ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 209 เพื่อน
ตอนที่ 209 เพื่อน
ลั่วเซิงมองเว่ยหาน
ชายหนุ่มอยู่ในวัยที่มีจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ดวงตาสุกใสดำดุจหมึกเป็นประกาย
ใสสะอาด กระทั่งเจือความไร้เดียงสาเล็กน้อย
แน่นอนว่าไคหยางอ๋องผู้เลื่องลือไม่ใช่คนไร้เดียงสา พูดได้เพียงว่าต่อหน้าคนบางคนถึงจะเผยความไร้เดียงสาเช่นนั้นออกมา
ดังเช่นหลายๆ คนที่มีลักษณะที่ต่างกันออกไปต่อหน้าผู้คนที่ต่างกัน
ลั่วเซิงกลับมีหัวใจที่เย็นชา นางเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “แม่ครัวไม่ใช่ข้า แต่คืออาซิ่ว”
นางกระตุกบังเหียนเบาๆ เร่งความเร็วของม้าสีแดงพุทรา พยายามสลัดชายที่มาขอข้าวกินตั้งแต่เริ่มล่าสัตว์
ม้าสีขาวตัวใหญ่กลับขวางม้าสีแดงพุทราไม่ให้ไป
เห็นเพียงม้าสีขาวตัวใหญ่ใช้ปากดันหัวม้าสีแดงพุทราพลางส่งเสียงร้องเบาๆ
ม้าสีแดงพุทราพยายามหลบหลีก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ลั่วเซิงเตือนหน้านิ่งว่า “ท่านอ๋องดูแลม้าตนเองดีๆ ด้วย”
เว่ยหานยิ้มอย่างขอโทษ “ขอโทษจริงๆ ไม่คิดว่าม้าของข้าจะหน้าด้านเช่นนี้”
เขาพูดพลางตบม้าสีขาวตัวใหญ่ทีหนึ่ง เตือนว่า “ทำตัวดีๆ ตามตื้อม้าของคุณหนูลั่วได้อย่างไร!”
ลั่วเซิงเงียบ
นางกำลังสงสัยว่าไคหยางอ๋องตั้งใจ
“เช่นนั้นก็ตามนี้ เมื่อล่าสัตว์เสร็จแล้ว ข้าจะส่งหมูป่าไปให้คุณหนูลั่ว” เว่ยหานพูดทิ้งท้าย กระทุ้งท้องม้าวิ่งไปไกล
ลั่วเซิงจับบังเหียนอดโมโหไม่ได้
ชายคนนี้ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อของกินจริงๆ!
ลั่วเซิงควบม้าไปบนทุ่งหญ้าด้วยใบหน้าเย็นชา เมื่อนางเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาด้วยความตื่นตระหนก นางก็ตั้งธนูและยิงออกไป
กระต่ายสีเทาล้มลงกับพื้น กระตุกสองสามทีแล้วแน่นิ่งไป
ลั่วเซิงขี่ม้าสีแดงพุทราทะยานผ่าน ก้มตัวลงจับกระต่ายป่าขึ้นมา
เมื่อได้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ นี้ นางก็หมดความสนใจในการล่าสัตว์ต่อ นางหันศีรษะเดินกลับไป
“เหตุใดพี่สามจึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า” ลั่วเย่ว์ที่กำลังเด็ดดอกไม้ป่าเห็นลั่วเซิงเดินมาก็อดชะงักไม่ได้
“ล่าสัตว์ได้แล้วก็เลยกลับมา”
ลั่วเย่ว์มองกระต่ายป่าในมือลั่วเซิง ตกตะลึงไปเล็กน้อย “พี่สามล่ากระต่ายป่าแค่หนึ่งตัวหรือ”
งานล่าสัตว์ปีที่แล้วนางไม่ได้มา แต่ได้ยินว่าพี่สามล่าเสือดาวน้อยตัวหนึ่งได้
ด้วยเหตุนี้ พี่สามจึงเป็นที่โด่งดังในหมู่สตรีสูงศักดิ์ไม่น้อย
ลั่วเซิงก้มศีรษะมองกระต่ายป่า พูดว่า “ย่างกินก็พอแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีก”
ทันทีที่ลั่วเย่ว์ได้ยิน ตาก็ลุกวาว
กระต่ายน้ำแดงอร่อย กระต่ายหมาล่าก็ร่อย หรือจะเอาไปตุ๋นน้ำแกงก็ได้…
เด็กสาวที่มีความคิดเหล่านี้แล่นผ่านจะยังคิดถึงว่าสัตว์ที่ล่ามาได้ยิ่งใหญ่หรือไม่อีกหรือ
ล่ากระต่ายป่าตัวหนึ่งมาเพื่อเป็นรางวัลนั้นไม่ใช่อุปสรรค ไคหยางอ๋องยังล่าหมูป่าตัวหนึ่งเลย
ลั่วเย่ว์ถือตระกร้าดอกไม้ หน้าตายิ้มแย้ม
“พี่รองเล่า” จู่ๆ ลั่วเซิงถามขึ้น
ลั่วเย่ว์ตั้งสติได้ “พี่รองบอกว่าจะออกไปเดินเล่น ไม่ได้มากับข้า”
“คนเดียวหรือ”
“พาสาวใช้ไปด้วยเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงจึงไม่ได้ถามต่อ นางหิ้วกระต่ายป่าเดินไปข้างหน้า
“พี่สามจะไปไหนเจ้าคะ”
“ไปถลกหนังกระต่ายที่ข้างลำธาร น้องสี่จะไปด้วยกันหรือไม่”
ลั่วเย่ว์ส่ายศีรษะ “ไม่แล้วล่ะ ข้าจะเด็ดดอกไม้ป่าเพิ่ม”
นางคงเหมาะกับการกินเนื้อกระต่ายอย่างเดียว เรื่องถลกหนังกระต่ายนั้นละไว้เถอะ
เมื่อคิดถึงฉากนองเลือด ลั่วเย่ว์ก็รู้สึกสั่นสะท้าน
เมื่อถึงข้างลำธาร จู่ๆ ลั่วเซิงก็พบร่างที่คุ้นเคย
คนๆ นั้นได้ยินเสียงจึงเงยหน้ามองมา
“คุณหนูลั่วมาที่นี่ทำไมหรือ”
“จัดการเหยื่อที่ล่ามาได้เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงเหลือบมองหมูป่าที่ถูกผ่าท้องบนก้อนหินใหญ่ข้างลำธาร ไม่ต้องถามก็รู้ว่าชายคนนี้มาทำอะไรที่นี่
กริชในมือของเว่ยหานถลกหนังหมูป่าอย่างคล่องแคล่ว ยิ้มพูดว่า “ข้าก็กำลังจัดการเหยื่อที่ล่ามาได้”
เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ อารมณ์จึงดีขึ้นมา เพียงแค่เห็นว่าคุณหนูลั่วมาจัดการเหยื่อข้างลำธารเหมือนกันเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
ลั่วเซิงมองรอยยิ้มนั้นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาจึงถามด้วยเสียงราบเรียบว่า “หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ให้องครักษ์จัดการเจ้าคะ”
แค่ลากมาข้างลำธารก็คงต้องใช้แรงไม่น้อย
รอยยิ้มของชายหนุ่มสดใสกว่าเดิม “เหยื่อที่ลงมือจัดการด้วยตนเองน่าจะอร่อยกว่า คุณหนูลั่วก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงที่มือจับกระต่ายไว้ไม่ได้สนใจเขา
นางไม่ได้คิดเช่นนั้น แค่รู้สึกว่างจนเบื่อเฉยๆ
เพิ่งล่าสัตว์เป็นวันแรก หากไม่มีเหตุผลที่ดีจะโผล่ไปหาเฉาฮวาดื้อๆ ไม่ได้ นางไม่มีอารมณ์อยากล่าสัตว์ด้วย จะให้นั่งอยู่ในกระโจมเฉยๆ ก็คงน่าอึดอัด
เว่ยหานเคยชินกับความเย็นชาของเด็กสาวนานแล้ว เห็นนางไม่พูดอะไรก็ไม่ได้รู้สึกอะไร หลังจากล้างมือเสร็จแล้วก็เดินไปข้างหน้านางรับกระต่ายมา
ลั่วเซิงไม่ทันตั้งตัว เหยื่ออยู่ในมือของอีกฝ่ายแล้ว
นางมองคนผู้นั้นถือกระต่ายกลับไปข้างๆ หมูป่าด้วยสายตาเย็นชา เขาถลกหนังกระต่ายอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เพียงแค่ไม่นาน กระต่ายก็ถูกจัดการเรียบร้อย
เว่ยหานวางกระต่ายที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วลงบนหินที่สะอาดเช่นกัน เมื่อล้างมือเสร็จแล้วก็เดินมา
“คุณหนูลั่ว ข้าจัดการให้เสร็จแล้ว”
ลั่วเซิงกระตุกมุมปาก
ต้องชมเชยเขาด้วยหรือไม่นะ
“ให้ข้าส่งเนื้อหมูป่าและเนื้อกระต่ายไปที่พักคุณหนูลั่วเถอะ”
กลายเป็นเนื้อหมูป่าและเนื้อกระต่ายหมดแล้ว ลั่วเซิงจะทำอะไรได้อีก ได้แต่พยักหน้าอย่างเยือกเย็น หันหลังเดินจากไป
เว่ยหานใส่เนื้อหมูป่าและเนื้อกระต่ายลงในตระกร้าไม้ไผ่ รีบเดินตามร่างสีเขียวไป
ลั่วเซิงหรี่ตามองเขาถามว่า “ท่านอ๋องส่งเหยื่อที่ล่ามาได้ไปที่ข้า ไม่กลัวผู้อื่นนินทาหรือ”
เหยื่อที่ล่าได้วันแรกย่อมมีความหมาย นางไม่เชื่อว่าไคหยางอ๋องไม่รู้
ส่วนนาง นางจะกลัวคำซุบซิบนินทาอะไร นางคือคุณหนูลั่วนะ
“นินทาหรือ” เว่ยหานชะงัก “ทุกคนล้วนรู้ว่าคุณหนูลั่วพาแม่ครัวใหญ่หอสุรามาด้วย เหตุใดจึงต้องซุบซิบนินทาเล่า”
วันก่อนเขาได้กินบะหมี่หัวปลาต้มน้ำแกงเปรี้ยว มีคนเจ็ดแปดคนมาถามเขาว่าบะหมี่อร่อยหรือไม่
มองดูสายตาอิจฉาของคนเหล่านั้น เขาเชื่อว่าหากพวกเขาสนิทกับคุณหนูลั่วเหมือนเขา พวกเขาคงส่งเหยื่อทั้งหมดที่ล่ามาได้ให้นางเช่นกัน
ลั่วเซิงมองเว่ยหานนิ่ง เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมา “ท่านอ๋องพูดถูก”
นางอาจจะเข้าใจผิดไป ไคหยางอ๋องจะชอบนางได้อย่างไร เขาแค่ชอบกินเท่านั้นเอง
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อไปเจอกันจะได้ไม่อึดอัด ไม่ต้องกังวลปัญหาที่ไม่จำเป็น
วันนั้น คนผู้นี้ก็คงแค่เมากระมัง
มองดูทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล หญิงสาวสีหน้าอ่อนโยนลง
เป็นเพื่อนปกติก็ดีเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์ในอนาคตหรือไม่ ก็ให้เป็นเรื่องของอนาคต
จู่ๆ เว่ยหานก็รู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้าแสดงท่าทีต่อเขาเปลี่ยนไป
ตั้งแต่คืนนั้นที่ดื่มมากเกินไปในหอสุรา คุณหนูลั่วก็เย็นชากับเขาขึ้นทุกวัน ตอนนี้จู่ๆ กลับอ่อนโยนขึ้นมา
ทว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีใจ
เมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรผิดไปหรือไม่นะ
แต่ว่าทุกๆ คำคือความจริง…
“คุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงมองเขา
“ข้าไม่เคยกลัวคำนินทา”
“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงพยักหน้าส่งๆ
นางคิดมากไปเอง ไคหยางอ๋องถูกคุณหนูลั่วปลดเข็มขัดแล้วยังมาหอสุราแทบทุกวันอย่างแน่วแน่ จะเป็นคนกลัวคำซุบซิบนินทาได้อย่างไร
มองดูเด็กสาวสีหน้าสงบนิ่งไร้คลื่น จู่ๆ เว่ยหานก็รู้สึกอยากจับมือของนาง
ทว่าเขาไม่กล้า
เขามองนางนิ่ง พูดว่า “ข้าแค่กลัวว่าคนที่ข้าอยากเป็นเพื่อนด้วยจะไม่เห็นข้าเป็นเพื่อน”