ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 202 ระหว่างทาง
ตอนที่ 202 ระหว่างทาง
ชายคนนั้นนั่งตัวตรงบนหลังม้า สีหน้าไม่แยแสของเขาดูมีสีสันขึ้นเล็กน้อยเพราะลูกพลัม
ผู้คนที่มุงดูระหว่างทางส่งเสียงกรีดร้องกันคึกคักกว่าเดิม
ครานี้ สิ่งของที่โยนมาทางเขาก็ยิ่งมากขึ้นและหลากหลายยิ่งขึ้น
ผ้าเช็ดหน้าและดอกไม้นั้นเป็นเพียงสิ่งของปกติ สาวน้อยบางคนร้อนใจจนโยนแป้งทอดไส้เนื้อที่เพิ่งซื้อมา
เว่ยหานหลบหลีกสิ่งของที่อาจทำร้ายร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว จนเมื่อฝนห่านี้ผ่านไป เขาก็กัดลูกพลัมอีกคำหนึ่ง
ลูกพลัมไม่ใหญ่นัก มีรสเปรี้ยวอมหวาน
เว่ยหานหันไปมองรถม้าที่มีผ้าม่านสีเขียวแวบหนึ่ง กลับพบว่าเด็กสาวที่ยื่นศีรษะออกมาปล่อยผ้าม่านลงนานแล้ว
เขาก้มศีรษะมองลูกพลัม รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เหตุใดคุณหนูลั่วต้องโยนลูกพลัมให้เขานะ
กลัวเขาหิวน้ำหรือ
เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายศีรษะ
ปกติแล้วนางไม่ทำดีกับเขาเช่นนี้
คงไม่ใช่เพราะอยากจะฉวยโอกาสช่วงชุลมุนตีศีรษะเขาหรอกนะ
หรือว่านางกำลังเตือนให้เขามองนาง
เว่ยหานฟุ้งซ่าน รู้สึกเพียงว่าลูกพลัมสีแดงสดในมือหวานดี
“เสด็จอา” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้น
เว่ยหานหันไปมอง
เว่ยเชียงก็ขี่ม้าเช่นกัน เขาสวมชุดสีดำปักลายสีทอง ชี้ไปที่ลูกพลัมแล้วยิ้มๆ “เสด็จอาชอบกินลูกพลัมหรือ”
เว่ยหานก้มมองลูกพลัม
ปกติเขาไม่ค่อยชอบทานผลไม้เหล่านี้ ไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบเป็นพิเศษ
อีกอย่าง เขาชอบหรือไม่ชอบ เหตุใดต้องบอกหลานชายที่มีความสัมพันธ์ทั่วไปคนหนึ่งด้วย
ยังไม่ทันได้คำตอบ เว่ยเชียงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ว่า “หญิงสาวที่โยนลูกพลัมให้เห็นเสด็จอากินลูกพลัมของนางจะต้องดีใจมากแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะคุยโวไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”
ไคหยางอ๋องผู้เลื่องลือกินลูกพลัมที่นางโยนให้ สำหรับหญิงสาวทั่วไปแล้วถือเป็นเรื่องที่สมควรแก่การโอ้อวดไปตลอดชีวิตจริงๆ
ได้ยินเว่ยเชียงพูดเช่นนี้ เว่ยหานก็เพียงยิ้มๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนทนาเรื่องนี้ต่อแต่อย่างใด
หากคุยเรื่องลูกพลัมลูกนี้ก็เหมือนกับกำลังคุยเรื่องของคุณหนูลั่ว
เขาไม่ชอบ
เว่ยหานกินลูกพลัมจนหมด พูดเสียงราบเรียบว่า “ฝ่าบาทจะตามขบวนไม่ทันแล้ว ควรรีบตามไปได้แล้ว”
เว่ยเชียงมองเว่ยหานแล้วหนีบท้องม้าทีหนึ่ง
ลูกพลัมลูกเมื่อครู่นี้เหมือนกับว่าไม่ได้มาจากกลุ่มชาวบ้าน
บนรถม้า ลั่วเซิงกำลังดุหงโต้ว “โยนอะไรซี้ซั้วออกไป”
หงโต้วกะพริบตาปริบ “บ่าวก็แค่รู้สึกสนุกเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ท่านดูสิหญิงสาวมากมายโยนของให้ไคหยางอ๋อง บ่าวเห็นมีคนโยนรองเท้าปักให้ด้วยนะเจ้าคะ”
หงโต้วก้มศีรษะลงมองลูกพลัมสีแดงที่วางอยู่บนโต๊ะตัวน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองลั่วเซิงอย่างลังเล “คุณหนู ท่านคิดว่าโยนลูกพลัมเสียดายของเกินไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สาวใช้ยื่นมือไปหยิบลูกพลัมยื่นให้ลั่วเซิง “ท่านกินลูกพลัมสงบอารมณ์ก่อน ต่อไปบ่าวจะไม่โยนของซี้ซั้วแล้วเจ้าค่ะ”
จำไว้ว่าห้ามโยนของกิน โยนของกินแล้วคุณหนูจะโมโห
ลั่วเซิงหลุบตาลงมองลูกพลัม เมื่อคิดถึงภาพที่คนผู้นั้นกินลูกพลัมอย่างเปิดเผย นางจะกินลงได้อย่างไรอีก
“วางลงเถอะ”
มือข้างหนึ่งยื่นออกไปรับลูกพลัมมา
ลั่วเซิงมองลั่วเฉิน
ในมือเด็กหนุ่มถือลูกพลัมไว้ สีหน้าเคร่งขรึม “ไคหยางอ๋องต้องคิดว่าท่านพี่เป็นคนโยนลูกพลัมไปแน่ๆ ก็เลยรับไว้และกินมัน”
นี่มันเอาเปรียบลั่วเซิงอยู่ชัดๆ
“เจ้าอยากจะพูดอะไรหรือ” ลั่วเซิงยิ้มๆ สีหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม
ช่างเถอะ ก็แค่ลูกพลัมลูกหนึ่ง ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น
ก่อนหน้านี้คุณหนูลั่วปลดเข็มขัดไคหยางอ๋องก็ไม่ได้มีอะไร ตอนนี้นางต้องรับผิดชอบผู้ชายคนนั้นเพียงเพราะลูกพลัมลูกหนึ่งหรือ
รับผิดชอบน่ะเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ลั่วเฉินมองลั่วเซิง เห็นสีหน้านางเย็นชาก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “ท่านพี่ยังคิดถึงซูเย่าอยู่หรือ”
หากเป็นเช่นนี้ เหมือนกับว่าจะแย่กว่าเดิม
ได้ยินลั่วเฉินพูดถึง ‘ซูเย่า’ คนนี้ ลั่วเซิงก็ชะงักไป
จินซาและเมืองหลวงต่างกันราวกับอยู่คนละโลก นางเกือบจะลืมคนๆ นี้ไปแล้ว
ลั่วเฉินเห็นลั่วเซิงชะงักไปก็เข้าใจผิด เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ซูเย่าสู้ไคหยางอ๋องไม่ได้”
เห็นลั่วเฉิงพูดเช่นนี้ ลั่วเซิงกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา นางถามเสียงเรียบว่า “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ ซูเย่าอ่อนโยนราวกับหยก หน้าตาก็ดี มีตรงไหนสู้ไคหยางอ๋องไม่ได้”
ลั่วเฉินยิ้มหยัน “ที่เซิ่งจยาหลานทำร้ายท่านก็เพราะซูเย่า ในจินซามีเฉียนจวี่เหรินคนหนึ่ง ลูกสาวแขวนคอฆ่าตัวตายเพราะไม่อยากออกเรือน ว่ากันว่าก็เป็นเพราะซูเย่า สองเรื่องนี้หากซูเย่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แสดงว่าคนผู้นี้หน้าเนื้อใจเสือ หากไม่เกี่ยวข้อง ก็แสดงว่าเขาคือตัวซวย คนแบบนี้ท่านไม่เลี่ยงไปไกลๆ ยังคิดจะเข้าหาเขาหรือไร”
พูดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็กัดลูกพลัมคำหนึ่งอย่างแรง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หากต้องเลือกคนใดคนหนึ่งจริงๆ เลือกไคหยางอ๋องเถอะ”
แม้ไคหยางอ๋องก็ใช่ว่าจะดีเลิศเลอ แต่เทียบกับซูเย่าแล้ว ไคหยางอ๋องแกร่งกว่ามาก
“เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก คิดเรื่องเหล่านั้นทั้งวันทำไม เมื่อถึงที่หมายแล้วข้าจะสอนเจ้ายิงธนู ล่าฮวานจื่อให้ได้สักตัว ถึงครานั้นเรามาย่างเนื้อฮวานจื่อกินกัน” ลั่วเซิงพูดอย่างสงบ ในใจกลับตกใจกับความเฉียบแหลมของลั่วเฉิน
ทันทีที่ได้ยินว่าให้ล่าฮวานจื่อ เด็กหนุ่มก็พ่นหายใจเยือกเย็น กินลูกพลัมต่อไปอย่างหงุดหงิด
ก็เพราะว่าได้ยินเจ้าเด็กตัวดำนั่นบอกว่าเคยล่าฮวานจื่อหรือ มีอะไรน่าชื่นชมกัน
เขาไม่ต้องล่า ก็มีให้กิน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเด็กหนุ่มก็สงบลง ลั่วเซิงก็โล่งอก พิงผนังรถม้าหลับตาพักสายตา
เสียงแครกๆ ที่ดังเข้ามาในหูราวกับกระรอกกำลังแทะอาหาร
ลั่วเซิงลืมตา เห็นหงโต้วกำลังถือลูกพลัมกินอย่างเอร็ดอร่อย
เห็นลั่วเซิงลืมตา สาวใช้รีบถามว่า “คุณหนูกินหรือไม่เจ้าคะ”
“ลูกพลัมอร่อยเช่นนั้นเลยหรือ” ลั่วเซิงขมวดคิ้ว
นางจำได้ว่านางไม่เคยเคร่งครัดเรื่องกินกับพวกเขา แต่จำเป็นต้องกินลูกพลัมรบกวนความสงบของผู้อื่นในยามนี้จริงๆ หรือ
หงโต้วเม้มปากยิ้ม “บ่าวเห็นไคหยางอ๋องกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนั้น คิดว่าลูกพลัมจานนี้ต้องหวานมากแน่ๆ คุณหนูไม่ลองชิมจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ลั่วเซิงกระตุกมุมปาก หลับตาลงอีกครั้ง
ฐานล่าสัตว์อยู่ทางเป่ยเหอ ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก หากวิ่งม้าเร็วหนึ่งวันก็ไปถึง
แต่คนขบวนใหญ่แบบนี้ย่อมเร่งไม่ได้จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพักระหว่างทาง
เรื่องที่พักย่อมมิต้องกังวล ที่พักม้าระหว่างทางเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทุกครั้งที่ถึงที่พักม้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประจวบเหมาะกับเวลากินข้าวพอดี
เที่ยงวันรุ่งขึ้น ขบวนตั้งค่ายพักแรมในถิ่นทุรกันดารเพื่อเตรียมอาหารเที่ยง
หม้อขนาดใหญ่หลายสิบใบถูกตั้งเรียงกัน เป็นอาหารสำหรับขุนนางและครอบครัวของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีเตาตั้งและล้อมรอบด้วยพ่อครัวหลวงหลายคน แน่นอนว่าเตานี้เป็นเตาขนาดเล็กสำหรับจักรพรรดิและรัชทายาท
รสชาติอาหารเป็นอย่างไร คนกินย่อมรู้
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินเล่นจนไปถึงที่ลั่วเซิง ยังไม่ทันเดินเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นเปรี้ยวจางๆ
กำลังทำอาหารอะไรอยู่นะ
แต่จะทำอย่างไรได้ มีผู้คนมากมายล้อมมุงดู ทำให้มองไม่เห็นข้างใน
แม่ทัพใหญ่ลั่วเร่งฝีเท้าเข้าไป กระแอมเบาๆ
ผู้ที่เห็นเขามาเป็นคนแรกคือลั่วฉิง
“ท่านพ่อ”
เมื่อได้ยินคำขานเรียก ทุกคนที่มุงดูต่างหันไปคารวะ
แม่ทัพใหญ่ลั่วจะมีจิตใจสนใจอย่างอื่นหรือ สายตาของเขาแทบจะเกาะติดหม้อเหล็กที่ตั้งขึ้นมานั่น
น้ำเดือดในหม้อ กลิ่นเปรี้ยวจางๆ ชวนน้ำลายไหลมาจากทางนี้นี่เอง
“พริกหวานเหลืองบด” ลั่วเซิงสั่งเสียงราบเรียบ
หงโต้วเปิดฝาไหยกไปข้างหน้าลั่วเซิง
ลั่วเซิงตักพริกหวานเหลืองบดช้อนหนึ่งออกมาใส่ลงไปในหม้อ ก่อนจะเช็ดมือและทักทายแม่ทัพใหญ่ลั่ว
“ท่านพ่อ มาได้อย่างไรเจ้าคะ”