ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 231 แก้วตาดวงใจ
ตอนที่ 231 แก้วตาดวงใจ
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อได้ยินซิ่วเย่ว์เอ่ยว่า ไม่ได้พบหน้าเฉาฮวา ลั่วเซิงพลันเกิดความรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
เรื่องราวผิดปกติเล็กน้อย
เฉาฮวาจะไม่พบหน้าซิ่วเย่ว์ได้อย่างไร
แม้ว่าจะไม่สบายจริงๆ ก็ไม่มีทางไล่ซิ่วเย่ว์มาแบบนี้
นอกจากเฉาฮวาจะรู้สึกถึงอันตรายอะไรจึงไม่สะดวกพบหน้า
หรือตนเองพบเจออันตรายอะไรจึงไม่สามารถพบหน้าได้
และไม่ว่าจะเป็นอย่างหน้าหรืออย่างหลัง ล้วนไม่ใช่เรื่องดี
การมาล่าสัตว์ที่เป่ยเหอในครั้งนี้ เว่ยเชียงพาเฉาฮวาซึ่งเป็นสตรีมาแค่คนเดียว ไร้การข่มขู่จากพระชายาในองค์รัชทายาทและไม่มีการแย่งชิงความโปรดปรานของสนมคนอื่นๆ เฉาฮวาจะมีเรื่องยุ่งยากอันใดกัน
ลั่วเซิงตรึกตรอง แววตาพลันเย็นชาลง
ในฐานะที่เฉาฮวาเป็นซื่อเชี่ยขององค์รัชทายาทจึงไม่มีคุณสมบัติยืนหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เซียวกุ้ยเฟยก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้เสวี่ยนซื่อตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องลำบากใจ
หากว่ามีปัญหาจริงๆ เช่นนั้นก็มีแต่จะมาจากเว่ยเชียง
ปัญหาที่มาจากเว่ยเชียงนั้นคืออะไร
หลายปีมานี้ องค์รัชทายาทโปรดปรานอวี้เสวี่ยนซื่อมาตลอด เหตุผลนั้นก็ไม่นับว่าเป็นความลับ…
ลั่วเซิงกำมือหลวมๆ มีการคาดเดาหนึ่ง ปัญหานั้นเกิดขึ้นเพราะนางหรือ
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หงโต้วเลิกม่าน เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา
ปลายผมและชายเสื้อของนางล้วนเปียกชื้น สีหน้ามองดูแล้วกลับมีความสุข
“คุณหนู คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะประทับอยู่กับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงด้วย ดูแล้ว พวกเขาล้วนชอบกินไข่อบกระเจี๊ยบมากนะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นฝ่าบาทกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้ตรัสอันใดหรือไม่”
หงโต้วคิดๆ แล้วก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาทชมเชยว่า วิธีการทำลูกพลับเดือนหกประหลาด กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงให้บ่าวนำวาจามาบอกว่า ขอบคุณที่ท่านตั้งใจทำเจ้าค่ะ…”
ลั่วเซิงฟังอย่างถี่ถ้วนแล้วถามอีกว่า “ตอนที่เจ้าไป ฝ่าบาทกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกำลังทำอะไรกันอยู่”
แม้หงโต้วจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดลั่วเซิงต้องถามละเอียดขนาดนี้ แต่กลับตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ชมการร้องรำอยู่เจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงเม้มปากเล็กน้อย
วันฝนตก ชมการร้องรำ ทางฮ่องเต้กับเซียวกุ้ยเฟยดูแล้วเหมือนยามปกติ
“คุณหนู ไข่อบกระเจี๊ยบกินได้ไหมเจ้าคะ” หงโต้วมีสีหน้ารอไม่ไหว
นางเห็นไข่อบกระเจี๊ยบกับนมตุ๋นน้ำตาลแล้วก็รู้สึกว่าน่าอร่อยอย่างยิ่ง คุณหนูบอกว่า อบออกมาแล้วนำไปมอบให้ผู้อื่นก่อน หม้อสุดท้ายรอนางกลับมากินอุ่นๆ
“อาซิ่ว ไข่อบกระเจี๊ยบยังเหลืออีกเท่าใด”
ซิ่วเย่ว์ตอบ “นำไปส่งให้คุณชายญาติผู้พี่สองลูก คุณชายเฉิน คุณหนูรองกับคุณหนูสี่แต่ละคน คนละสองลูก ทางเสี่ยวชีก็ส่งไปสองลูก บวกกับที่ส่งไปให้เซียวกุ้ยเฟยกับอวี้เสวี่ยนซื่อแล้ว อบออกมาสองเตาทั้งหมดสิบสี่ลูกนั้นส่งมอบออกไปหมดแล้ว ยังมีอีกหกลูกที่เพิ่งจะอบเสร็จเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ใส่กล่องอีกสองลูกส่งไปให้ไคหยางอ๋อง นอกจากนี้อีกสองลูกใส่กล่องแล้วมอบให้ข้า”
เดิมไม่ได้คิดจะส่งไปให้ไคหยางอ๋อง แต่การที่ซิ่วเย่ว์ไม่ได้พบหน้าเฉาฮวา ทำให้นางเปลี่ยนความคิด
หากว่าทางเว่ยเชียงเกิดเรื่องอันใดขึ้น บางทีอาจจะสามารถสอบถามอะไรเล็กน้อยได้จากปากไคหยางอ๋อง
หงโต้วนับนิ้ว ยังมีทั้งหมดหกลูก ส่งไปให้ไคหยางอ๋องสองลูก อีกสองลูกใส่กล่อง เช่นนั้นก็เหลือแค่สองลูกแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สาวใช้ก็ปวดใจยิ่ง
คุณหนูต้องการสองลูกนั้นจะต้องมีเรื่องสำคัญแน่นอน ไคหยางอ๋องกินสองลูก…จะสิ้นเปลืองไปหน่อยหรือไม่
เมื่อเห็นสีหน้าของหงโต้ว ลั่วเซิงก็เข้าใจความคิดของสาวใช้จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “รีบนำไปส่งเถอะ สองลูกที่เหลือล้วนให้เจ้า”
หงโต้วได้ยินแล้ว ถึงได้จากไปอย่างดีอกดีใจ
ซิ่วเย่ว์เอ่ยยิ้มๆ “ช่างเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาจริงๆ”
ลั่วเซิงได้ยินแล้ว ในใจก็รู้สึกแย่เล็กน้อย พลางทอดถอนใจ “ติดตามคุณหนูลั่วถึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่ายเช่นนี้”
ส่วนเฉาฮวากับซิ่วเย่ว์ คนหนึ่งมอบชีวิตให้กับผู้เป็นนาย คนหนึ่งทำลายรูปโฉม ใช้ชีวิตในสภาพกระอักกระอ่วน คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี
ซิ่วเย่ว์ไหนเลยจะฟังความหมายของลั่วเซิงไม่ออกจึงอดที่จะเอ่ยไม่ได้ “ท่านหญิง…”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “เอาเถอะ นำไข่อบกระเจี๊ยบที่ใส่กล่องเรียบร้อยมาให้ข้าเถอะ”
ลั่วเซิงรับกล่องอาหารมาแล้วเดินไปข้างนอก
“ท่านหญิง ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ” ในยามปกติ ซิ่วเย่ว์ไม่มีทางถาม แต่สีหน้าเคร่งขรึมของท่านหญิง หลังจากได้ยินว่านางไม่ได้พบกับเฉาฮวา ทำให้นางใจไม่สงบ
ลั่วเซิงมองไปข้างหน้า พลางเอ่ยเรียบๆ “ไปพบท่านพ่อของข้า แม่ทัพใหญ่ลั่ว”
ฝนยังตกอยู่ ทางเดินที่ตกแต่งอย่างสวยงามประดับม่านไข่มุกที่เกิดจากเม็ดฝนเรียงร้อยกัน ไม้ดอกในลานพร่าเลือนจนมองไม่เห็นเค้าเดิมเล็กน้อย
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังขยับเนื้อผัดในจานอย่างเบื่อหน่ายก็ได้ยินข้ารับใช้รายงานว่า คุณหนูสามมาแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบวางตะเกียบ “รีบเชิญเข้ามา!”
ไม่นานนัก ลั่วเซิงก็ถือกล่องอาหารเดินเข้ามา
แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นกล่องอาหารในมือนางก็ตื่นเต้นทันที
เขารู้ว่าเที่ยงวันนี้ เซิงเอ๋อร์ทำของอร่อย
ไม่มีทางที่จะไม่รู้ นอกจากเขา ที่อื่นล้วนส่งไปหมดแล้ว…
เขากำลังครุ่นคิดว่ามีตรงไหนที่ทำไมดี ทำให้บุตรีไม่มีความสุขหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเซิงเอ๋อร์ถึงกับมาส่งด้วยตนเอง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วตื้นตันใจยิ่ง
“เซิงเอ๋อร์เอ๋ย จะส่งอะไรก็ให้คนนำมาส่งให้ก็พอแล้ว ข้างนอกยังฝนตกอยู่นะ”
“ฝนเบาลงมากแล้ว ไม่เปียกหรอกเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงนำกล่องอาหารวางลงบนโต๊ะ พลางถามว่า “ท่านพ่อกินเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”
“ไม่ เพิ่งจะกิน!” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“อ้อ” ลั่วเซิงเปิดกล่องอาหารภายใต้การรอคอยของแม่ทัพใหญ่ลั่ว แล้วนำไข่อบกระเจี๊ยบสองจานวางลงตรงหน้าเขา
แม่ทัพใหญ่ลั่วท่าทางตื่นเต้น แต่สีหน้าเคร่งขรึม “เซิงเอ๋อร์ นี่คืออาหารอะไร ดูแล้วเหมือนลูกพลับเดือนหกที่อบสุกแล้ว”
มักจะรู้สึกว่า รสชาติต้องแปลกแน่ๆ
ทว่าจากข่าวที่เฉินเอ๋อร์ส่งมานั้นไม่ใช่เช่นนี้
ว่ากันว่า ตอนที่สาวใช้ในเรือนเซิงเอ๋อร์นำอาหารไปส่ง เฉินเอ๋อร์กับเจ้าเด็กตัวดำนั่นอยู่ด้วยกัน เพราะลูกพลับเดือนหกในส่วนของเจ้าเด็กตัวดำใหญ่เป็นพิเศษ เด็กสองคนจึงทะเลาะกันขึ้นมา…
“จานนี้เรียกว่าไข่อบกระเจี๊ยบ ท่านพ่อชิมเถอะเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงเปิดฝา อธิบายเรียบๆ
แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นสภาพด้านในลูกพลับเดือนหกหลังจากเปิดออกก็ขยับมือกินมื้อเที่ยง
กินสองสามคำก็หมดแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วพลันเข้าใจอารมณ์ของเด็กสองคนที่วิวาทกันขึ้นมา
“หมดแล้ว…” แม่ทัพใหญ่ลั่วยังระลึกถึงรสชาตินั่นอยู่ เมื่อมองลั่วเซิง ถึงค้นพบว่านางมีสีหน้าอึมครึม ไม่มีความสุข
“เซิงเอ๋อร์เป็นอะไรไป” เมื่อสบายท้องแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยิ่งเป็นห่วงบุตรี
“วันนี้ลูกส่งคนนำไปให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกับอวี้เสวี่ยนซื่อหนึ่งส่วน”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีความสุขล่ะ”
ท่าทางเช่นนี้ของเซิงเอ๋อร์ เมื่อก่อนนั้นเห็นบ่อยมาก
ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ คล้ายจะก่อเรื่องขึ้นมา…
เมื่อนึกถึงเซียวกุ้ยเฟยกับอวี้เสวี่ยนซื่อที่บุตรีเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ตกใจ
หากเป้าหมายในการก่อเรื่องคือเซียวกุ้ยเฟยหรืออวี้เสวี่ยนซื่อ แบบนี้ไม่ไหวนะ
แม่ทัพใหญ่ลั่วตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แค่กๆ ไข่อบกระเจี๊ยบที่เซิงเอ๋อร์นำมาอร่อยจริงๆ…”
คุยเรื่องมีความสุขสักหน่อย ไม่แน่ว่าเซิงเอ๋อร์จะลืมมันไป
“เพราะอวี้เสวี่ยนซื่อ!” ลั่วเซิงเชิดหน้า มีสีหน้าโมโห “ข้าหวังดีส่งของกินไปในนาง นางถึงกับไม่ยอมพบหน้า ไล่คนของข้ากลับมาอย่างรำคาญใจ”
ลั่วเซิงยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห “ท่านว่า นางดูแคลนข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มแห้งๆ “ไม่หรอก”
“นึกว่าตนเองเป็นเสวี่ยนซื่อขององค์รัชทายาทแล้ว จะไม่เห็นใครอยู่ในสายตาก็ได้หรือ คนประเภทนี้ต้องโดนสั่งสอน” เด็กสาวมองท่านพ่อผู้ยิ่งใหญ่และช่างเอาอกเอาใจ “หากลูกใช้แส้เฆี่ยนนางสักรอบ องค์รัชทายาทคงไม่ทำให้ท่านพ่อลำบากใจใช่ไหมเจ้าคะ?”