ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 217 เรียนทำอาหาร
ตอนที่ 217 เรียนทำอาหาร
ราชนิเวศน์แห่งนี้สร้างขึ้นบนภูเขา งดงามอลังการ
ซิ่วเย่ว์เดินตามหลังเว่ยเชียงอย่างสุภาพ รักษาระยะห่างไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไป
โต้วเหรินหิ้วปลา แอบชื่นชม
แม่ครัวคนนี้รู้เรื่องกว่าสาวใช้ข้างกายคุณหนูลั่วมาก เห็นได้ว่านางยังไม่ออกนอกลู่นอกทาง
เมื่อคิดถึงความทรมานที่ฝ่าบาทต้องเผชิญในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาครั้นเขาไปหาคุณหนูลั่ว โต้วเหรินก็คิดอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับซิ่วเยว่ไว้
ด้วยความสามารถในการทำอาหารของแม่ครัวท่านนี้จะเข้าวังเป็นแม่ครัวหลวงก็ย่อมได้ กระชับความสัมพันธ์แล้วไม่แน่ว่าจะได้ทานอาหารที่นางทำด้วย
เจ้านายนั่ง เขายืน เจ้านายกิน เขามอง เมื่อก่อนไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้รู้สึกยากลำบากเหลือเกิน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็สะดุดหินก้อนหนึ่ง ปลาที่อยู่ในมือลอยออกไป
ซิ่วเย่ว์เดินอยู่ข้างๆ พอดี นางรับปลาไว้อย่างว่องไว
ปลาที่คิดว่าตนเองรอดตายแล้วสะบัดหางสองสามที น้ำกระเด็นใส่นางทั้งตัว
“ขออภัยจริงๆ” โต้วเหรินกล่าวขอโทษ
อย่างอื่นไม่เป็นไร แต่หากปลาตัวนี้ตกลงบนพื้น เขาคงไม่รอดแน่
นี่คือปลาที่ฝ่าบาทและอวี้เสวี่ยนซื่อจะเสวย เขาจึงเป็นคนถือด้วยตนเอง
เว่ยเชียงได้ยินเสียงก็หันมามอง เห็นปลาพยายามดิ้นในมือซิ่วเย่ว์ ถามเสียงขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่นี้ปลาตัวนี้พยายามดิ้นหนีจากมือของกระหม่อม โชคดีที่แม่ครัวรับมันไว้…”
เว่ยเชียงจึงมองซิ่วเย่ว์อย่างพินิจพิเคราะห์
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของสตรีปิดบังหน้าตาเดิมของนางไว้ มองดูเหมือนคนอายุสี่สิบกว่า
แม่ครัวของคุณหนูลั่วอัปลักษณ์ไปบ้างจริงๆ
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เว่ยเชียงสังเกตซิ่วเย่ว์
แม้แม่ครัวของมีหอสุราจะมีชื่อเสียงมาก แต่ในสายตาของคนเหล่านี้ ผู้ที่มีชื่อเสียงคือแม่ครัวของคุณหนูลั่ว หาใช่ตัวแม่ครัวเอง
ใครจะไปสนใจหน้าตาของแม่ครัวคนหนึ่งเล่า
บางทีอาจจะมีเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าในตัวนางนั่นก็คือ แม่ครัวที่สามารถทำอาหารเลิศรสได้ผู้นี้ต้องไม่ใช่แม่ครัวของคุณหนูลั่วอีกต่อไป
เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถจ้างแม่ครัวผู้นี้มาเป็นของตนเองได้
“ข้าจำได้ว่าคุณหนูลั่วเรียกเจ้าว่าอาซิ่ว” เว่ยเชียงพิจารณาเสร็จก็เอ่ยปาก
ซิ่วเย่ว์ส่งปลาที่กระโดดโลดเต้นไม่หยุดให้โต้วเหริน ตอบอย่างสุภาพว่า “เพคะ”
“ได้ยินว่าคุณหนูลั่วพาเจ้ามาจากทางใต้” เว่ยเชียงเดินไปข้างหน้า ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เพคะ”
เว่ยเชียงลอบส่ายศีรษะ ไม่ได้ถามต่อไป
เป็นเรื่องยากที่ข้างกายคุณหนูลั่วจะมีคนพูดน้อยท่านหนึ่ง ทำให้เขาสนทนาต่อไปไม่ได้เลย
ซิ่วเย่ว์ลอบถอนหายใจ
นางไม่ใช่คนฉลาด รับมือเรื่องเหล่านี้ไม่ไหว เช่นนั้นก็พูดให้น้อย พูดมากรังแต่จะเสียเปรียบ
ทว่าในอดีตนางกลับเป็นคนที่ชอบพูดที่สุดในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่
ความโศกเศร้าแวบขึ้นมาในดวงตาของซิ่วเย่ว์ เมื่อคิดได้ว่าประเดี๋ยวต้องเจอเฉาฮวา หัวใจของนางก็ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง
ไม่นานพวกเขาก็ผ่านกำแพงราชนิเวศน์สีแดงชาดและมาหยุดลงที่ลานราชนิเวศน์
“อาซิ่ว เชิญตามข้ามา”
ซิ่วเย่ว์ย่อเข่าให้เว่ยเชียงเล็กน้อย เดินตามโต้วเหรินไป
เว่ยเชียงรีบเดินขึ้นบันไดหิน จับมือของเฉาฮวาไว้ “เหตุใดจึงมาอยู่ข้างนอกเล่า”
“ออกมาสูดอากาศเพคะ” เฉาฮวายิ้มอย่างอ่อนโยน “หม่อมฉันเห็นคนที่ตามหลังโต้วกงกงคล้ายแม่ครัวของคุณหนูลั่วเลยเพคะ”
เว่ยเชียงยิ้ม “นางคือแม่ครัวของคุณหนูลั่ว”
เฉาฮวาทำตาโตเล็กน้อย เผยความประหลาดใจ “เหตุใดฝ่าบาทจึงพาแม่ครัวของคุณหนูลั่วมาเล่าเพคะ”
“เดิมข้าให้นางช่วยทำบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยว คุณหนูลั่วบอกว่าเต็มใจให้แม่ครัวมาสอนนางกำนัลของเจ้าทำอาหารจานนี้ ข้าคิดว่าแบบนี้ก็ดี ก็เลยพานางมา”
“เช่นนี้นี่เอง ทำให้ฝ่าบาทหนักใจแล้ว” เฉาฮวาเผยสีหน้าซาบซึ้ง มือที่ประสานกันในแขนเสื้อบีบกันแน่น
คุณหนูลั่วส่งซิ่วเย่ว์มาเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าตั้งใจให้ความร่วมมือนะ
เว่ยเชียงจูงมือเฉาฮวาเดินลงบันได เดินทอดน่องในสวน
ฟ้าใกล้มืดแล้ว แสงอัสดงปกคลุมทั่วขอบฟ้า ดอกไม้และต้นไม้ในสวนถูกคลุมด้วยผืนผ้าสีแดงเข้มสลับอ่อน
เว่ยเชียงเพลิดเพลินกับความสุขในยามเย็น ยิ้มพูดว่า “หนักใจอะไรกัน ข้าก็ชอบกินบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวเหมือนกัน”
เฉาฮวาคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “เช่นนั้นก็ให้ชิงเอ๋อร์เรียนกับแม่ครัวเถอะเพคะ ชิงเอ๋อร์เป็นคนละเอียด รับใช้หม่อมฉันอย่างรอบคอบเสมอ”
เว่ยเชียงพูดอย่างไม่แยแสว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าตัดสินใจได้เลย”
เฉาฮวาหันไปเรียก “ชิงเอ๋อร์”
ชิงเอ๋อร์ที่เดินตามหลังนางมาตลอดเดินขึ้นหน้า “เสวี่ยนซื่อเชิญสั่ง”
“ไปตั้งใจเรียนทำอาหารกับแม่ครัวคุณหนูลั่ว”
“บ่าวรับบัญชา”
เว่ยเชียงเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนเฉาฮวาครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”
กลางวันล่าสัตว์เหงื่อออกมาก กลับมาย่อมต้องอาบน้ำให้สบายตัว
“ให้หม่อมฉันถวายรับใช้พระองค์สรงน้ำเถิดเพคะ”
“ไม่เป็นไร รอกินอาหารกับข้าก็พอ” เว่ยเชียงปฏิเสธข้อเสนอของเฉาฮวา เดินสาวเท้าไปยังห้องสรงน้ำ
เฉาฮวามองแผ่นหลังนั่นจากไปด้วยสายตาสงบ ความกังวลใจผ่อนคลายลง
รอมานานเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเจอซิ่วเย่ว์สองต่อสองแล้ว
เฉาฮวาเดินไปทางห้องครัวช้าๆ
แม้ราชนิเวศน์จะสู้พระราชวังไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรมีก็ไม่ขาด อย่างเช่นห้องครัวหลวงสำหรับวังบูรพา
“เสวี่ยนซื่อ” โต้วเหรินที่ยืนอยู่นอกห้องครัวคารวะเฉาฮวา
เฉาฮวาพยักหน้าเบาๆ ถามว่า “ชิงเอ๋อร์เรียนทำอาหารกับแม่ครัวของคุณหนูลั่วอยู่หรือ”
“ขอรับ”
เฉาฮวาก้าวเท้าจะเดินเข้าไป
“เสวี่ยนซื่อ ท่าน…” โต้วเหรินเห็นดังนั้นก็อดเรียกไม่ได้
เฉาฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าแค่อยากดู เข้าไปดูสักครู่”
“ห้องครัวมีทั้งน้ำมันและควัน เสวี่ยนซื่ออย่าเข้าไปเลยจะดีกว่า” โต้วเหรินโน้มน้าว
เฉาฮวามองเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าแค่สงสัยอยากจะเข้าไปดู ต้องได้รับอนุญาตจากโต้วกงกงด้วยหรือ”
โต้วเหรินรีบพูดว่า “เสวี่ยนซื่อทำให้บ่าวลำบากใจแล้ว บ่าวจะพาท่านเข้าไปเดี๋ยวนี้”
อันที่จริงเสวี่ยนซื่อคนหนึ่งนั้นไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น แต่ใครใช้ให้อวี้เสวี่ยนซื่อเป็นคนในดวงใจขององค์รัชทายาทเล่า
โต้วเหรินพาเฉาฮวาเข้าไปในห้องครัวเงียบๆ
ห้องครัวกว้างขวางมาก เพียงพอสำหรับห้องหลายห้อง
โต้วเหรินมองไปไม่เห็นซิ่วเย่ว์จึงถามพ่อครัวหลวงที่กำลังยุ่งคนหนึ่ง “แม่ครัวที่เชิญมาเล่า”
เห็นได้ชัดว่าพ่อครัวหลวงไม่พอใจ เขาอดกลั้นความโมโหไว้พลางตอบว่า “แม่ครัวท่านนั้นบอกว่าได้รับบัญชาจากเจ้านายมาสอนทำอาหาร ถ่ายทอดได้เพียงคนเดียว นางกำนัลที่มาเรียนทำอาหารเข้าไปในห้องด้านในสุดแล้วขอรับ”
โต้วเหรินมองเฉาฮวา
เฉาฮวาพูดเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อเช่นนี้ โต้วกงกงก็รอที่นี่เถอะ ข้าเข้าไปดูเดี๋ยวเดียวแล้วจะออกมา”
โต้วเหรินจะพูดอะไรได้อีก ได้แต่ยืนรออย่างเชื่อฟัง
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านใน ตามมาด้วยเสียงขออภัยของนางกำนัล
“เสวี่ยนซื่อโปรดอภัยด้วย บ่าวประมาทเลินเล่อเอง…”
โต้วเหรินไม่รีรอ เขาเข้าไปทันทีและต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
เห็นเพียงชิงเอ๋อร์คุกเข่ากับพื้น มีดเล่มหนึ่งร่วงลงข้างมือ นิ้วเลือดไหลไม่หยุด
“นะ… นี่มันเกิดอะไรขึ้น” โต้วเหรินอดถามไม่ได้
ชิงเอ๋อร์อับอาย “บ่าวงุ่มง่าม ไม่ระวังหั่นโดนมือ…”
หั่นโดนมือ ย่อมเรียนต่อไปไม่ได้แล้ว
เฉาฮวาถอนหายใจ “ช่างเถอะ ข้าเรียนกับแม่ครัวเอง”
โต้วเหรินห้ามปรามตามสัญชาติญาณ “เสวี่ยนซื่อสถานะสูงศักดิ์ จะเรียนเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร…”
เฉาฮวามองเขา ยิ้มพูดว่า “ข้าทำเป็นแล้วจะได้ทำให้องค์รัชทายาทเสวยด้วยตนเอง”
ราวกับว่านางเพิ่งคิดได้ น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “ที่จริงแล้วคนที่เรียนเดิมควรเป็นข้า จะได้ไม่รู้สึกผิดต่อน้ำใจขององค์ชาย โต้วกงกงพาชิงเอ๋อร์ออกไปเถิด”