล้วก็ต้องได้รับโทษ”
ชิงเอ๋อร์ยังคงไม่ค่อยเข้าใจ นางมองเก้าอี้หินในสวนที่ชุ่ยหงเคยนั่ง ถามอย่างไม่สบายใจว่า “เช่นนั้นพวกเราจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หรอก” เฉาฮวาให้คำตอบอย่างสงบ
ทักษะการแปลงโฉมไม่ใช่วิชาเทพเซียน การแปลงโฉมเป็นคนที่ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้นไม่ยาก แต่หากจะแปลงโฉมเป็นใครคนใดคนหนึ่ง จะต้องมีรูปร่างและโครงหน้าใกล้เคียงถึงจะทำได้
อย่างเช่นชุ่ยหง เดิมมีรูปร่างคล้ายนาง รูปหน้าก็ใกล้เคียง
และที่นางแปลงโฉมชิงเอ๋อร์เป็นเหลียนฟัง ไม่ใช่นางกำนัลข้างกายพระชายาคนอื่นๆ ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน
พระราชวังมีกฎระเบียบเคร่งครัด ขันทีที่รับผิดชอบออกจากวังเพื่อซื้อสินค้าล้วนเดินทางเป็นกลุ่มและต้องมีป้ายแขวนเอวเฉพาะก่อนจึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ การพยายามแอบออกจากพระราชวังด้วยวิธีการนี้ไม่ได้ต่างจากคนปัญญาอ่อนเพ้อฝัน
โอกาสที่นางจะออกจากพระราชวังยังคงต้องอาศัยชายคนนั้น
โชคดีที่แม้แต่สิบสองปีก็ทนมาแล้ว นางไม่มีอะไรเลยนอกจากความอดทน
เรื่องของวังบูรพาไม่ใช่เรื่องดีนัก ข่าวจึงไม่ได้แพร่ออกไปข้างนอก
วันนี้ลั่วเซิงเตรียมตัวกำลังจะไปหอสุรา แม่ทัพใหญ่ให้คนส่งข่าวให้ว่า ลั่วเฉินมาถึงแล้ว