ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 201 ลูกพลัม
ตอนที่ 201 ลูกพลัม
สายตาของเว่ยเชียงหยุดลงที่ใบหน้าของพระชายา
พระชายามีใบหน้ารูปไข่ ถือเป็นคนงาม นิสัยอ่อนโยน บัดนี้ใบหน้ากลับถูกปกปิดด้วยผ้าบางๆชั้นหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง
เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกมอง แม้พระชายารู้ว่ามีผ้าช่วยปกปิด แต่ยังคงเบือนหน้าหนีด้วยสัญชาติญาณ และหันใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเข้าหาเขา
เว่ยเชียงย้อนถามด้วยน้ำเสียงสงบ “เหตุใดจึงพาอวี้เสวี่ยนซื่อไปไม่ได้ ข้าจะพานางสนมคนใดไป ต้องได้รับอนุญาตจากพระชายาด้วยหรือ”
พระชายากำหมัดแน่น มือสั่น พูดด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ฝ่าบาทไม่กลัวว่าเสด็จพ่อเห็นอวี้เสวี่ยนซื่อแล้วจะนึกถึงเรื่องที่นางแอบกินยาห้ามครรภ์หรือเพคะ”
เว่ยเชียงหน้านิ่ง “เสด็จพ่อทรงงานยุ่ง ไม่จำเรื่องจุกจิกเหล่านี้หรอก ข้าแนะนำพระชายาว่าอย่ากังวลเลย”
“ฝ่าบาท อวี้เสวี่ยนซื่อสร้างความอัปยศอดสูแก่พระองค์เช่นนี้ ทรงไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อยหรือเพคะ” เสียงของพระชายาดังขึ้นเล็กน้อย
เว่ยเชียงสีหน้าเยือกเย็นกว่าเดิม “ถือสาหรือไม่นั้น ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่พระชายาต้องกังวลใจ”
ถือสาหรือ แน่นอนว่าเขาถือสา
หากไม่ถือสา ครานั้นเขาจะโมโหจนสั่งให้อวี้เหนียงย้ายออกจากอวี้หลังไจได้อย่างไร
แต่จะถือสาจนถึงขั้นทิ้งขว้างอวี้เหนียงนั้น ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น
เพราะตลอดมาคนที่เขาใส่ใจจริงๆ ไม่ใช่อวี้เหนียง
เขาแค่คิดถึงคนผู้นั้นผ่านอวี้เหนียงเท่านั้น
เว่ยเชียงเก็บความคิด มองพระชายาอย่างเย็นชา “พระชายาแทนที่จะกังวลเรื่องเสด็จพ่อว่าจะคิดถึงเรื่องของอวี้เสวี่ยนซื่อ สู้คิดถึงเรื่องตนเองให้มากจะดีกว่า”
พระชายาชะงัก สีหน้าซีดลงกว่าเดิม
เพียงไม่กี่วัน ร่างอวบอ้วนของนางก็กลายเป็นกระดาษแผ่นบางๆ ราวกับว่าลมจะพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ
ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยกลับซ่อนความไม่เต็มใจไว้
หากตำแหน่งพระชายาของนางถูกทำลายลงเพราะปิ่นทองของนางสารเลวนั่น นางจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรือ
พระชายาที่จากไปด้วยความสิ้นหวัง คิดเพียงอย่างเดียวว่า จะเชิญหมอเทวดามาได้อย่างไร!
แสงเทียนในห้องหนังสือวูบไหวก่อนจะดับลง
เว่ยเชียงนั่งนิ่งครู่หนึ่ง เดินออกจากห้องหนังสือไปยังอวี้หลังไจ
วันรุ่งขึ้น อากาศดีตามที่สำนักหอดูดาวหลวงพยากรณ์ ท้องฟ้าแจ่มใสเหมาะแก่การเดินทาง
โค่วเอ๋อร์ยืนอยู่บนบันไดหน้าประตู ร้องไห้จนผ้าเช็ดหน้าเปียก “คุณหนู ท่านต้องรีบกลับมานะเจ้าคะ ข้างนอกไม่สบายเท่าในจวน หากตากแดดจนดำ เหนื่อยจนผอมจะทำอย่างไรเล่า…”
หงโต้วทนไม่ไหว พูดอย่างโมโหว่า “โค่วเอ๋อร์ เจ้าร้องไห้มาจะหนึ่งชั่วยามแล้ว พอได้แล้วหรือยัง”
“ก็ข้าเป็นห่วงคุณหนูนี่ ออกไปนานเช่นนี้ ไม่มีข้าตามไปด้วย เจ้ามันก็ไม่ได้เรื่อง ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร”
หงโต้วถลกแขนเสื้อขึ้น “เจ้าบอกว่าใครไม่ได้เรื่องนะ เจ้าลองพูดอีกทีซิ!”
“พอได้แล้ว” ลั่วเซิงเอ่ยปรามสาวใช้สองคนที่กำลังทะเลาะกัน
อีกฝั่งหนึ่ง อี๋เหนียงกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมลั่วฉิงและลั่วเย่ว์พลางกำชับไม่หยุดปาก
“คุณหนูทั้งสองออกไปนานเช่นนี้เป็นครั้งแรก ต้องระวังตัวให้มากๆ นะ”
“นั่นน่ะสิ คุณหนูรองดูแลคุณหนูสี่ด้วย คุณหนูสี่อายุยังน้อย” อี๋เหนียงคนที่หกเหลือบมองลั่วเซิง เห็นนางไม่ได้สังเกตทางนี้ก็พูดเสียงเบากำชับว่า “หากคุณหนูสี่ทำให้คุณหนูขัดเคือง คุณหนูรองต้องช่วยด้วยนะ”
อี๋เหนียงอีกคนหนึ่งพูดเสียงเบาว่า “ไม่ได้ หรือว่าไม่ไปเหมือนปีที่ผ่านๆ มาเถอะ เมื่อก่อนคุณหนูทั้งสองก็ไม่ได้ไปนี่”
“ใช่ๆๆ อยู่จวนดีกว่า คุณหนูใหญ่ก็ไม่ไป” คำพูดนี้ทำให้เหล่าอี๋เหนียงเอ่ยสำทับขึ้น
ลั่วเย่ว์พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหวว่า “เหล่าอี๋เหนียงอย่าได้กังวลไปเลย ข้าและพี่รองจะมีเรื่องอะไรได้”
เมื่อก่อนไม่ไป เพราะพี่สามกำเริบเสิบสาน ไม่ยอมให้พวกนางไปด้วยต่างหาก
ปีนี้กว่าจะได้ไป เหตุใดจะไม่ไปเล่า
พี่ใหญ่น่ะไม่ชอบความคึกคัก อีกอย่างนางใกล้จะออกเรือนแล้วด้วยจึงไม่ไป
เมื่อเห็นคุณหนูสี่มีท่าทีรำคาญ เหล่าอี๋เหนียงจึงลอบถอนหายใจ
พวกนางก็ไม่อยากกังวลแบบนี้ แต่เมื่อคิดได้ว่าคุณหนูทั้งสองต้องอยู่กับคุณหนูสามทั้งวันทั้งคืนเป็นเดือนก็รู้สึกวิตก
สองสาวงามดั่งดอกไม้ หากกลับมาไม่ครบสามสิบสองจะทำอย่างไร
ลั่วเฉินยืนมองอยู่ไม่ไกล ดูเหล่าอี๋เหนียงกลุ่มหนึ่งอาลัยอาวรณ์ ริมฝีปากเม้มแน่น
อี๋เหนียงเหล่านี้เป็นห่วงคุณหนูรองและคุณหนูสี่จริงๆ
เหลือบไปมองเด็กสาวในชุดสีพื้นด้วยแววตาเฉยเมยอีกครั้งก็อดโมโหไม่ได้
ลั่วเซิงเจ้าโง่ รู้หรือไม่ว่าตนเองถูกเกลียดแล้ว
เด็กหนุ่มเดินจ้ำอ้าวเข้าไป ขมวดคิ้วถามลั่วเซิง “ไปหรือยัง”
ลั่วเซิงพยักหน้า เรียกลั่วฉิงและลั่วเย่ว์ “ควรไปได้แล้ว”
ลั่วอิงโบกมืออำลาพวกนาง
รถม้าทั้งหมดสองคัน ลั่วเซิงและลั่วเฉินนั่งคันเดียวกัน ลั่วฉิงและลั่วเย่ว์นั่งคันเดียวกัน
ด้วยสถานะของลั่วเฉิน เขาควรขี่ม้า แต่เมื่อคำนึงถึงสภาพร่างกายของเขา ลั่วเซิงจึงให้เขานั่งรถม้าแทน
ลั่วเฉินเองก็ไม่ได้ฝืน
แม้ร่างกายของเขาดีขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังสู้เสี่ยวชีไม่ได้ หากฝืนขี่ม้าไปถึงที่นั่นแล้วล้มป่วย จะให้เขานั่งมองลั่วเซิงเล่นกับเสี่ยวชีสองคนหรือ
ลั่วเฉินเปิดม่านรถม้าขึ้น มองไปข้างนอก
เสี่ยวชีสวมชุดสีฟ้าใหม่เอี่ยม ขี่บนหลังม้าดูสง่างามสูงส่ง
ชายหนุ่มแค่นเสียงเบาๆ รู้สึกไม่พอใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ลั่วเฉิน” ลั่วเซิงเรียก
ลั่วเฉินหันหน้ามา
“กินขนมหรือไม่” ลั่วเซิงชี้ไปที่กล่องที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก
“กิน” ลั่วเฉินหยิบขนมเปี๊ยะกุหลาบกินลงไป จู่ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
รถม้าแต่ละจวนหลั่งไหลจากทั่วสารทิศมุ่งไปทางหวงเฉิง กลายเป็นขบวนยาวประหนึ่งมังกร ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปนอกเมือง
จักรพรรดิเสด็จราชดำเนินไปข้างนอกเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เหล่าสามัญชนในเมืองเบียดเสียดทั้งสองด้านของถนนเพื่อชมความอลังการ
ลั่วเซิงนั่งในรถม้า ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นจากข้างนอกเป็นครั้งคราว
“ดูสิ นั่นก็คือไคหยางอ๋องหรือ”
“คนไหน”
“คนที่ใส่ชุดสีแดงเข้มนั่นอย่างไร!”
“ซี๊ดดด… ไคหยางอ๋องดูดีจังเลย”
“ดูหนุ่มและหล่อมากเลย ได้ยินมาว่าท่านยังไม่ได้แต่งงาน”
จากนั้นก็ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักราวกับระฆังเงิน เจือความเขินอายและตื่นเต้นดีใจ
หงโต้วทนฟังต่อไปไม่ไหว เบ้ปากพูดว่า “ทำไมพูดถึงแต่ไคหยางอ๋องเล่า ฮ่องเต้และรัชทายาทสง่างามยิ่งกว่าแท้ๆ”
ลั่วเฉินรู้สึกว่าสาวใช้คนนี้โง่เขลาจริงๆ เขาพูดเสียงราบเรียบว่า “วิจารณ์ฮ่องเต้และรัชทายาทอาจมีโทษตัดหัว ไม่มีใครกล้าพูดซี้ซั้ว ด้วยสถานะของไคหยางอ๋องคงตามหลังขบวนเสด็จ เขาทั้งหนุ่มและดูดีและยังไม่มีชายาเอก ไม่พูดถึงเขาให้พูดถึงใครเล่า”
ทั้งหนุ่มและดูดี?
ลั่วเซิงที่เปิดม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น สายตากำลังเสาะหาราชรถของรัชทายาท เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาของนางก็หยุดลงที่ร่างในชุดสีแดงเข้มโดยสัญชาติญาณ
ขณะเดียวกัน คนๆ นั้นเหลือบมองมาทางนี้พอดี
ระหว่างทั้งสองมีรถม้าคั่นกลาง การเหลือบมองครั้งนี้ย่อมไม่ทำให้เขาเห็นสายตาของลั่วเซิง
การมองนั้นเหมือนกับท่าทางไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งนั้น
ความโกลาหลและเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของถนน ถุงหอม ผ้าเช็ดหน้า ดอกไม้ และสิ่งของอื่นๆ ถูกโยนไปที่ร่างสีแดงเข้มราวกับเม็ดฝน
ลั่วเซิงเม้มปากเบาๆ
ทั้งหนุ่มและดูดี และยังล่อผึ้งเรียกผีเสื้อได้
“โห โยนผลไม้เต็มคันรถ[1]เลย!” หงโต้วชอบร่วมสนุกที่สุด นางหยิบลูกพลัมลูกหนึ่งขึ้นมาและโยนออกไป
“หงโต้ว!” ลั่วเซิงตำหนิหน้านิ่ง
หงโต้วรีบหดตัวกลับมาในรถม้า
ลั่วเซิงเห็นคนผู้นั้นคว้าลูกพลัมลูกนั้นไว้ท่ามกลางถุงหอมและดอกไม้ จากนั้นก็มองมา
ทั้งสองสบตากัน
ชายในชุดสีแดงเข้มยกมุมปากเล็กน้อย กัดลูกพลัมคำหนึ่ง
[1] โยนผลไม้เต็มคันรถ เป็นการเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ชอบผู้ชายที่หน้าตา ถึงขนาดหลงใหล คลั่งไคล้ ทุ่มเทให้หมดหน้าตัก