ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 197 อำลา
ตอนที่ 197 อำลา
โค่วเอ๋อร์จุกจิกแต่เป็นคนละเอียด วันต่อมานางก็สืบความได้แล้ว
“จวนเฉียวมีนายท่านเพียงสี่คน ได้แก่ สามีภรรยาเฉียวซื่อชิง คุณหนูรองเฉียว และคุณชายเฉียว วันนี้เฉียวซื่อชิงไปศาลาว่าการตั้งแต่เช้าตามปกติ ส่วนคุณชายเฉียวไปสำนักศึกษา…”
เมื่อวานเฉียวฮูหยินและบุตรสาวมาหอสุราขอให้ช่วยเชิญหมอเทวดา ซึ่งก็หมายความว่าหมอเทวดาที่ต้องการเชิญนี้ไม่ได้เชิญไปเพื่อนายท่านทั้งสี่
“พ่อแม่ของเฉียวซื่อชิงเล่า” ลั่วเซิงถาม
โค่วเอ๋อร์ตอบ “ตระกูลเฉียวเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเป่ยเหอ พ่อแม่ของเฉียวซื่อชิงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
ไม่อยู่ในเมืองหลวง เช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่โค่วเอ๋อร์สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งสืบได้
ลั่วเซิงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
สามารถทำให้เฉียวซื่อชิงฮูหยินพาลูกสาวมาขอความช่วยเหลือจากนางได้ แน่นอนว่าคนป่วยท่านนั้นต้องไม่ธรรมดา
พ่อแม่ของเฉียวซื่อชิงและลูกสาวคนโตล้วนมีความเป็นไปได้
พ่อแม่เกี่ยวข้องกับความกตัญญูและหน้าที่การงานของเฉียวซื่อชิง บุตรสาวในฐานะที่เป็นชายารัชทายาทเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลเฉียวในอนาคต
บิดามารดาของเฉียวซื่อชิงอยู่เป่ยเหอดินแดนห่างไกล จากสัญชาติญาณแล้ว มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเชิญหมอเทวดาหลี่ไปรักษา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ต้องการหมอเทวดามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นชายารัชทายาทมากที่สุด
ด้วยการอนุมานเช่นนี้ ลั่วเซิงจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย
วันนั้นนางได้พบชายารัชทายาทที่วังบูรพา ไม่เห็นว่าสีหน้าไม่ดีตรงไหน
วันนั้น นางยังได้เจอเฉาฮวา…
ลั่วเซิงออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วมุ่งไปทางศาลาว่าการขององครักษ์จิ่นหลิน เมื่อถึงประตูก็บังเอิญเจอผิงลี่
“คุณหนูสามมาทำไมหรือ” อาจเป็นเพราะเดินทางมาตลอดสองเดือน ผิงลี่ถึงดูคล้ำขึ้นกว่าตอนที่ออกจากเมืองหลวงเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนดังเดิม
“มาหาท่านพ่อข้า” ลั่วเซิงค่อนข้างเย็นชาต่อลูกบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ในอดีตคุณหนูลั่วไม่เห็นพี่บุญธรรมทั้งห้าท่านเป็นพี่ชายโดยแท้ หากนางปฏิบัติด้วยดีเกินไปกลับจะกลายเป็นเรื่องประหลาด
ยิ่งไปกว่านั้นการลอบสังหารระหว่างทางเข้าเมืองหลวงในครานั้นยังไม่ทราบความจริง แม้จะไม่มีการกระทำก่อนหน้านั้นของคุณหนูลั่ว นางก็ทำตัวสนิทสนมด้วยไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าผิงลี่เคยชินกับมารยาทเช่นนี้ของนางแล้ว เขายิ้มพูดว่า “ให้ข้าพาคุณหนูสามเข้าไปเถอะ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย เดินตามหลังผิงลี่เข้าไป
ชายหนุ่มที่เดินข้างหน้าร่างสูงใหญ่ น้ำหนักเท้ามีพลัง เมื่อเดินไปสักพักก็หยุดลงรอนางตามมา
“พ่อบุญธรรม คุณหนูสามมาแล้วขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบวางหนังสือลง ยิ้มให้เด็กสาวที่เดินเข้ามา “ลมอะไรหอบเซิงเอ๋อร์มาหรือ”
“มีเรื่องจะถามท่านพ่อเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าให้ผิงลี่เบาๆ
ผิงลี่ออกไปและปิดประตูห้อง
“เซิงเอ๋อร์มีเรื่องอะไรหรือ”
“เมื่อวานฮูหยินเฉียวซื่อชิงมาหอสุรา ขอให้ข้าช่วยเชิญหมอเทวดา แต่ถูกข้าปฏิเสธไป” ลั่วเซิงเกริ่น
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว “นางทำให้เจ้าลำบากหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ แค่คิดว่าจวนเฉียวเป็นจวนพ่อตาแม่ยายของรัชทายาท กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้ท่านพ่อเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มเย็นชา “เซิงเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อไม่กลัวปัญหาแบบนี้หรอก”
ลั่วเซิงโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สีหน้าประหลาดใจ “ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าใครในจวนเฉียวป่วยเจ้าคะ นายหญิงถึงกับต้องมาขอความช่วยเหลือจากข้าด้วยตนเอง”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าคลุมเครือ “จวนเฉียวไม่มีใครป่วยหรอก”
“เช่นนั้นชายารัชทายาทป่วยหรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงทำเหมือนถามขึ้นอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่ใจกลับกระตุกเล็กน้อย
ดูจากสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว ชายารัชทายาทน่าจะไม่ได้ป่วยธรรมดา
ครั้นแม่ทัพใหญ่ลั่วจะปล่อยผ่านก็ถูกดึงแขนเสื้อไว้
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เต็มไปด้วยความไว้วางใจ “ท่านพ่อรู้ใช่หรือไม่”
ประโยคที่แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังจะพูดอย่างขอไปทีถูกกลืนลงไปจนหมด
บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ลมลอดผ่าน ตอนนี้เขาหลอกลูกสาวได้ แต่ต่อไปหากเรื่องของชายารัชทายาทถูกแพร่ออกไปเล่า
ชายารัชทายาทเสียโฉม เมื่อใดก็ตามที่ถูกถอนตำแหน่ง เรื่องต้องปิดบังไม่อยู่แน่นอน
หากตอนนี้เขากลบเกลื่อนไป ต่อไปลูกสาวรู้เข้าจะมองเขาอย่างไร
จะทำลายความไว้วางใจของบุตรสาวไม่ได้
แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองประตู พูดเสียงเบาว่า “เรื่องนี้เซิงเอ๋อร์ฟังแล้วห้ามบอกใครนะ”
“ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงปล่อยแขนเสื้อของแม่ทัพใหญ่ลั่วออก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“ชายารัชทายาทถูกนางกำนัลคนหนึ่งแทงใบหน้าจนบาดเจ็บ ว่ากันว่าทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้”
ลั่วเซิงตกตะลึง “มีนางกำนัลที่กำเริบเสิบสานเช่นนี้ด้วยหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นด้วย “เกินความคาดหมายจริงๆ นางกำนัลคนนั้นรับใช้อวี้เสวี่ยนซื่อ…”
ลั่วเซิงฟังแม่ทัพใหญ่ลั่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ด้วยสีหน้าสงบ แต่หัวใจกลับบีบแน่น
ผู้ที่ทำร้ายชายารัชทายาทคือนางกำนัล… หรือว่าเฉาฮวานะ
“รายละเอียดพ่อก็ไม่ค่อยแน่ใจ แค่ได้ยินที่เขาเล่าลือมา เซิงเอ๋อร์จำไว้ว่าอย่าเล่าให้ผู้อื่นฟังเด็ดขาด”
ผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินคือขุนนางฝ่ายนอก อำนาจที่มีในมือไม่ได้มีไว้สืบเรื่องของโอรสสวรรค์
“ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยิ้มตอบ เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ได้ยินว่าท่านน้าจะกลับไปแล้ว”
“ลูกพี่ลูกน้องสองคนของเจ้าจะสอบชิวเหวยแล้ว ในจวนมีเรื่องต้องจัดการมากมาย น้ารองเจ้าจำเป็นต้องรีบกลับไป วันที่น้ารองเจ้ากลับไป เจ้าและเฉินเอ๋อร์ไปส่งหน่อยนะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดพลางรู้สึกหนักอึ้ง
ตั้งแต่ที่น้องภรรยามา เขาได้กินอาหารในหอสุราทุกคืน ชีวิตของเขามีความสุขมาก
เขาไม่อยากให้น้องภรรยาจากไปเลยจริงๆ!
“ผ่านไปไวจริงๆ พริบตาเดียวเซิงเอ๋อร์ก็กลับมาจากจินซาเกือบครึ่งปีแล้ว” แม่ทัพใหญ่ลั่วทอดถอนใจ
เร็วจริงๆ น้องภรรยาเพิ่งมาก็จะไปแล้ว
ราวกับว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วจะคิดอะไรขึ้นได้ “ใช่แล้ว เซิงเอ๋อร์ เจ้าเปิดหอสุราแล้ว การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ยังจะไปกับพ่อหรือไม่”
“ล่าสัตว์หรือ” ลั่วเซิงตาเป็นประกายเล็กน้อย “ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย”
แม่ทัพใหญ่ลั่วอดยิ้มไม่ได้ “เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบเข้าร่วมงานอ่านบทกวีและงานเลี้ยงของเหล่าคุณหนู มีแค่งานล่าสัตว์ที่เจ้ากระตือรือร้นที่สุด”
“ไปเจ้าค่ะ แน่นอนว่าต้องไป”
ชิวโซ่วหรือ บางทีนางอาจจะหาโอกาสให้เฉาฮวาเจอซิ่วเย่ว์ได้แล้ว
เมื่อกลับถึงเรือนเสียนอวิ๋นย่วน ลั่วเซิงก็ถามหงโต้วเรื่องงานล่าสัตว์
“ที่ผ่านมาผู้ที่เข้าร่วมงานล่าสัตว์มีใครบ้าง”
หงโต้วชูมือขึ้นมานับ “ฮ่องเต้พาเซียวกุ้ยเฟยเสด็จไป รัชทายาทและพระชายาก็เสด็จไปด้วยแล้วก็ยังมีลูกศิษย์สำนักต่างๆและขุนนางผู้มีความชอบเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงหมุนกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีที่อยู่บนข้อมือเบาๆ “รัชทายาทโปรดปรานอวี้เสวี่ยนซื่อนั่นที่สุดไม่ใช่หรือ จะพานางไปหรือไม่”
หงโต้วพยายามคิดแล้วส่ายศีรษะ “เหมือนกับว่ารัชทายาทจะพาแต่พระชายาไปนะเจ้าคะ”
ลั่วเซิงฉุกคิดได้ กระจ่างในทันที
จวนผิงหนานอ๋องผักชีโรยหน้าเก่งที่สุด เว่ยเชียงเป็นเพียงรัชทายาท ย่อมต้องไว้หน้าชายารัชทายาทเต็มที่
แต่ว่าปีนี้ชายารัชทายาท ‘ประชวร’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลั่วเซิงก็ยิ้ม
ผ่านไปอีกสองวัน แม่ทัพใหญ่ลั่วก็พาลั่วเซิงและคนอื่นๆ ไปส่งน้ารองเซิ่งที่ศาลาแห่งหนึ่งในชานเมือง
“เจ้าสาม เจ้าอยู่เมืองหลวง อย่าสร้างปัญหาให้ท่านลุงเล่า!” น้ารองเซิ่งกำชับคุณชายสามเซิ่ง
คุณชายสามเซิ่งยิ้มให้อย่างเชื่อฟัง “ท่านพ่อวางใจ ข้าจะว่าง่ายแน่นอน ไม่สร้างปัญหาให้ท่านลุงเด็ดขาด”
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้สึก ยามนี้ท่านพ่อไม่ค่อยพอใจเขานัก
เขาต้องเข้มแข็งไว้ อย่าให้ท่านพ่อที่ความอิจฉากำเริบหิ้วกลับไปในวินาทีสุดท้ายเด็ดขาด
น้ารองเซิ่งหาจุดอ่อนของลูกชายไม่ได้อีก ขานตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาจับมือแม่ทัพใหญ่ลั่ว “พี่เขย ข้าไปก่อนแล้ว”
แม่ทัพใหญ่ลั่วตบหลังมือของน้ารองเซิ่งเบาๆ “น้องภรรยาเดินทางปลอดภัยนะ พอพวกเจ้าใหญ่สอบผ่านก็รีบเข้าเมือง”
“แน่นอน!”
น้ารองเซิ่งเดินไปสองสามก้าวก็หันกลับมา พูดอย่างจริงจังว่า “เซิงเอ๋อร์ หอสุราเจ้าต้องเปิดต่อไปเรื่อยๆ นะ”