ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 194 กลัดกลุ้ม
ตอนที่ 194 กลัดกลุ้ม
หลังจากเพลิดเพลินกับอาหาร แม่ทัพใหญ่ลั่วและทุกคนก็เดินออกมาจากห้องส่วนตัว เดินลงบันไดมา
ในห้องโถงเหลือแขกเพียงสองสามโต๊ะ ร่างในชุดสีแดงเข้มในนั้นสะดุดตาที่สุด
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองไปทางทิศนั้นด้วยหางตา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ไคหยางอ๋องมากินข้าวทุกวัน ทำไมถึงไม่อ้วนเลยนะ
กลับมามองคุณชายสามเซิ่งอีกครั้ง แม้ใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลา แต่กลมขึ้นกว่าสมัยเข้าเมืองหลวงใหม่ๆ
อ้วนหน่อยก็ดีเหมือนกัน
ไม่เหมือนไคหยางอ๋อง กินข้าวไม่ว่า กินแล้วยังสูญเปล่าอีก
แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดในใจก่อนเดินเข้าไปทักทาย “ท่านอ๋องดื่มสุราอยู่หรือ”
เว่ยหานวางจอกสุราลง “ดื่มเสร็จแล้ว”
เขาพูดเสร็จก็ลุกขึ้น พยักหน้าให้ลั่วเซิงเบาๆ แล้วจึงกล่าวลาแม่ทัพใหญ่ลั่วและเดินไปทางประตูหอสุรา
“ท่านนั้นก็คือไคหยางอ๋องหรือ” น้ารองเซิ่งถาม
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินไปข้างนอกพลางตอบว่า “ใช่แล้ว”
“อายุยังน้อยเช่นนี้เลยหรือ” น้ารองเซิ่งทอดถอนใจ “แขกหอสุราของเซิงเอ๋อร์มีแต่ขุนนางสูงศักดิ์จริงๆ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วภาคภูมิ “เซิงเอ๋อร์มีความคิดของตนเองตั้งแต่เล็ก”
หอสุราแห่งนี้ เนื่องจากคุณหนูเป็นคนเปิด จะมีขุนนางสูงศักดิ์มารวมตัวก็ไม่ถูกผู้คนวิจารณ์
หากเขาต้องการผูกมิตรกับใต้เท้าท่านไหน ก็ผูกมิตรผ่านหอสุราได้อย่างสบาย
แน่นอนว่าตอนนี้เข้ายังไม่มีเหตุจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
แต่ก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย ผู้อาวุโสและคนอื่นๆ ที่เดิมเย็นชาต่อเขา บัดนี้เวลาเจอเขาก็มีรอยยิ้มให้
เขาคิดว่าตาแก่เหล่านี้คงอยากให้เขาลดราคาให้
ลดราคางั้นหรือ ไม่ได้แน่นอน เขาอยากเสียเงินกินยังไม่ได้กินเลย จะลดราคาให้คนเหล่านี้ได้อย่างไร
ครานี้เองเสียงของน้ารองเซิ่งก็ดังขึ้นเบาๆ “ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือไม่ เหมือนกับว่าไคหยางอ๋องยังไม่ได้จ่ายเงินก็กลับไปแล้ว”
อันที่จริงเขาอยากจะเก็บไว้ไม่ถาม แต่เขาเป็นคนจัดการกิจการนอกจวนทั้งหมด ต้องชัดเจนโปร่งใสในเรื่องบัญชีจึงเห็นแล้วขัดตา
แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอม ไม่ได้พูดอะไร
เขาอยากจะถามตั้งแต่แรกแล้ว แต่คิดถึงเรื่องที่เซิงเอ๋อร์เคยปลดเข็มขัดของไคหยางอ๋องจึงพยายามข่มความอยากรู้ไว้
หากเซิงเอ๋อร์วางแผนเอาใจไคหยางอ๋องด้วยอาหารโอชาเล่า
เขาจะทำลายแผนการของลูกสาวไม่ได้
แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่พูดอะไร ลั่วเซิงกลับปริปาก “ไคหยางอ๋องจ่ายเงินล่วงหน้าหนึ่งหมื่นตำลึง ทุกครั้งที่มาดื่มสุราก็จะหักเงินจากเงินจ่ายล่วงหน้าเจ้าค่ะ”
น้ารองเซิ่งสะดุดจนเกือบล้มคะมำ “ทะ เท่าไหร่นะ”
“หนึ่งหมื่นตำลึงเจ้าค่ะ”
น้ารองเซิ่งตกตะลึง “นี่คงกินได้หลายปีเลยสินะ”
คุณชายสามเซิ่งพูดแทรก “หากมากินทุกวัน คิดเฉลี่ยสามร้อยตำลึงต่อมื้อ อย่างมากที่สุดก็กินได้หนึ่งเดือน”
น้ารองเซิ่งรู้สึกวิงเวียน ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เขาคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับชีวิตในเมืองหลวง กลับไปศึกษาให้ดีก่อนดีกว่าค่อยตัดสินใจว่าจะเปิดกิจการในเมืองหลวงหรือไม่
แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระจ่าง “เช่นนี้นี่เอง”
สุดท้ายเขาเข้าใจผิดไปเอง
แต่ไคหยางใช้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงหมดในหนึ่งเดือนนี่ก็ไม่ได้กระมัง ใช้ชีวิตไม่เป็นเลย
แต่ก็จำเป็นต้องพูดว่าจวนไคหยางอ๋องเงินหนาจริงๆ
แม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็รู้สึกขัดแย้ง ประเดี๋ยวรู้สึกไคหยางอ๋องไม่เลว ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่ามีจุดบกพร่อง
จนสุดท้าย เขาตบศีรษะตนเองทีหนึ่ง
ไคหยางอ๋องจะดีหรือเลวเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า เขาจะกังวลไปมากมายเช่นนี้ทำไมกัน พรุ่งนี้พาน้องภรรยาไปหอสุราดื่มสุราอย่างเปิดเผยถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
วันต่อมาทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ลั่วเซิงส่งแม่ทัพใหญ่ลั่วและน้ารองเซิ่งที่กินอิ่มหนำสำราญแล้วถึงหน้าประตูหอสุรา “ท่านพ่อและน้ารองกลับไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยู่เก็บกวาดหอสุราก่อน”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้า มองไปที่ลั่วเฉิน “แล้วเฉินเอ๋อร์เล่า”
“ข้ากลับพร้อมท่านพี่ขอรับ”
คุณชายสามเซิ่งกะพริบตาสองสามที
ลั่วเฉินกินอาหารในหอสุราติดกันสองวันก็เรียก ‘ท่านพี่’ ได้อย่างคล่องปากแล้ว
อันที่จริงหากสามารถกินอาหารของน้องลั่วได้ตลอดชีวิต ให้เขาเรียกท่านพี่ก็ได้
เมื่อคุณชายสามเซิ่งคิดได้ว่าต้องกลับจินซาในวันใดวันหนึ่งก็รู้สึกเศร้าหมอง
ลั่วเฉินกลับมายังห้องโถง คิดครู่หนึ่งก็หยิบผ้าสีขาวพาดบ่าเดินไปที่ห้องครัว
คุณชายสามเซิ่งอดแซวไม่ได้ “น้องชาย เจ้าทำแบบนี้ก็ไม่เหมือนเสี่ยวเอ้อร์หรอกนะ”
ลั่วเฉินโต้กลับเงียบๆ “แล้วแบบไหนเหมือน”
คุณชายสามเซิ่งลูบจมูกเบาๆ ไม่เอ่ยอะไร
ลั่วเฉินเข้าไปในสวนหลังเรือน เห็นเด็กผิวดำคนหนึ่งแบกกระเป๋าหนังสือเดินเข้ามาจากประตูหลัง
“ท่านอา ข้ากลับมาแล้ว”
มีสตรีหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว ยกซาลาเปาจานหนึ่งมาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวชีคงหิวแล้วสินะ ล้างมือแล้วกินซาลาเปารองท้องก่อนนะ รอปิดร้านแล้วค่อยกินข้าว”
เด็กหนุ่มผิวดำรีบเช็ดมือ คว้าซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมายัดใส่ปาก
ซาลาเปาแป้งบางไส้หนา น้ำข้างในหอมและฉ่ำ ร้อนจนเด็กหนุ่มต้องอ้าปาก
ลั่วเซิงเดินออกมา เห็นเสี่ยวชีกำลังกินอย่างตะกละตะกลามก็เอ่ยเตือนว่า “ค่อยๆ กิน ไม่มีคนแย่งเจ้าเสียหน่อย”
เสี่ยวชีกลืนซาลาเปาลงไป ยิ้มจนเห็นฟันสีขาว “อร่อยมากเลยขอรับ”
ซิ่วเย่ว์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากให้เสี่ยวชี ยิ้มพูดว่า “อร่อยแน่นอน ครานั้นคุณหนูได้ยินว่าเจ้าชอบกินกุ้ง วันนี้ก็เลยเลือกกุ้งตัวใหญ่และสดเป็นพิเศษมาทำไส้ซาลาเปา คุณหนูเป็นคนทำไส้ซาลาเปาเองด้วยนะ”
เสี่ยวชีเกาศีรษะอย่างเกรงใจ “เถ้าแก่ดีกับข้าเกินไปแล้ว”
แค่ให้เถ้าแก่ดูก้น เถ้าแก่ก็ไม่เพียงส่งเขาเรียนหนังสือและฝึกฝนวิทยายุทธ์ ยังได้กินของอร่อยทุกวันแบบนี้ แค่คิดก็มีความสุขมากแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าหากเลี้ยงเขาโตไปแล้วจะส่งเขาไป ‘เลี้ยงห่าน’ หรือไม่ ลองคิดดูดีๆ แล้ว ที่จริงก็พอรับได้…
ลั่วเซิงมองเสี่ยวชีด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าถูกชะตากับท่านอาซิ่ว เจ้าคือหลานของท่านอาซิ่ว เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากน้องชายข้า”
ในยามค่ำคืน ลมอ่อนๆ พัดโชยมา
คิ้วของเด็กหนุ่มราวกับภาพวาดหมึก ดวงตาของเขาราวกับถูกแต้มสี ใบหน้าขาวสะอาดค่อยๆ นิ่งขรึม
เหมือนกับน้องชายหรือ
ลั่วเฉินเดินเข้าไป เงยหน้าน้อยๆ ถามลั่วเซิงว่า “เขาคือใคร”
ช่วงหลายปีมานี้ที่เขาไม่อยู่เมืองหลวง ลั่วเซิงยังมีน้องชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคนหรือ
“หลานชายของท่านอาซิ่ว” เมื่อเห็นสายตาของลั่วเฉินมองไปที่อาซิ่ว ลั่วเซิงก็พูดขึ้นอีกว่า “ท่านอาซิ่วเป็นแม่ครัวใหญ่ของหอสุรา อาหารที่เจ้าได้กินสองวันนี้ท่านอาซิ่วเป็นคนทำ”
เด็กหนุ่มไม่ได้เชื่อคำพูดขอไปทีของลั่วเซิง เขาเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ท่านเป็นคนทำไส้ซาลาเปาหรือ”
“ข้าเป็นลูกมือให้เป็นครั้งคราวน่ะ” ลั่วเซิงหยิบซาลาเปาสีขาวลูกใหญ่ลูกหนึ่งในจานยื่นให้เขา “ลองชิมดูหรือไม่”
ลั่วเฉินเลื่อนสายตาออก พูดเสียงเย็นชาว่า “ไม่หิว”
ลั่วเซิงเปลี่ยนไปให้เสี่ยวชี “เสี่ยวชีกินอีกหนึ่งลูกหรือไม่”
เสี่ยวชีรีบพยักหน้า ยื่นมือไปรับ
มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าซาลาเปาไป
เสี่ยวชีชะงัก มองไปที่ลั่วเฉิน
ลั่วเฉินมองเขาอย่างสงบ
เจ้าเด็กผิวดำนี่ หากกล้าอาศัยความเอ็นดูที่ลั่วเซิงมีให้ทำตัวกำเริบเสิบสาน เขาจะไม่เกรงใจแล้วนะ
เสี่ยวชีเผยรอยยิ้มกว้าง “ซาลาเปาอร่อย ท่านรีบกินตอนร้อนๆ เถอะ”
ยังมีซาลาเปาอีกหลายลูก น้องชายของเถ้าแก่ทำหน้าราวกับจะฆ่าแกงเขาทำไมกัน
ลั่วเฉินหรี่ตามองเขา ถือซาลาเปาเร่งฝีเท้าจากไป
เมื่อเสี่ยวชีกินเสร็จก็ไปทำงานเบ็ดเตล็ด ซิ่วเย่ว์ไม่สบายใจเอ่ยว่า “คุณหนู เหมือนกับว่าคุณชายลั่วจะเข้ากับเสี่ยวชีไม่ได้”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ลั่วเฉินปากแข็งใจอ่อน ไม่รังแกเสี่ยวชีหรอก”
มีน้องชายเยอะก็เป็นเรื่องกลัดกลุ้มเหมือนกัน