ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 206 พบกัน
ตอนที่ 206 พบกัน
เว่ยเชียงเดินถือกล่องอาหารไปข้างๆ รถม้าคันหนึ่ง
ชิงเอ๋อร์กำลังงีบหลับข้างรถม้า
“แค่กๆ”
เมื่อได้ยินเสียง ชิงเอ๋อร์ก็ลืมตาทันที ทันทีที่เห็นว่าเป็นเว่ยเชียงก็รีบคารวะอย่างร้อนรน “องค์ชาย”
“เสวี่ยนซื่ออยู่ข้างในหรือ”
ชิงเอ๋อร์รีบพยักหน้า “เสวี่ยนซื่ออยู่เพคะ”
“นางกินหรือยัง”
ชิงเอ๋อร์เผยสีหน้ากังวล “แทบจะไม่แตะตะเกียบเลยเพคะ เสวี่ยนซื่อบอกว่ากินไม่ลง”
เว่ยเชียงอดขมวดคิ้วไม่ได้
อวี้เหนียงร่างกายอ่อนแอ เร่งเดินทางเช่นนี้เป็นเรื่องลำบาก จะกินไม่ลงบ้างก็ไม่แปลก
เขาถือกล่องอาหารมุดเข้าไปในรถม้า
ในรถม้ากว้างขวาง มีตั่งเตี้ยๆ พร้อมผ้าห่ม มีตู้ติดผนังและโต๊ะตัวเล็กเพียบพร้อม
สตรีผู้มีผมดกดำร่างบอบบางนอนตะแคงอยู่บนตั่ง เหมือนกับว่ากำลังนอนหลับ
“อวี้เหนียง เจ้านอนแล้วหรือ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง สตรีที่หันหลังให้เว่ยเชียงก็ค่อยๆ หันกลับมาลุกนั่งขึ้น ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ฝ่าบาทเหตุใดจึงมาเวลานี้เพคะ”
“เห็นเจ้ายังไม่กินข้าว”
สีหน้าเฉาฮวาซีดขาว รอยยิ้มของนางดูอ่อนแรง “กินไปแล้วเพคะ”
เว่ยเชียงเดินเข้ามาจับมือนาง “อย่าโกหกข้า ได้ยินชิงเอ๋อร์บอกว่าเจ้าไม่จับตะเกียบเลย”
เฉาฮวาขมวดคิ้ว “ชิงเอ๋อร์ปากมากจริงๆ”
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาไม่พอใจของชายคนนี้ นางก็ยิ้มอย่างไม่มีทางเลือก “อยู่ในรถม้านานรู้สึกเบื่อและอึดอัด ก็เลยกินน้อยเพคะ”
“ข้าเอาบะหมี่มาให้เจ้า” เว่ยเชียงชี้ไปที่กล่องอาหารที่เพิ่งวางบนโต๊ะตัวเล็ก “น้ำแกงเปรี้ยว เจ้าอาจจะกินลงก็ได้”
เฉาฮวาลังเลไม่ได้ขยับ
เว่ยเชียงหว่านล้อม “ข้าตั้งใจนำกลับมาให้เจ้า อย่างน้อยก็ลองชิมสักคำเถอะ”
เฉาฮวายิ้มอย่างอึดอัดใจ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
เว่ยเชียงเห็นนางยิ้มก็รู้สึกอบอุ่นในใจ
ช่วงนี้อวี้เหนียงชอบยิ้มกว่าเมื่อก่อน ทำให้เขาอารมณ์ดีเมื่อเห็น
ขณะที่คิดเช่นนี้ เว่ยเชียงก็เปิดกล่องด้วยตนเอง ค่อยๆ ยกชามลายครามออกมาอย่างระมัดระวัง
เมื่อเฉาฮวาเห็นน้ำแกงเปรี้ยวที่ด้านบนโรยเต็มไปด้วยขาหมูรมควัน แววตาก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าพระบาท บะหมี่ชามนี้คงไม่ใช่ฝีมือของพ่อครัวหลวงใช่หรือไม่เพคะ”
เว่ยเชียงมุมปากกระตุก ยิ้มพูดว่า “ไม่ใช่แน่นอน เจ้าทายสิว่าบะหมี่ชามนี้มาจากไหน”
เฉาฮวาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตอบว่า “หรือว่ามาจากคุณหนูลั่ว? ก่อนหน้านี้ได้ยินฝ่าบาทบอกว่างานล่าสัตว์ครานี้คุณหนูลั่วพาแม่ครัวใหญ่ของหอสุรามาด้วย”
“อวี้เหนียงฉลาดจริงๆ” เว่ยเชียงชื่นชมและพยักหน้า ยื่นตะเกียบให้นาง
เฉาฮวาลังเลครู่หนึ่ง ปลายนิ้วสั่นเทารับตะเกียบมา คีบบะหมี่สองสามเส้นเข้าปาก
“เป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยเชียงมองนาง น้ำเสียงคาดหวัง
เฉาฮวากลืนบะหมี่ลงไป พยักหน้า “อร่อยมากเพคะ”
เว่ยเชียงยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็กินให้มาก”
“เพคะ”
เมื่อเห็นบะหมี่ชามใหญ่กำลังจะหมด เว่ยเชียงก็อดพูดไม่ได้ว่า “บะหมี่เย็นแล้วไม่อร่อย เหลือไว้เล็กน้อยก็ไม่เป็นไร”
ด้วยความอยากอาหารของอวี้เหนียง นางกินเยอะเกินไปหน่อยหรือไม่
เฉาฮวาหยุดตะเกียบ แววตาแห่งความสุขเปล่งประกาย “บะหมี่เย็นแล้วก็ยังอร่อยเพคะ”
เว่ยเชียงพูดไม่ออก จนเมื่อเฉาฮวาดื่มน้ำแกงจนหมด เขาก็เอ่ยอย่างอดกลั้นอาการตกตะลึงไว้ “อวี้เหนียง ออกไปเดินเล่นหรือไม่”
เฉาฮวามองไปที่ประตูรถม้า พูดอย่างลังเลว่า “เหมาะสมหรือเพคะ”
“ทำไมจะไม่เหมาะสมเล่า ตอนนี้เพิ่งพ้นเวลาทานข้าว สตรีมากมายล้วนเดินเล่นอยู่ข้างนอก”
เฉาฮวาพยักหน้า
มองดูเว่ยเชียงออกจากรถม้าไป เฉาฮวาจึงลูบท้องที่ป่องออกมาน้อยๆ และยกมุมปากขึ้น
เมื่อเดินออกจากรถม้า สายลมเย็นโชยเข้าปะทะหน้า
เฉาฮวาสูดอากาศ เงยหน้าขึ้นมองออกไป
เท่าที่ตามองเห็นล้วนเป็นใบหน้าที่นางไม่รู้จัก
เสียงผู้ชายดังขึ้นข้างใบหู “ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง เดินเล่นแถวๆ นี้เถอะ”
เฉาฮวาหันกลับไปมองประตูรถม้า
“ทำไมหรือ”
“ฝ่าบาทพาหม่อมฉันไปหาแม่ครัวใหญ่หอสุราสักหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันอยากเห็นมากจริงๆว่าแม่ครัวที่สามารถทำบะหมี่น้ำแกงเปรี้ยวได้อร่อยเช่นนี้หน้าตาเป็นอย่างไร” เฉาฮวาพูดอมยิ้ม ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ที่จริงแล้วนางกำลังกำหมัดแน่น
นางทนหิวหลายมื้อเพื่อรอคอยโอกาสนี้ หากพลาดไปก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร
โอกาสเจอแม่ครัวใหญ่ของหอสุรา นางต้องคว้าไว้ให้ได้!
นางจะดูว่าคนผู้นั้นใช่น้องซิ่วเย่ว์หรือไม่
เว่ยเชียงจะรู้ได้อย่างไรว่าคนตรงหน้ากำลังเดินตามแผนอย่างรอบคอบ ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพูดว่า “ก็ดี จะได้เอากล่องอาหารไปคืนด้วย”
เฉาฮวาโค้งกายลงเข้าไปในรถม้าถือกล่องอาหารออกมา ยิ้มพูดว่า “หม่อมฉันถือกล่องอาหารเองเพคะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉาฮวา ดวงตาเว่ยเชียงเปล่งประกายเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ดูคุ้นตานัก
คล้ายกับรอยยิ้มของคุณหนูลั่วเลย
“ฝ่าบาทเป็นอะไรไปเพคะ”
เว่ยเชียงส่ายศีรษะ
เขาต้องถูกผีสิงแน่ๆ ทำไมถึงมีความคิดเช่นนี้นะ
อวี้เหนียงและคุณหนูลั่วจะมีส่วนที่เหมือนกันได้อย่างไร
หากจะบอกว่าเหมือน อันที่จริงอวี้เหนียงมีส่วนที่เหมือนกับลั่วเอ๋อร์
ลั่วเอ๋อร์เคยบอกว่า ซูเฟิงฉลาดเพราะพรสวรรค์ อวี้เหนียงฉลาดเพราะรู้จักอ่านใจคนอย่างทะลุปรุโปร่ง ที่นางพาสาวใช้ทั้งสองไปจวนผิงหนานอ๋องไม่ได้มีไว้ให้เป็นอนุภรรยาของเขา
นางจะจับคู่พวกนางให้ชายที่พึ่งพาได้ ถึงจะไม่รู้สึกผิดต่อพวกนางที่ติดตามนางมา
ครานั้น เขาหงุดหงิดเล็กน้อย หงุดหงิดลั่วเอ๋อร์ที่ดูถูกความรักที่เขามีต่อนาง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นคนกลับคำเสียเอง
ลั่วเอ๋อร์ตายแล้ว หากไม่คว้าคนที่นางทิ้งเอาไว้ให้แน่น เขาก็มีชีวิตต่อไปได้ยากเหลือเกิน
“ไปเถอะ” เว่ยเชียงหยักหน้าเบาๆ เดินไปข้างหน้า
เฉาฮวาก้มหน้าเดินตาม ในใจยิ้มหยัน
ชายหลอกตนเองผู้นี้ ทำให้นางสะอิดสะเอียนจริงๆ
ฝั่งลั่วเซิงไม่เห็นร่างในชุดสีแดงเข้มแล้ว เหลือเพียงคุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ ช่วยซิ่วเย่ว์เก็บกวาดหม้อและชาม
เครื่องครัวเหล่านี้ล้วนเอามาจากหอสุรา ห้ามทำหายหรือแตกเด็ดขาด
“น้องลั่ว รัชทายาทเสด็จมาอีกแล้ว” คุณชายสามเซิ่งยกหม้อเหล็กที่เพิ่งวางจนเย็น เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดีจึงรีบบอกลั่วเซิง
ลั่วเซิงมองไป
ซิ่วเย่ว์เองก็มองไป
ชามลายครามใบใหญ่ร่วงลงจากมือของซิ่วเย่ว์
คุณชายสามเซิ่งเห็นก็ตกใจ ด้วยสถานการณ์คับขันจึงรีบใช้หม้อรับชามไว้
มือข้างหนึ่งรับชามลายครามไว้อย่างมั่นคงและวางลงบนโต๊ะยาวข้างๆ
คุณชายสามเซิ่งอดชมไม่ได้ “สือซื่อหั่ว ฝีมือไม่เลวนี่”
สืออี้มองเขาอย่างจริงจัง ไม่ได้พูดอะไร
คุณชายเซิ่งทำตัวสนิทกับคนไม่รู้จักง่ายเหมือนกับสาวใช้ของคุณหนูเลย
“คุณหนูลั่ว ข้ามาคืนกล่องอาหาร” เว่ยเชียงเห็นว่าการมาของเขาทำให้เกิดความโกลาหลเล็กน้อยก็รู้สึกขบขัน
“ฝ่าบาทเกรงใจแล้วเพคะ” สายตาของลั่วเซิงมองผ่านเว่ยเชียงหยุดลงที่เฉาฮวาครู่หนึ่ง นางหันไปสั่งซิ่วเย่ว์ “อาซิ่ว เจ้าไปรับกล่องอาหารมาเถอะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซิ่วเย่ว์ตอบคำเดียว “เจ้าค่ะ”
นางเดินไปหาเฉาฮวาทีละก้าว
เฉาฮวายืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าไม่เผยสีหน้าผิดปกติแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวาย
นั่นคือซิ่วเย่ว์!
แม้จะเสียโฉม หน้าตาเปลี่ยนไปแล้ว แต่เสียงของซิ่วเย่ว์ยังคงเหมือนเดิม
มิหนำซ้ำนางช่ำชองในเรื่องการแปลงโฉม การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของคนๆ หนึ่งยากที่จะปิดบังดวงตาคู่นี้ของนางได้
ซิ่วเย่ว์ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าเฉาฮวา ยื่นมือมาที่นาง “กุ้ยเหรินส่งกล่องอาหารให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ”
เฉาฮวาเจ็บแปลบกับคำว่า ‘กุ้ยเหริน’ มือที่ถือกล่องอาหารสั่นอย่างรุนแรง
มือข้างที่สวมกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสียื่นกล่องอาหารออกไป
เสียงของเว่ยเชียงดังขึ้น “อวี้เหนียง นี่ก็คือแม่ครัวใหญ่ของมีหอสุรา ครานี้เจ้าได้เจอแล้วนะ”
เฉาฮวาเม้มปาก “เพคะ ได้เจอเสียที”