ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 225 ถามอีกครั้ง
ตอนที่ 225 ถามอีกครั้ง
หนึ่งลูก สองลูก สามลูก…แปดลูก
คุณชายสามเซิ่งนับอีกครั้งเงียบๆ
หนึ่งลูก สองลูก สามลูก…ยังคงเป็นแปดลูก!
ไม่ถูกต้องนี่ เขาจำได้ชัดๆ ว่ามีเก้าลูก
คุณชายสามเซิ่งขมวดคิ้ว “ดูเหมือนลูกพลับเดือนหกจะหายไปลูกหนึ่ง”
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับกับการปรุงรสเช่นนี้ จำเป็นต้องถามให้ชัดเจน
“ข้ากินไปหนึ่งลูก” เว่ยหานเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
คุณชายสามเซิ่งพลันเบิกตากลมโต จากนั้นก็หันไปมองลั่วเซิง
น้องลั่วไม่ได้เอ่ยสาบานอย่างจริงใจว่า ไคหยางอ๋องไม่ชอบกินลูกพลับเดือนหกหรอกหรือ
ลั่วเซิงเองก็ไร้คำพูด ไร้คำตอบ
นางประเมินถังข้าว[1]ใบนี้ต่ำไปจริงๆ!
เว่ยหานมองการสื่อสารผ่านสายตาของสองญาติผู้พี่ผู้น้องเงียบๆ แล้ว คิ้วกระบี่ก็ขมวดเล็กน้อย
เขากินลูกพลับเดือนหกไปแค่ลูกเดียว นี่พวกเขาเป็นอะไรไปกัน
“คุณหนูลั่ว เนื้อกวางจัดการเรียบร้อยแล้ว ลูกพลับเดือนหกก็ล้างเสร็จแล้วเช่นกัน”
ลั่วเซิงพยักหน้าอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องวางไว้ตรงนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
เว่ยหานวางของเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาสีนิลก็มองมาที่นาง
เสี้ยววินาทีนี้ ลั่วเซิงถึงกับมองเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายออกมาหลายส่วน
การค้นพบนี้ทำให้นางโมโหและขบขัน สุดท้ายก็ถอนหายใจในใจ
ช่างเถอะ ไคหยางอ๋องน่าจะแค่แน่วแน่และยึดมั่นในของกินเท่านั้น ขอแค่ปิดปากเงียบเหมือนครั้งที่แล้ว ก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้แล้วกัน
ไม่ใช่แบบนี้ ก็คล้ายว่าจะไม่สามารถทำอันใดได้เช่นกัน…
อย่างไรเสียนางก็ไม่สามารถฆ่าคนปิดปากได้จริงๆ
เพียงแค่หลังจากนี้คงต้องห่างจากคนโรคจิตที่มีความสามารถในการสังเกตอย่างน่าตะลึงนี้ให้มากหน่อยเสียแล้ว
“เนื้อกวางส่วนท้องหั่นเป็นลักษณะใด” เว่ยหานถาม
ลั่วเซิงสีหน้าเรียบเฉย “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ อาซิ่วจะจัดการเองเจ้าค่ะ”
“คุณหนูลั่วไม่ได้เป็นคนทำหรอกหรือ” เว่ยหานตะลึงเล็กน้อย
ลั่วเซิงมองเขาอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือว่าอาซิ่วต่างหากที่เป็นแม่ครัวใหญ่ของมีหอสุรา”
เมื่อไรกันที่คนผู้นี้กินอาหารที่นางทำราวกับว่าเป็นเรื่องถูกต้องตามครรลอง?
เว่ยหานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อาหารที่อาซิ่วทำก็อร่อยเช่นกัน”
เพียงแต่อร่อยสู้อาหารที่คุณหนูลั่วทำไม่ได้
ลั่วเซิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
ดังนั้น มือของซิ่วเย่ว์เองก็อยู่ภายใต้การสังเกตของเขาด้วยหรือ
ลั่วเซิงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
เว่ยหานเห็นเช่นนั้นก็ตามไปเงียบๆ
ทิ้งคุณชายสามเซิ่งที่เกาศีรษะด้วยความมึนงงเอาไว้
น้องลั่วกับไคหยางอ๋องเล่นทายปริศนาอะไรกันน่ะ
ไม่สนแล้ว ขอแค่ยังมีคนทำอาหารก็พอแล้ว
คุณชายสามเซิ่งหยิบลูกพลับเดือนหกขึ้นมาลูกหนึ่ง แล้วโบกไปมาให้ซิ่วเย่ว์ “อาซิ่ว ลูกพลับเดือนหกยังพอหรือไม่”
ซิ่วเย่ว์เงียบ แล้วเอ่ยว่า “หากยังกินอีกก็ไม่พอแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
คุณชายสามเซิ่งวางลูกพลับเดือนหกที่สดใหม่และฉ่ำน้ำนี้กลับเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ด้วยความโมโห ทั้งยังเกิดความรู้สึกไม่พอใจต่อใครบางคนที่แอบกินลูกพลับเดือนหกนี้ด้วย
เป็นถึงท่านอ๋อง แอบขโมยกินได้อย่างไร
ลั่วเซิงหยุดเดิน พลางขมวดคิ้วถาม “ท่านอ๋องตามข้ามาทำไมหรือเจ้าคะ”
“องค์รัชทายาทได้มาที่นี่หรือไม่”
ลั่วเซิงตะลึง
เว่ยหานเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของนาง ก็เข้าใจแล้ว
“เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ริมลำธาร องค์รัชทายาทก็อยู่ด้วยเช่นกัน”
เดิมเว่ยหานรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถึงคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใด แต่ก็เป็นกังวลว่า หากคุณหนูลั่วรู้เข้าแล้วจะโมโหจึงเอ่ยขึ้นมาสักหน่อยดีกว่า
ลั่วเซิงมีสีหน้าเคร่งขรึม “องค์รัชทายาทได้ยินบทสนทนาของพวกเราหรือไม่”
เว่ยหานส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ได้ยิน เขาไม่ได้มีหูของสุนัขเสียหน่อย”
หากว่าสามารถได้ยิน เขาคงไม่มีทางที่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นหรอก
ลั่วเซิงโล่งใจแล้วก็เอ่ยด้วยความโมโหที่ยากจะจางหาย “ในเมื่อองค์รัชทายาทมาแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่มีปฏิกิริยาอันใดเล่า”
ยังจะตี๊อจับมือนางไม่ปล่อยอีกหรือ
เว่ยหานเอ่ยอย่างสัตย์ซื่อว่า “หลังจากข้าจับมือของคุณหนูลั่วแล้ว องค์รัชทายาทถึงจะมา”
เขาผู้เป็นอาจับมือเด็กสาวคนหนึ่ง ยังต้องพะวงถึงความคิดของคนเป็นหลานด้วยหรือ
ลั่วเซิงมุมปากกระตุกเล็กน้อย
ความหมายของไคหยางอ๋องก็คือ อย่างไรก็ถูกเห็นไปแล้ว เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ?
เมื่อจัดการอารมณ์ความรู้สึกเรียบร้อยแล้ว ลั่วเซิงก็เตือนเสียงเย็นว่า “หลังจากนี้ท่านอ๋องโปรดสำรวมตัวด้วยเจ้าค่ะ”
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาจับมือนาง
ครั้งแรกยังสามารถกล่าวได้ว่า ร่ำสุราเมามาย ครั้งนี้กลับเป็นการกระทำของคนบ้ากามได้อย่างเดียว
“หากยังมีครั้งหน้าอีก ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจนะเจ้าคะ”
“รู้แล้ว” บุรุษหนุ่มมองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มนวล
ลั่วเซิงเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ ก็ไม่สะดวกจะบีบคั้นผู้คนอีกจึงหมุนตัวเดินกลับไป
เว่ยเชียงกลับไปยังราชนิเวศน์แล้วก็ไม่ได้ตรงไปเยี่ยมเฉาฮวา แต่เข้าไปนั่งเหม่อบนตั่งตัวเล็กในห้องหนังสือแทน
ภาพเหตุการณ์ในสมองเขา ประเดี๋ยวคือท่านหญิงชิงหยาง ประเดี๋ยวคือคุณหนูลั่ว
ก่อกวนเสียจนเขาจิตใจสับสนวุ่นวายและเกิดความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่บอกไม่ถูกขึ้นมา
คล้ายกับเรือลำหนึ่งซึ่งโคลงเคลงอยู่เนิ่นนานตามหาท่าเรือเจอและมีที่ให้หยุดจอดในที่สุด
คุณหนูลั่ว… เว่ยเชียงท่องชื่อนี้เงียบๆ
สักพักใหญ่ เขาถึงได้ลุกขึ้นออกจากห้องหนังสือ ตรงไปยังเรือนของเฉาฮวา
อารมณ์เบิกบานของเฉาฮวาสิ้นสุดลงทันทีที่ได้ยินประโยค “องค์รัชทายาทเสด็จ”
ยังห่างจากช่วงเวลาที่จะสิ้นสุดการล่าสัตว์อีกนาน เหตุใดองค์รัชทายาทจึงกลับมากัน
เฉาฮวาข่มความรู้สึกสงสัย พลางลุกขึ้นต้อนรับ
“ไม่ได้บอกว่าได้รับบาดเจ็บหรอกหรือ เหตุใดยังลุกขึ้นมาอีก” เว่ยเชียงยื่นมือไปกุมมือของเฉาฮวาเอาไว้อย่างเคยชิน เพียงแต่เพิ่งกุมมือได้แวบเดียวก็พลันปล่อยออก
เฉาฮวามีสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับกระตุก
ปฏิกิริยาตอบสนองของบุรุษผู้นี้แปลกไปเล็กน้อย
นางไม่กล้าพูดว่ามีความเข้าใจในตัวคนผู้นี้เท่าใด แต่อย่างไรเสียก็ติดตามเขามาสิบสองปี การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ยังสามารถรู้สึกได้
เหมือนกับเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อนางฉับพลัน
ความจริงแล้วเฉาฮวาไม่ได้ใส่ใจว่าเว่ยเซียงจะมีท่าทีเช่นไร
กำไลกลับคืนสู่มือของท่านหญิงแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า ในกรงนกกรงนี้ นางไม่มีจุดอ่อนอีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าจะได้รับหรือสูญเสียความโปรดปรานอีก
ขอแค่ท่านหญิงไม่มีอันตราย นางจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
แต่ไม่ใส่ใจก็อีกเรื่องหนึ่ง สนใจในสาเหตุการเปลี่ยนแปลงท่าทีของคนผู้นี้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉาฮวาใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงเหมือนดั่งปกติเช่นเคย “เพียงแค่เท้าเคล็ดเล็กน้อยเพคะ ชิงเอ๋อร์ใช้ยานวดคลึงให้หม่อมฉันเรียบร้อยจึงไม่รู้สึกเจ็บแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี”
“เหตุใดพระองค์จึงกลับมาเร็วนักเล่าเพคะ”
เว่ยเชียงยิ้ม “ข้าได้ยินข้ารับใช้รายงานว่า เจ้าได้รับบาดเจ็บที่เท้าจึงกลับมา”
เฉาฮวาก้มหน้า “ส่งผลกระทบต่อการล่าสัตว์ของพระองค์ เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ”
“ยังมีอีกหลายวันที่สามารถล่าสัตว์ได้ ขาดไปครั้งสองครั้งมีอะไรร้ายแรงกัน” เว่ยเชียงนั่งลงอย่างสบายๆ และส่งสัญญาณให้เฉาฮวานั่งลงด้วย
“วันนี้ไปกระโจมคุณหนูลั่วมาหรือ”
“เพคะ ไปเป็นเพื่อนกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงหรือ” เว่ยเชียงอดขมวดคิ้วไม่ได้ โพล่งถามว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคงไม่ได้ทำให้คุณหนูลั่วลำบากใจหรอกนะ?”
เฉาฮวาเหลือบตาขึ้นมองเว่ยเชียงด้วยความประหลาดใจ
ความประหลาดใจในใจนางมีมากกว่าบนใบหน้ามาก
คนผู้นี้เริ่มเป็นห่วงคุณหนูลั่วเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
นางยังจำได้ชัดเจนว่า ตอนแรกที่องค์รัชทายาทเอ่ยว่า คุณหนูลั่วถูกใจกำไลที่นางสวมอยู่กับนาง ก็มีความรู้สึกจนปัญญาและไม่พอใจอย่างยากจะปิดบัง
“ทำไมหรือ” เมื่อเห็นเฉาฮวาไม่พูด เว่ยเชียงก็ถามยิ้มๆ
เฉาฮวารีบส่ายหน้า “ไม่มีอันใดเพคะ เพียงแต่พระองค์ถามขึ้นมากะทันหัน หม่อมฉันจึงตะลึงอยู่บ้าง”
“อ้อ ถามๆ ไปอย่างนั้นเอง”
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่ได้ทำให้คุณหนูลั่วลำบากใจเพคะ มองดูแล้วมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันทีเดียว”
“เช่นนั้นเจ้าเล่า คุณหนูลั่วปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร”
แพขนตาของเฉาฮวาสั่นไหว “องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่เข้าใจความหมายของพระองค์เพคะ”
เว่ยเชียงเริ่มหมดความอดทนในที่สุดจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “อวี้เหนียง เจ้าไม่รู้สึกจริงๆ หรือว่า คุณหนูลั่วเหมือนลั่วเอ๋อร์”
เฉาฮวาหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ยังคงพยายามรักษาความสงบนิ่งบนใบหน้าเอาไว้ “หม่อมฉันจำได้ว่าพระองค์เคยถามคำถามนี้แล้ว แน่นอนว่าไม่เหมือนเพคะ”
[1] ถังข้าว เปรียบถึงบุคคลที่วันๆ ไม่ทำอะไร เหมือนกับถังข้าวที่ทำได้แค่กรอกข้าวลงไป