ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 199 เตือน
ตอนที่ 199 เตือน
เสนาบดีจ้าวและเสนาบดีเฉียนอิ่มหนำสำราญ เนื่องจากมีกับแกล้มแถม
ส่วนเรื่องที่หอสุราจะปิด… เวลากินไม่ควรคิดถึงเรื่องหดหู่ใจแบบนี้
เว่ยหานกินข้าวอย่างสงบ
ไปมาคนเดียว จะไม่สงบย่อมไม่ได้
ส่วนเว่ยเชียง… ตั้งแต่ที่เลี้ยงข้าวในครานั้น เขาก็ไม่พูดว่าตนเองเป็นเจ้ามือง่ายๆ แบบนั้นอีกแล้ว
โถกระเบื้องสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้า
เว่ยเชียงที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มสุราเห็นลั่วเซิงที่ไม่รู้เดินมาเมื่อใดยืนหน้าโต๊ะ
“นี่คือ…” เว่ยเชียงเอ่ยปากถาม ปากเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา
เขาดื่มสุราส้มไปหนึ่งกาและเหล้ากลั่นหนึ่งกา รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย
“ไชเท้าดองเพคะ” ลั่วเซิงยิ้มตอบ
เว่ยเชียงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “วันนี้ไม่ได้สั่ง”
“แถมให้เพคะ”
เว่ยเชียงตกใจ สร่างเมาเล็กน้อย “วันนี้ใช้จ่ายไม่มาก เหตุใดจึงมีไชเท้าดองแถมให้”
มีสายตาเยือกเย็นไม่รู้จากทางไหนมองมา
เขาเองก็อยากรู้เหตุผลเช่นกัน
“เพราะว่าหอสุราจะปิดชั่วคราว แขกที่มากินวันนี้จะได้รับไชเท้าดองเป็นอาหารแถมเพคะ” ลั่วเซิงพูดเสร็จก็เดินไปทางเว่ยหาน
เว่ยเชียงมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่จากไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงมองโถกระเบื้องดำที่วางอยู่บนโต๊ะเงียบๆ จู่ๆ ก็รู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
เขายังจำได้ ครานั้นเขานำไชเท้าดองโถหนึ่งไปให้อวี้เหนียง ได้เห็นความซาบซึ้งใจบนใบหน้าอวี้เหนียง
เขาไม่ได้ไปหาอวี้เหนียงหลายวันแล้ว
ลั่วเซิงยกมุมปากเล็กน้อย
มีไชเท้าดองโถนี้ เว่ยเชียงก็จะมีข้ออ้างไปหาเฉาฮวา
ไชเท้าดองได้มาจากร้านมีหอสุรา หากจะพูดคุยถึงเรื่องหอสุราก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ตราบใดที่เฉาฮวาอยากเจอซิ่วเย่ว์ เมื่อได้ยินข่าวว่านางจะพาแม่ครัวหอสุราไปร่วมงานล่าสัตว์ด้วย นางจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้แน่นอน
นางเชื่อว่าด้วยความปราดเปรื่องของเฉาฮวา นางต้องทำได้แน่นอน
เว่ยหานมองหญิงสาวที่ถือโถกระเบื้องสีดำมายืนนิ่งตรงหน้าเขา ดวงตานางสดใส มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังคิดเรื่องมีความสุข
เมื่อคิดได้ว่าลั่วเซิงเดินมาจากโต๊ะไหน ท่านอ๋องหนุ่มก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
เขาต่างหากที่เป็นแขกประจำของหอสุรา คุณหนูลั่วกลับให้ไชเท้าดองแก่รัชทายาทก่อน และยังให้อย่างมีความสุขเช่นนี้ นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ
เมื่อกวาดมองอาหารแถมสี่จานบนโต๊ะ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ากุ้งแช่บ๊วย เมล็ดหุยเซียงที่ทอดกรอบเป็นสีทอง แตงกวาดองรสหวานอมเปรี้ยวและหน่อไม้คลุกน้ำมันพริกไร้รสชาติ
อาหารแถมเหล่านี้เขาแลกมาด้วยการปกปิดความลับ ไม่ได้ได้มาโดยไม่ลงแรงเช่นองค์รัชทายาท
“อาหารแถมที่ให้ท่านอ๋องนำกลับเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงวางโถกระเบื้องลงแล้วหันหลังเดินออกไป
“คุณหนูลั่ว” เว่ยหานเอ่ยเรียก
ลั่วเซิงเหลียวหลังมองมา ถามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ท่านอ๋องมีอะไรหรือเจ้าคะ”
จู่ๆ เว่ยหานก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เหมือนกับว่าถูกรังเกียจเข้าอีกแล้ว
“ขอบใจมาก” เขายกจอกสุราขึ้นมาจิบคำหนึ่ง มองลั่วเซิงเดินไปที่โต๊ะเสนาบดีจ้าว
ไม่นานทุกคนก็แยกย้าย
ระหว่างทางกลับจวนแม่ทัพใหญ่ จู่ๆ ลั่วเฉินก็เอ่ยถามว่า “ท่านพี่สนิทกับไคหยางอ๋องหรือ”
“ไม่นับว่าสนิท” พระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าโค้งเหมือนตะขอ ดูเงียบเหงาเย็นยะเยือก น้ำเสียงของลั่วเซิงกลับเยือกเย็นยิ่งกว่า
ลั่วเฉินมองนางนิ่ง พูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่เคยปลดเข็มขัดไคหยางอ๋อง”
ลั่วเซิงมุมปากกระตุก แต่ก็กลับมามีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว “นั่นมันเรื่องในอดีตแล้ว”
สือเยี่ยนที่ติดตามอยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นก็หน้าขรึม
ฟังน้ำเสียงได้แล้วทิ้งอย่างไม่เสียดายของคุณหนูลั่วสิ ช่างไร้หัวใจจริงๆ
เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องในอดีตได้อย่างไร!
ลั่วเฉินเองก็ตกใจกับท่าทีเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นของลั่วเซิงเช่นกัน
เขาคิดว่าอย่างน้อยลั่วเซิงก็ควรหน้าแดงสักเล็กน้อย
“ถามเรื่องไคหยางอ๋องทำไมหรือ” ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
ลั่วเฉินสีหน้าจริงจัง “คืนนี้เขามองท่านพี่สิบสองครั้ง”
สือเยี่ยนชะงัก
บ่อยขนาดนี้เลยหรือ
“เช่นนั้นหรือ ข้าไม่ได้สังเกต” ลั่วเซิงขมวดคิ้ว ขยี้ศีรษะของลั่วเฉินเบาๆ “เจ้าสังเกตเรื่องนี้ทำไม”
เป็นเด็กเป็นเล็ก คงไม่ใช่เพราะว่างเกินไปหรอกนะ
กลับไปต้องบอกแม่ทัพใหญ่แล้วว่าให้เชิญอาจารย์เพิ่มอีกสองคนให้ลั่วเฉิน
“อย่าจับศีรษะข้า” ลั่วเฉินขมวดคิ้วหลบ
ผู้ชายคนหนึ่งชอบจ้องมองท่านพี่ของเขา เขาไม่ควรเตือนหน่อยหรือ
เมื่อคิดได้ว่าท่านพี่คนนี้คือลั่วเซิง ลั่วเฉินก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
บางทีคงไม่จำเป็นต้องเตือนจริงๆ
บนโลกใบนี้ ผู้ชายที่เอาเปรียบลั่วเซิงได้คงไม่มีอยู่จริงๆ
ผู้ที่เดินกลับไปยังมีเว่ยหาน
จวนไคหยางอ๋องอันใหญ่โตดูเงียบเหงาเพราะมีเจ้านายเพียงคนเดียว แม้แต่โคมสีแดงห้อยยาวที่ไหวตามสายลมก็ไม่ได้เพิ่มชีวิตชีวาให้มากนัก
เว่ยหานเข้าไปในห้องหนังสือ อ่านหนังสือเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปด้านหลังชั้นหนังสือและหยิบธนูลูกหนึ่งออกมาจากช่องลับ
ธนูธรรมดามาก มันประกายเสียงเยือกเย็นใต้แสงเทียน
ปลายนิ้วที่นุ่มแต่หยาบกร้านลูบผ่านธนู รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของชายคนนั้นโดยไม่รู้ตัว
งานล่าสัตว์ปีนี้เหมือนกับว่าจะมีเรื่องให้ตั้งตารอแล้ว
เว่ยเชียงที่กลับถึงวังในยามนี้กำลังยืนอยู่ที่ทางแยก เขาลังเลครู่หนึ่ง มองโถกระเบื้องสีดำในมือ ก้าวเท้าเดินไปบนถนนหินสีเขียว
ยิ่งเดินยิ่งวังเวง ดีที่อยู่ในวัง โคมไฟทุกๆ ที่จึงส่องสว่าง
เมื่อเว่ยเชียงผลักประตูเรือนหลังน้อยออก อารมณ์เขาก็ซับซ้อน
เขาคิดว่าต้องให้นางหายไปจากสายตาอีกนาน แต่เมื่อหิ้วไชเท้าดองมาด้วย เขายังคงเดินมาที่นี่อย่างไม่รู้ตัว
ชิงเอ๋อร์เห็นเว่ยเชียงก็ตกใจจนตระกร้าปักในมือร่วงลงไป “องค์ชาย…”
“เสวี่ยนซื่อของพวกเจ้าเล่า”
“เสวี่ยนซื่ออยู่ข้างในเพคะ” ชิงเอ๋อร์ตื่นเต้นจนเสียงเปลี่ยน “เสวี่ยนซื่อ องค์ชายเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เว่ยเชียงเดินตามชิงเอ๋อร์เข้าไปข้างใน
ร่างบอบบางร่างหนึ่งย่อเข่าให้เล็กน้อย “องค์ชาย”
เว่ยเชียงเดินเข้าไป วางโถไชเท้าดองไว้บนโต๊ะ
เมื่อเฉาฮวาเห็นหัวใจก็พลันกระตุกอีกครา
เขาไปที่มีหอสุราอีกแล้วหรือ
“ฝ่าบาทออกไปนอกวังหรือเพคะ” เพราะไชเท้าดองโถนี้เฉาฮวาจึงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน
เมื่อเห็นใบหน้าซูบผอมและขาวซีดดวงนี้ อารมณ์โมโหที่เว่ยเชียงเก็บกลั้นไว้ในใจก็สลายไปเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อืม ไปหอสุราของแม่นางลั่วมา”
เฉาฮวายิ้มๆ “เห็นทีฝ่าบาทคงจะชอบหอสุรานั่นมากนะเพคะ”
เว่ยเชียงอดคิดถึงธงสุราสีเขียวที่ปลิวไสวท่ามกลางสายลมด้านนอกหอสุราและกลิ่นหอมสุราในห้องโถงใหญ่ขึ้นมาไม่ได้
ที่นั่นทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระอย่างหาได้ยากจริงๆ
มองดูหญิงสาวที่อ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย เว่ยเชียงก็รู้สึกอารมณ์ดี “ที่นั่นไม่เลวจริงๆ เพียงแต่ว่าด้วยสถานะของข้า ไปบ่อยย่อมไม่ดี”
เฉาฮวาจับโถกระเบื้องดำที่ใส่ไชเท้าดองไว้อย่างหวงแหน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย “นั่นสิเพคะ หากเป็นสามัญชน หม่อมฉันเองก็อยากไปลองชิมอาหารที่หอสุราแห่งนี้ดูบ้าง ทำไชเท้าดองที่อร่อยขนาดนี้ได้ อาหารต้องอร่อยมากแน่ๆ”
เมื่อเห็นเฉาฮวานานๆ ทีจะเผยความปรารถนาออกมา เว่ยเชียงก็ยิ้ม “ต่อไปต้องมีโอกาสแน่นอน”
ตอนนี้เขาเป็นเพียงรัชทายาท ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ รอวันข้างหน้า…เขาจะเรียกแม่ครัวใหญ่ของมีหอสุราเข้าวัง
“คุณหนูลั่วเป็นคนเปิดหอสุรา หม่อมฉันได้ยินว่าคุณหนูลั่วชอบทำตามใจตนเอง ต่อไปอาจจะปิดก็ได้เพคะ”
ทันทีที่เว่ยเชียงได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คุณหนูลั่วเอาแต่ใจไปหน่อยจริงๆ งานล่าสัตว์ปีนี้ก็พาแม่ครัวใหญ่ของหอสุราไปด้วย หอสุราจึงจะปิดร้านชั่วคราว”
“เช่นนั้นหรือเพคะ” เฉาฮวาถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความประหลาดใจ