ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 219 พักผ่อน
ตอนที่ 219 พักผ่อน
ท่านหญิงก็คือคุณหนูลั่วอย่างไรเล่า
ทุกๆ คำระเบิดในใจของเฉาฮวาราวกับสายฟ้าฟาดลงมา
มันทำให้นางจิตวิญญาณของนางสั่นไหว ทั้งที่ทุกคำนั้นเรียบง่ายเพียงนั้น แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้
ท่านหญิงก็คือคุณหนูลั่ว หมายความว่าอะไรกัน
“ซิ่วเย่ว์ เจ้ากำลังพูดอะไร”
หม้อน้ำแกงที่กำลังเดือด กลิ่นหอมค่อยๆ เข้มข้นขึ้น ควันที่ลอยขึ้นมาบดบังสีหน้าของซิ่วเย่ว์ไว้
“ท่านหญิงก็คือคุณหนูลั่ว” นางพูดซ้ำเบาๆ อีกครั้ง
เฉาฮวาสั่นศีรษะโดยสัญชาติญาณ “ซิ่วเย่ว์ เจ้ากำลังพูดเรื่องตลกอะไร เหตุใดข้าจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดเลย”
ซิ่วเย่ว์จับช้อนไม้ไว้ในมือ มองนางนิ่ง “เจ้ารู้ว่าข้าไม่เคยพูดเพ้อเจ้อ”
“แล้ว… ท่านหญิงก็คือคุณหนูลั่วหมายความว่าอะไร”
ซิ่วเย่ว์เหลือบมองประตู กระซิบเสียงเบาว่า “ท่านหญิงตื่นมาก็พบว่าตนเองกลายเป็นคุณหนูลั่วไปแล้ว”
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แม้แต่ท่านหญิงก็เองไม่เข้าใจ แล้วนางจะเข้าใจได้อย่างไร
“ยืมศพคืนชีพ?” เฉาฮวาพึมพำ
การคาดเดาที่เหลวไหลนี้ทำให้นางไม่อยากจะเชื่อ
ม่านตาเฉาฮวาหดเล็กลง พูดเสียงเบาว่า “ซิ่วเย่ว์ เจ้าคงไม่ได้ถูกนางหลอกหรอกนะ…”
ซิ่วเย่ว์ใส่เนื้อปลาที่หั่นเป็นชิ้นลงไปในหม้ออย่างสงบ
“ซิ่วเย่ว์!” เฉาฮวาอดคว้าแขนเสื้อนางไว้ไม่ได้
ซิ่วเย่ว์เหลือบมองนาง น้ำเสียงราบเรียบ “แม้ข้าจะไม่ฉลาด แต่ก็ไม่มีทางจำท่านหญิงผิดไปได้”
เฉาฮวาตะลึงปล่อยมือออก
นางคิดเพียงว่าซิ่วเย่ว์ใสซื่อ กลัวว่าจะถูกผู้อื่นหลอกลวง แต่นางกลับลืมไปว่าก็เป็นเพราะความซื่อตรงของซิ่วเย่ว์ นางจึงจะไม่ยอมรับใครเป็นเจ้านายง่ายๆ
แต่ว่า… คุณหนูลั่วเป็นท่านหญิงไปได้อย่างไร
บนโลกนี้… มีเรื่องอย่างยืมศพคืนชีพจริงๆ หรือ
เฉาฮวารู้สึกว่าความรู้ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพังทลายราวกับกระแสน้ำโหมซัด
นางชอบอ่านหนังสือ เห็นเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่า จะเกิดขึ้นจริงๆ ได้อย่างไร
มองดูซิ่วเย่ว์ที่สงบนิ่ง เฉาฮวาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นางจะต้องไปพบคุณหนูลั่วด้วยตนเอง
“หัวปลาต้มน้ำแกงเปรี้ยวเสร็จแล้ว กุ้ยเหรินทำเป็นหรือยัง”
เสียงของซิ่วเย่ว์ดึงสติของเฉาฮวากลับมา
นางค่อยๆ กดขอบตาที่บวมและเจ็บแล้วยิ้ม “จะให้ทำเป็นในครั้งเดียว สำหรับข้าแล้วเป็นที่เรื่องค่อนข้างลำบาก”
ซิ่วเย่ว์ตักหัวปลาขึ้นมาใส่ลงไปในชามลายครามที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก ท่าทางสุภาพ “เช่นนั้นข้าน้อยมีโอกาสจะมาสอนท่านอีก”
“รบกวนแล้ว” เฉาฮวาจัดการอารมณ์ตนเองเสร็จก็มองซิ่วเย่ว์อย่างลึกซึ้ง ยกถาดที่มีชามลายครามเดินออกไป
เมื่อเห็นเฉาฮวาออกมา โต้วเหรินก็รีบเดินขึ้นหน้า “เสวี่ยนซื่อ เมื่อครู่นี้องค์ชายถามว่าท่านไปไหน”
เฉาฮวาพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้หันกลับไปมองซิ่วเย่ว์ นางเดินไปยังห้องบรรทมอย่างสงบ
ซิ่วเย่ว์ยืนนิ่งในสวน ปล่อยให้สายลมยามเย็นพัดเอากลิ่นควันและน้ำมันออกจากร่างกาย
เฉาฮวายกถาดเดินเข้ามาในห้อง
เว่ยเชียงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีขาว กำลังเอนกายอ่านหนังสือ เมื่อได้กลิ่นหอมก็มองมา
“เหตุใดจึงยกมาเองเล่า”
เฉาฮวาวางถาดลงบนโต๊ะ ยิ้มพูดว่า “หม่อมฉันอยากทำให้เป็น ต่อไปจะได้ทำให้องค์ชายเสวยด้วยตนเองเพคะ”
“จริงหรือ” เว่ยเชียงเดินมา มองบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวที่ดูน่าเอร็ดอร่อย ยิ้มกว้างกว่าเดิม “ชามนี้อวี้เหนียงเป็นคนทำเองหรือ”
เฉาฮวากระตุกมุมปากเล็กน้อย “แม่ครัวของคุณหนูลั่วเป็นคนทำเพคะ หม่อมฉันยังทำไม่เป็น”
เว่ยเชียงกระจ่าง “มิน่า”
เขาดูแล้วก็คิดว่าไม่เหมือนอวี้เหนียงทำ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากตั้งใจเรียนทำอาหารจานนี้กับแม่ครัวของคุณหนูลั่ว มิทราบว่าเหมาะสมหรือไม่เพคะ”
เว่ยเชียงอดยิ้มไม่ได้ “มีอะไรไม่เหมาะสมกัน ที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์มากมายเหมือนเมืองหลวง เจ้าอยากเรียนทำอาหารกับแม่ครัวของคุณหนูลั่ว คุณหนูลั่วเองก็ยินยอม เพียงส่งคนไปเชิญแม่ครัวมาทุกวัน หรือจะไปดูเองตอนกลางวันยามที่ออกไปสูดอากาศข้างนอกก็ได้”
เฉาฮวาตาเป็นประกาย “ไปได้จริงๆ หรือเพคะ”
นานๆ ทีเว่ยเชียงจะเห็นเฉาฮวาเผยสีหน้ามีความสุขเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนกว่าเดิม “เจ้าอยากไปก็ไป ขอแค่พาคนตามไปด้วยก็พอ”
ในความทรงจำของเขา อวี้เหนียงเป็นคนเงียบๆ และดูเหมือนกับว่าจะไม่สนใจอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดา
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฉาฮวาซาบซึ้ง โน้มตัวอิงแอบเขาเบาๆ
หลังจากออกจากราชนิเวศน์แล้ว ซิ่วเย่ว์ก็เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายลมยามเย็น ขันทีถือตะเกียงและส่องถนนด้านหน้าให้สว่างไสว
เมื่อเงยหน้าขึ้น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
ซิ่วเย่ว์เหม่อมองท้องฟ้า ท้องฟ้าของเป่ยเหอสูงจัง คล้ายกับที่เห็นในเมืองหนานหยางเลย
พวกนางหาพี่เฉาฮวาเจอที่นี่
ซิ่วเย่ว์เดินผ่านขันทีที่ถือตะเกียงหยุดรอนาง เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า
ขันทีที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังลอบส่ายศีรษะ
แม่ครัวคนนี้ตกใจกับความโอ่อ่าของราชนิเวศน์หรือ เหตุใดนางจึงดูมึนงงเล็กน้อย
เรือนรับรองสำหรับขุนนางและครอบครัวที่ติดตามจักรพรรดิมาตั้งอยู่ที่ตีนเขา
ลั่วเซิงที่อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งเอนกายบนตั้งอ่านหนังสือเงียบๆ ถามหงโต้วว่า “อาซิ่วยังไม่กลับมาหรือ”
หงโต้วเบ้ปาก “ยังเลยเจ้าค่ะ นางคงได้รับคำชื่นชมจากเหล่าคนสูงศักดิ์ อยู่ทานอาหารที่นั่นแล้ว”
อาซิ่วเจ้าคนไร้หัวใจ เสียดายที่คุณหนูเป็นห่วงแทนนาง
แน่จริงก็อยู่ในวังไปเลยสิ นางคนเดียวก็รับใช้คุณหนูได้ดี!
หงโต้วเกือบจะทำให้ลั่วเซิงขบขันออกมา
สาวใช้ฟ้องเกินจริงโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ
“ลองไปดูให้ข้าที หากอาซิ่วกลับมาแล้ว ให้นางมาพบข้า”
“เจ้าค่ะ” แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่หงโต้วก็ออกไปแต่โดยดี
ลั่วเซิงอ่านหนังสืออีกครู่หนึ่ง หงโต้วพาซิ่วเย่ว์เข้ามา
ต่อหน้าหงโต้ว ซิ่วเย่ว์พูดอะไรมากไม่ได้ นางเพียงแค่ย่อเข่าคารวะลั่วเซิง
“หงโต้ว เจ้าออกไปเฝ้าข้างนอกเถอะ อย่าให้ผู้อื่นรบกวนเราคุยกัน”
หงโต้วเหลือบมองซิ่วเย่ว์ สะบัดกายเดินออกไป
เชอะ นางต่างหากที่เป็นสาวใช้ภักดีของคุณหนู เรื่องสังเกตการณ์ต้องให้นางออกโรงอยู่ดี
ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง เทียนสีแดงวูบไหว
ลั่วเซิงค่อยๆ เอ่ยปาก “เป็นอย่างไรบ้าง”
ซิ่วเย่ว์พยักหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจ “เฉาฮวาจะให้กำไลบ่าวเจ้าค่ะ!”
ดวงตาของลั่วเซิงปรากฏรอยยิ้ม
“รู้แล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”
ซิ่วเย่ว์ย่อเข่าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
หงโต้วที่เฝ้าอยู่ข้างนอกถลึงตามอง
นางเพิ่งออกมาเฝ้าประตู เหตุใดอาซิ่วก็ไปแล้วเล่า
เห็นทีคุณหนูไม่มีอะไรพูดคุยกับอาซิ่วมากนี่นา
สาวใช้เดินเข้าไปในห้องอย่างมีความสุข
คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งความเงียบ
วันรุ่งขึ้น อากาศยังคงสดใสเย็นสบาย
คุณชายสามเซิ่งไม่เข้าใจ “น้องลั่ว วันนี้เจ้าไม่ไปล่าสัตว์หรือ”
“ไม่ไปแล้ว ข้าจะพักผ่อน”
“แต่ว่าล่าสัตว์ก็ไม่เหนื่อยนี่” คุณหนูสามเซิ่งคิดถึงฉากที่เห็นทุกครั้งยามล่าสัตว์ เขายิ่งไม่เข้าใจ
ทุกครั้งม้าขาวตัวใหญ่ของไคหยางอ๋องตามตอแยม้าสีแดงพุทราของน้องลั่ว ทิ้งเจ้าของไว้ข้างๆ
เจ้าของไม่ต้องควบม้าไปไหนเสียหน่อย เหนื่อยอะไรกัน
“ท่านพี่พาลั่วเฉินพวกเขาไปเถอะ กลับมาจะทำเนื้อกวางตุ๋นให้กิน”
คุณชายสามเซิ่งได้ยินก็ไม่สนใจว่าลั่วเซิงจะไปหรือไม่แล้ว เขาตะโกนเรียกลั่วเฉินและคนอื่นๆ “ไปกันเถอะ วันนี้ล่ากวางกัน น้องลั่วจะทำเนื้อกวางตุ๋น!”
เนื้อกวางตุ๋น?
คนที่ได้ยินเสียงตะโกนหูตั้ง
ได้เลย การล่าสัตว์ในวันนี้มีเป้าหมายแล้ว
คนที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ควบม้าทะยานไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
เซียวกุ้ยเฟยเดินออกจากกระโจมทอง บังเอิญเจอเฉาฮวาที่เดินออกมาจากกระโจมด้านข้างพอดี