ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 224 นับ
ตอนที่ 224 นับ
มือของชายหนุ่มใหญ่และเรียวยาว
มือของเด็กสาวบอบบางและอ่อนนุ่ม
มือใหญ่ที่กอบกุมมือบอบบางเอาไว้นั้นแตกต่างกันชัดเจน แต่กลับกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด
ราวกับว่าการจับมือกันและกันเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัยเรื่องหนึ่ง
ลั่วเซิงเบิกตามองชายหนุ่มผู้นั้น ในสมองมีเพียงความคิดเดียว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด และไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองสินะ
ในสมองของเว่ยหานกลับไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น
มืออ่อนนุ่มเย็นเยียบที่อยู่ในฝ่ามือเขาข้างนั้น ทำให้เขาคิดอยากจะจับเอาไว้เนิ่นนาน
มือข้างนี้สามารถปรุงอาหารรสชาติอร่อยสุดยอดออกมาและสามารถยิงธนูออกมาได้อย่างรวดเร็วและดุดัน
ทำให้เขาชื่นชม ทำให้เขาชื่นชอบ
เขาเพิ่มแรงส่วนหนึ่ง จับมืองดงามอ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูกนั่นเอาไว้แน่น
ลั่วเซิงได้สติกลับคืนมาสมบูรณ์จึงตวาดว่า “ปล่อยนะ!”
เว่ยหานก็รู้สึกตัวขึ้นมาเช่นกัน เขามองเด็กสาวที่โกรธจัดพลางเอ่ยเสียงเบา “มือของเจ้าเย็นมาก”
ลั่วเซิงมองเขาด้วยแววตาเย็นชา
“มือของข้าอุ่นร้อนมาก” ชายหนุ่มอธิบายห้วนๆ
ลั่วเซิงยิ้มเยาะ
สมองทำงานได้ไม่เร็วพอ
“มือของข้าเย็นหรือไม่นั้นเกี่ยวข้องอันใดกับท่านอ๋องด้วยเล่า”
เมื่อเห็นเว่ยหานอึ้งไป ลั่วเซิงก็ถามอีกว่า “มือของท่านอ๋องจะอุ่นร้อนหรือไม่นั้น เกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า”
เจ้าคนสารเลวนี่คิดจะแถให้ผ่านไป ดีร้ายอย่างไรก็ต้องหาเหตุผลที่พอจะยอมรับได้หน่อย เอ่ยออกมาลวกๆ สองประโยคเช่นนี้ คงไม่ได้นึกว่านางถูกรูปโฉมของบุรุษทำให้ลุ่มหลงจนเสียสติหรอกนะ
“ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกัน” เว่ยหานเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย “ขอโทษด้วย”
ลั่วเซิงมีสีหน้าทะมึน “เช่นนั้นท่านยังไม่ปล่อยมืออีก!”
เอ่ยมาตั้งมากมาย เขายังจะจับมือนางเอาไว้อีก
เว่ยหานหลุบตาลง จ้องมือที่จับกันอยู่ของทั้งสองคน พลางครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่อยากปล่อย”
ลั่วเซิงตะลึงค้างไปแล้ว
นางรู้สึกว่าสิ่งที่นำไปเปลี่ยนเงียบๆ นั้นไม่ใช่กำไล แต่เป็นไคหยางอ๋อง
คนบ้ากามหน้าหนาผู้นี้เป็นใครกันแน่!
“ไม่ปล่อยจริงๆ หรือ” ลั่วเซิงโมโหจนคิ้วตั้ง
ชายหนุ่มตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “ไม่ปล่อย”
ลั่วเซิงถีบลงบนน่องของชายหนุ่มครั้งหนึ่งแล้วออกแรงดึงมือกลับมา พร้อมกับหมุนตัวจากไป
เว่ยหานคิดจะตามไปตามจิตใต้สำนึก แต่เมื่อก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็หยุดนิ่ง
ตามไปแล้วก็ไม่สามารถจับมือของคุณหนูลั่วได้อีก ทั้งยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนว่า เมื่อครู่นี้เขาเป็นอันใดไปด้วย
เช่นนั้น…ก็จัดการเนื้อกวางให้เรียบร้อยก่อนเถอะ
เว่ยหานนั่งยองๆ อีกครั้ง หยิบกริชแหลมคมขึ้นมา หางตาพลันเหลือบไปเห็นตะกร้าไม้ไผ่ที่วางอยู่ข้างลำธาร
ตะกร้าไม้ไผ่นั้นดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัดเพราะผู้เป็นนายรีบร้อนจากไป ลูกพลับเดือนหกสีแดงสดที่อยู่ข้างในมีหยดน้ำใสติดอยู่ มองดูแล้วทำให้ผู้คนมีความสุขเป็นพิเศษ
เว่ยหานกระชับมือที่ถือกริชเอาไว้ด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย
เขาอาจจะมีปัญหาตรงไหนสักแห่ง…
เขาวางกริชลง ยื่นมือไปทางตะกร้าไม้ไผ่โดยไม่รู้ตัวแล้วหยิบลูกพลับเดือนหกขึ้นมากินลูกหนึ่งอย่างงงงัน
ลูกพลับเดือนหกเปรี้ยวๆ หวานๆ เหมือนกับสภาพจิตใจที่มีความรู้สึกหลากหลายของเขาในตอนนี้พอดี
หลังต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกล เว่ยเชียงมองไปยังทิศทางธารน้ำใสแล้วกำหมัดแน่น
ระยะห่างนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน แต่กลับเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน
เขาไม่สนใจว่าไคหยางอ๋องจะจับมือคุณหนูลั่ว สิ่งที่เขาสนใจคือปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากนั้นของคุณหนูลั่วต่างหาก
นางทำให้เขานึกถึงลั่วเอ๋อร์ขึ้นมาอีกแล้ว
ในปีนั้น เมื่อเขาได้รู้ข่าวเรื่องการกำหนดการแต่งงานก็ตื่นเต้นจนวิ่งมาตรงหน้านางแล้วจับมือนางเอาไว้
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามีความกล้าเช่นนั้นหลังจากที่รู้จักกันมานานหลายปี
นางยกเท้าถีบเขา ดึงมือกลับ พร้อมกับหมุนตัวเดินจากไป
แต่ว่ามีจุดที่ไม่เหมือนกันเล็กน้อย เท้านั้นของลั่วเอ๋อร์ใช้แรงเยอะมาก ถีบเขาจนล้มลงไปนั่งบนพื้นทันที
เว่ยเชียงมองชายหนุ่มซึ่งสวมชุดสีแดงที่กำลังกินลูกพลับเดือนหกไกลๆ แวบหนึ่งแล้วมึนงงเล็กน้อย
แม้ว่าผลลัพธ์หลังจากถูกถีบจะไม่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่ท่าทางเมื่อครู่นี้ของคุณหนูลั่ว เหมือนกับลั่วเอ๋อร์เกินไปแล้วจริงๆ
ท่าทางการยิงธนูของลั่วเอ๋อร์ ท่าทางการถีบเขาด้วยความโมโหของลั่วเอ๋อร์ ลั่วเอ๋อร์…
เว่ยเชียงพลันเกิดความรู้สึกร้อนอกร้อนใจอยากพบลั่วเซิงขึ้นมา
บางที…คงเป็นความสงสารของสวรรค์ ทำให้เขาได้พบกับสตรีที่เหมือนกับลั่วเอ๋อร์เช่นนี้คนหนึ่ง
สำหรับอวี้เหนียง เขารู้ดีมาตลอดว่านั่นไม่ใช่ลั่วเอ๋อร์ของเขา
นางเป็นแค่สายสัมพันธ์ระหว่างลั่วเอ๋อร์ที่เขาไม่ยินยอมตัดให้ขาดเท่านั้นเอง
นางคือเฉาฮวา สาวใช้ของลั่วเอ๋อร์
นามนี้เขาไม่ได้นึกถึงมานานมากแล้ว
เฉาฮวา ซูเฟิง ยังมีเจี้ยงเสวี่ย ในความทรงจำของเขา ทุกนามล้วนถูกปกคลุมด้วยสีแดงของโลหิต
ทำให้เขาไม่กล้ามองตรงๆ
ตอนนี้เขาไม่กลัวแล้ว เขาหา ‘ลั่วเอ๋อร์’ พบแล้ว
ไม่รู้ว่าเว่ยเชียงยืนอยู่หลังต้นไม้นั้นนานแค่ไหน จนกระทั่งเงาร่างในชุดสีแดงจากไป ถึงได้สติคืนมาและรู้สึกถึงความเย็นเยือกบนพื้น
เมื่อลั่วเซิงกลับไปถึงกระโจมก็จัดวางเตาและหม้อ ทำให้คุณชายสามเซิ่งเกิดความสงสัยขึ้นมา
“น้องลั่ว ทำไมเจ้าถึงกลับมาคนเดียวล่ะ”
ดวงหน้าของลั่วเซิงกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง “ไคหยางอ๋องบอกว่าเขาจัดการคนเดียวก็พอแล้ว ข้าจึงกลับมา”
“อา” คุณชายสามเซิ่งมองไปรอบๆ พลางเอ่ยเตือนว่า “ตะกร้าของเจ้าล่ะ”
น้องลั่วไม่ได้ต้องการไปล้างลูกพลับเดือนหกที่ริมลำธารหรอกหรือ เหตุใดตะกร้าจึงหายไปเสียเล่า
ลั่วเซิงชะงัก อธิบายโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ไคหยางอ๋องบอกว่า เขาจะล้างเอง”
ถูกเจ้าคนสารเลวนั่นก่อกวน นางไหนเลยจะจำลูกพลับเดือนหกได้
คุณชายสามเซิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ไม่ดีแล้ว หากลูกพลับเดือนหกถูกไคหยางอ๋องกินไปจะทำอย่างไร”
น้องลั่วเคยบอกว่า เนื้อกวางตุ๋นต้องมีลูกพลับเดือนหกในการปรุงรส เหตุนี้จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ถึงได้ลูกพลับเดือนหกตะกร้าหนึ่งมา
หากถูกไคหยางอ๋องกินไป เช่นนั้นเนื้อกวางตุ๋นจะทำอย่างไร
คุณชายสามเซิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งลนลาน
ลั่วเซิงเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ไม่หรอก ท่านพี่วางใจได้”
นางกับบุรุษผู้นั้นทะเลาะกันจนกลายเป็นแบบนี้ ยากจะจินตนาการได้ว่า ในฐานะที่เป็นคู่กรณีอีกคนหนึ่ง ยังจะมีอารมณ์มากินลูกพลับเดือนหกได้อีก
“น้องลั่วเชื่อในตัวไคหยางอ๋องขนาดนี้เชียวหรือ”
ลั่วเซิงมีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย “ไม่เชื่อ เพียงแต่ไคหยางอ๋องไม่ค่อยคุ้นชินกับการกินลูกพลับเดือนหก”
เชื่อคนผู้นั้นหรือ
ตั้งแต่ที่เขาล่วงรู้ว่านางยิงธนูดอกนั้น แต่นางยังสงบปลอดภัยมาจนถึงวันนี้ ก็อาจจะเชื่อเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดี” คุณชายสามเซิ่งโล่งใจ
เสียงฝีเท้าดังแว่วมา
คุณชายสามเซิ่งนึกว่าเป็นเว่ยหานจึงรีบหันหน้าไปมอง แต่กลับเห็นว่าเป็นเว่ยเชียงเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีข้ารับใช้กับองครักษ์ตามมาด้วย
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
เว่ยเชียงซึ่งเมินการแสดงความเคารพจากผู้คนมากมายมาตลอดทางนั้นจ้องร่างลั่วเซิงเขม็ง
เขาเห็นนางย่อเข่าลงเล็กน้อย แผ่นหลังเหยียดตรง ไม่ได้ดูต่ำต้อยเพียงเพราะทำความเคารพต่อผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์กว่าเลยสักนิด
ไม่สูงส่ง ไม่ต่ำต้อย ล้วนไม่เหมาะที่จะใช้กับนาง
เพราะมีแต่ผู้ที่รู้สึกถึงความต่ำต้อยของตนเองเท่านั้น ถึงจะมีท่าทีไม่สูงส่ง ไม่ต่ำต้อย
และสำหรับเด็กสาวตรงหน้าคนนี้ คล้ายกับว่าระหว่างพวกเขานั้นเท่าเทียมกัน กระทั่ง…
เว่ยเชียงมีสีหน้ายากจะคาดเดาและยิ่งรู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้าคนนี้เหมือนคนผู้นั้นมาก
“คุณหนูลั่วไม่ต้องมากพิธี” เว่ยเชียงเอ่ย น้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย
ลั่วเซิงยืดตัวขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นางในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะรับมือกับคนผู้นี้
“องค์รัชทายาทได้ข่าวว่าอวี้เสวียนซื่อได้รับบาดเจ็บจึงรีบร้อนกลับมาหรือเพคะ”
“เอ่อ ใช่”
“เช่นนั้นก็โชคไม่ดีจริงๆ อวี้เสวียนซื่อจากไปแล้วเพคะ พระองค์เป็นห่วงอวี้เสวียนซื่อ หม่อมฉันคงไม่รั้งพระองค์ไว้เสวยอาหารแล้ว” เอ่ยถึงตรงนี้ ลั่วเซิงก็ยอบกาย “น้อมส่งเสด็จองค์รัชทายาท”
จนกระทั่งเว่ยเชียงเดินออกมาได้สิบกว่าจั้ง[1] ความคิดก็ยังคงสับสนงุนงง
เขาพูดแค่สองประโยคก็ถูกคุณหนูลั่วไล่ออกมาแล้วหรือ
“องค์รัชทายาท” เมื่อเห็นเว่ยเชียงหยุด โต้วเหรินจึงเอ่ยเรียก
“กลับราชนิเวศน์!”
และหลังจากที่เว่ยเชียงจากไป เว่ยหานก็แบกเนื้อกวางที่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมหิ้วตะกร้าไม้ไผ่กลับมา
“ท่านอ๋องจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ รวดเร็วมากจริงๆ” คุณชายสามเซิ่งยิ้มจนเห็นฟันขาว และนับลูกพลับเดือนหกในตะกร้าไม้ไผ่เงียบๆ
[1] จั้ง คือมาตรวัดของจีน หนึ่งจั้ง มีความยาวประมาณสิบฟุตหรือประมาณ 3.3 เมตร