ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 212 ธนูเดียว
ตอนที่ 212 ธนูเดียว
เว่ยเชียงยิ้มน้อยๆ ให้ลั่วเซิง “เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณหนูลั่วมาก”
“ยืมดอกไม้ถวายพระ มิอาจรับคำขอบคุณของพระองค์ได้หรอกเพคะ จะทรงเสวยที่นี่หรือนำกลับเพคะ”
เมื่อรู้สึกถึงความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาของใครบางคน เว่ยเชียงก็ยิ้มพูดว่า “นำกลับแล้วกัน”
นำกลับไปยังสามารถแบ่งให้อวี้เหนียงชิมได้ด้วย
หลังจากที่อวี้เหนียงทานบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวชามนั้นแล้วก็ไม่อยากอาหารอีกครั้ง สีหน้าซีดขาวจนน่ากังวลใจ
ลั่วเซิงหยิบขาหมูขอทานขาหนึ่งออกมาใช้ใบบัวรองไว้และยื่นให้เว่ยเชียง เตือนด้วยเสียงราบเรียบว่า “ระวังลวกมือนะเพคะ”
ใบบัวเป็นใบบัวตากแห้ง หลังจากแช่น้ำแล้วสามารถนำมาห่อขาหมูเป็นขาหมูขอทานและยังสามารถทำไก่ขอทานได้ด้วย
ใบบัวตากแห้งเหล่านี้ขอมาจากพ่อครัวหลวงที่ตามเสด็จฮ่องเต้มา
จักรพรรดิเสด็จราชดำเนินไปต่างถิ่นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องคำนึงทุกอย่างให้รอบคอบ ในส่วนของพระกระยาหารขององค์จักรพรรดิแน่นอนว่าวัตถุดิบต่างๆ ย่อมขาดไม่ได้
ถึงอย่างไรมาถึงเป่ยเหอไม่สะดวกเหมือนอยู่ในเมืองหลวง
เว่ยเชียงถือขาหมูที่ร้อนและหอมฉุย รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ขอยืมกล่องอาหารได้หรือไม่”
หากเขาเดินถือขาหมูออกจากที่นี่กลับไปยังกระโจมของตน ระหว่างทางคงดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย
ลั่วเซิงเงยหน้ามองเขา อธิบายว่า “กะเทาะดินเหนียวออกแล้ว หากใส่ไว้ในกล่องอาหารจะกระทบต่อรสชาติเพคะ”
“เช่นนี้นี่เอง” เว่ยเชียงได้ยินลั่วเซิงพูดเช่นนี้จึงล้มเลิกความคิด
“เสด็จอา คุณหนูลั่ว ข้ากลับก่อนนะ”
เขาถือขาหมูเดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วเดินมา
“ถวายพระพรองค์ชาย”
“แม่ทัพใหญ่มิต้องมากพิธี”
แม่ทัพใหญ่ลั่วตามองมือเว่ยเชียง “ฝ่าบาททรงถืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กลิ่นหอมมากเลย!
“คุณหนูลั่วบอกว่าอาหารนี้ชื่อว่าขาหมูขอทาน”
“ขาหมูขอทานหรือ…” แม่ทัพใหญ่ลั่วมองอย่างพินิจพิเคราะห์ เห็นดินเหนียวอัปลักษณ์ที่ถูกกะเทาะออกมุมหนึ่ง เผยให้เห็นหนังย่นเนื้อแดงมันวาวข้างใน
เมื่อฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ แม่ทัพใหญ่ลั่วพลันหน้าเปลี่ยนสี
แย่แล้ว หมูตัวหนึ่งมีสี่ขา รัชทายาทเอาไปแล้วหนึ่งขา เหลือเพียงสามขาเท่านั้น!
คิดถึงลูกชาย หลานชายและไคหยางอ๋องที่มักจะชอบมาขอข้าวกินอย่างหน้าด้านๆ…
แม่ทัพใหญ่ลั่วยังมีเวลาพูดอะไรมากมายอีก เขารีบกล่าวลาเว่ยเชียงแล้วเดินไปทางลั่วเซิงทันที
ลั่วเซิงกำลังเปิดฝาหม้อ นำต้นหอมที่หั่นเป็นท่อนๆ ใส่ลงไปบนเนื้อกระต่ายที่ตุ๋นจนเปื่อยและกำลังส่งกลิ่นหอม หางตาเหลือบไปเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่ว นางปิดฝาหม้อเสร็จแล้วกล่าวทักทาย “ท่านพ่อมาทำอะไรหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่ว “…”
ไม่รู้ว่าลั่วเซิงจงใจหรือไม่ เหตุใดจึงชอบถามคำถามที่ชวนให้คนลำบากใจเช่นนี้นะ
“มาดูน่ะ” เขากวาดตามอง สายตาหยุดลงที่เว่ยหาน
“ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่หรือ”
ท่านอ๋องที่กำลังจะกินขาหมูจำใจต้องวางขาหมูขอทานลง พยักหน้าเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วก็มาด้วย”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าแข็งเกร็ง
นี่มันคำพูดเหลวไหลอะไรกัน!
นี่คือกระโจมพักผ่อนของลูกๆ ของเขา เขาเป็นพ่อมาที่นี่มีปัญหาตรงไหนหรือ
ท่านอ๋องอายุน้อยยังไม่แต่งงานมีหน้ามานั่งที่นี่แล้วยังพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
เมื่อเห็นขาหมูสองขาที่อยู่บนใบบัวข้างกายชายหนุ่ม แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เกือบจะหลงลืมตัวตนและสถานะลงมือต่อสู้กับเขาแล้ว
ขาหมูสามขา ไคหยางอ๋องกินคนเดียวสองขาเลยหรือ
“ท่านอ๋องกินขาหมูอยู่หรือ”
เว่ยหานหยิบขาหมูที่วางลงขึ้นมา พยักหน้ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “อืม สัตว์ที่ข้าล่าได้วันนี้น่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเงียบไป
ดังนั้นแล้ว ไคหยางอ๋องล่าหมูป่าก็เพื่อต้องการกินอาหารที่ชื่อว่าขาหมูขอทานหรือ
สัตว์ที่คนอื่นล่ามาได้ เขาจะพูดอะไรได้อีก รู้เช่นนี้แต่แรกเขาคงล่าหมูป่าแล้วส่งมาที่นี่เหมือนกัน
คุณชายสามเซิ่งยกขาหมูขาสุดท้ายยื่นให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว “ท่านลุง ท่านลองชิมขาหมูนี้ดู รสชาติดีอย่าบอกใครเชียว”
แม่ทัพใหญ่ลั่วอดซาบซึ้งไม่ได้
ดูสิ สุดท้ายแล้วหลานก็น่าพึ่งพามากกว่า คนนอกก็คือคนนอก
กินขาหมูสองขาคนเดียว ลูกเขยแบบนี้เอามาทำอะไร
ไม่ได้ ลองถามความเห็นของเจ้าสามดูดีกว่า
แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่อยากเห็นไคหยางอ๋องผู้ครอบครองขาหมูสองขาอีก เขาเดินจากไปพร้อมขาหมูที่หลานชายให้ด้วยความกตัญญู
“อาซิ่ว ขาหมูชุดที่สองจะเสร็จแล้วใช่หรือไม่” คุณชายสามเซิ่งกินเนื้อย่างพลางถาม
โชคดีที่เขามีไหวพริบ ทันทีที่เห็นไคหยางอ๋องล่าหมูป่าก็คิดถึงขาหมูขอทานที่น้องลั่วทำระหว่างทางเข้าเมืองหลวงทันที
เมื่อคิดถึงขาหมูขอทานก็อดน้ำลายไหลไม่ได้ จากนั้นเขาก็เลยตามหาคนที่ล่าหมูป่าได้และขอมา
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ มากินเถอะ”
ขาหมูสี่ขา คุณชายสามเซิ่งหนึ่งขา ลั่วเฉินและเสี่ยวชีคนละขา อีกหนึ่งขาเป็นของหงโต้ว
เห็นทั้งสี่คนถือขาหมูกินอย่างเอร็ดอร่อย เว่ยหานก็ขมวดคิ้ว ยื่นขาหมูที่วางอยู่บนใบบัวให้ลั่วเซิง
“คุณหนูลั่วก็กินสักหน่อยสิ”
ลั่วเฉินแววตาวูบไหว
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยอมสละขาหมูขาหนึ่งให้ลั่วเซิง
คุณชายสามเซิ่งเองก็ตกตะลึงไป
ขาหมูที่อร่อยเช่นนี้ยังยอมสละแบ่งให้ ไคหยางอ๋องต้องใช้ความพยายามแค่ไหนกัน!
ลั่วเซิงยิ้มๆ “ท่านอ๋องกินเถอะ ข้าไม่ค่อยหิว”
เว่ยหานตั้งใจมองนาง เห็นนนางไม่ได้เสแสร้งจึงพยักหน้าเบาๆ
เว่ยเชียงเดินถือขาหมูขอทานไปตลอดทางกลับ ระหว่างทางพบเจอผู้คนทำความเคารพมากมาย
มองดูรองเจ้ากรมราชรถที่ประสานมือคารวะ เว่ยเชียงไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
“ฝ่าบาทถืออะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ขาหมูขอทานน่ะ แม่ครัวใหญ่ของหอสุราเป็นคนทำ ทำมาจากหมูป่า” เมื่อพูดเสร็จอย่างรวดเร็ว เว่ยเชียงก็เดินผ่านรองเจ้ากรมหวังไป
รองเจ้ากรมหวังขยับจมูกเล็กน้อย
หอมจังเลย
น่าเสียดายที่เขาไม่มีความสามารถในการล่าหมูป่า
เว่ยเชียงเร่งฝีเท้า ในที่สุดก็ถึงกระโจมทองเสียที
“อวี้เหนียง เจ้าดูสิว่าข้าเอาอะไรกลับมา” เขาวางขาหมูขอทานที่รองด้วยใบบัวลงบนโต๊ะ เรียกเฉาฮวามาลองชิม
เฉาฮวากินไปสองสามคำก็วางตะเกียบลง
“ทำไมไม่กินแล้วเล่า”
เฉาฮวายิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ขาหมูอร่อยเพคะ เพียงแต่ว่ากินมากไปก็รู้สึกเลี่ยนอยู่บ้าง”
“เจ้ากินน้อยเกินไปแล้ว” เว่ยเชียงพูดพลางคิดถึงบะหมี่น้ำแกงเปรี้ยวที่ถูกกินเกลี้ยงเกลาชามนั้น
“บะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวครั้งที่แล้วกินไปไม่น้อยเลย”
เฉาฮวาเอ่ยอย่างประหม่า “บะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวที่แม่ครัวใหญ่ของมีหอสุราทำถูกปากหม่อมฉันจริงๆ เพคะ”
เว่ยเชียงแอบจดจำเอาไว้ เมื่อทานอาหารเสร็จนั่งพักครู่หนึ่งก็เดินออกจากกระโจมทองไปทางลั่วเซิง
“คุณหนูลั่วไม่อยู่หรือ” ได้ยินคำพูดของลั่วฉิง เว่ยเชียงก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ล่าสัตว์แล้ว กินข้าวแล้ว ไม่อยู่ในกระโจมแล้วจะไปไหนได้
ลั่วฉิงตอบอย่างนอบน้อม “น้องสามพาน้องชายไปฝึกยิงธนูแล้วเพคะ”
เว่ยเชียงยิ้ม “คุณหนูลั่วรักน้องชายจริงๆ คุณหนูรองลั่วรู้หรือไม่ว่าคุณหนูลั่วไปฝึกยิงธนูที่ไหน”
ลั่วฉิงบอกสถานที่ เว่ยเชียงหันหลังเดินจากไป
“เจ้าต้องมีสมาธิ อย่าตื่นตระหนก ทำความคุ้นเคยกับธนูให้ดี… ถือธนูให้มั่นเหมือนข้า…”
เสียงอ่อนโยนสบายๆ ดังเข้าหู ราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วงที่ใสสะอาดช่วยบรรเทาความหงุดหงิดของผู้คน
แต่เว่ยเชียงกลับชะงักฝีเท้าลง จ้องหญิงสาวที่ง้างธนูคนนั้นเขม็ง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีขาว
ลูกธนูพุ่งทะยานออกไป ปักลงกลางเป้า
แต่เว่ยเชียงกลับรู้สึกว่าลูกธนูลูกนั้นไม่ได้ยิงเข้ากลางเป้า แต่ยิงเข้าที่หัวใจของเขา
ทันใดนั้นเลือดเนื้อพลันแหลกเหลว กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ