ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 232 ข่าวร้าย
ตอนที่ 232 ข่าวร้าย
แม่ทัพใหญ่ลั่วเกือบจะกระโดดขึ้นมาแล้ว กระทั่งไข่อบกระเจี๊ยบที่เพิ่งกินลงท้องไปเมื่อครู่ ก็ไม่รู้สึกว่าอร่อยอีกแล้ว
“เซิงเอ๋อร์ เสวี่ยนซื่อขององค์รัชทายาทไม่เหมือนกับอี๋เหนียงในจวนพวกเรานะ” ดวงตาพยัคฆ์ของแม่ทัพใหญ่ลั่วคลอไปด้วยน้ำตา ขณะเอ่ยคำพูดชี้แนะสั่งสอนอย่างจริงใจ
แม้ท่าทีเช่นนี้ของเซิงเอ๋อร์จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนิทสนมอย่างน่าประหลาด แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า บุตรีรู้ความสักหน่อยนั้นดีกว่า
ตบตีคุณหนูจวนเสนาบดีก็ช่างเถอะ แต่ไม่สามารถตบตีสตรีของฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทได้นะ!
“เสวี่ยนซื่อขององค์รัชทายาทก็คืออี๋เหนียงไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงมีสีหน้าไม่เห็นด้วย
ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงความหนักหนาของปัญหาทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกคุ้นเคยยิ่งขึ้น
“แค่กๆๆ” แม่ทัพใหญ่ลั่วถึงกับไอขึ้นมา
ลั่วเซิงยื่นมือออกไปตบหลังมือเขา “ท่านพ่อเป็นอันใดไปเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วไอจนหน้าแดงก่ำ แต่ยังคงไม่ยอมแพ้กับการอบรมสั่งสอนบุตรี “เซิงเอ๋อร์เอ๋ย แม้ว่าเสวี่ยนซื่อขององค์รัชทายาทจะเป็นแค่อนุภรรยา แต่นั่นคืออนุภรรยาขององค์รัชทายาท หากเจ้าไปหาเรื่องนาง ก็เป็นการทำให้องค์รัชทายาทอับอาย ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า อวี้เสวี่ยนซื่อเป็นอนุภรรยาที่องค์รัชทายาทโปรดปราน แม้ว่าจะเป็นแค่เสวี่ยนซื่อทั่วไป องค์รัชทายาทก็ไม่มีทางพอใจ”
ลั่วเซิงกะพริบตา เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “องค์รัชทายาทไม่พอใจแล้วจะทำอันใดท่านพ่อได้ล่ะเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงักไป
เขารู้มาตลอดว่า บุตรีมีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายถึงขนาดนี้
หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็แย่แน่!
“เซิงเอ๋อร์เอ๋ย ตอนนี้แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ได้ทำอะไรกับพ่อ แต่เจ้าลองคิดดูสิว่า หลังจากนี้เล่า”
หลังจากนี้องค์รัชทายาทจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือการคิดบัญชีย้อนหลัง
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “แต่ลูกอ่านหนังสือในเวลาว่างแล้ว ค้นพบว่าองครักษ์จิ่นหลินที่เข้ารับตำแหน่งในอดีตระบุไว้ว่ากองกำลังบัญชาการไม่เคยปรนนิบัติฮ่องเต้เกินสองรัชศก ปกติแล้วเมื่อถึงรัชศกใหม่ก็ล้วนถูกสังหารทิ้งทั้งนั้น”
ปัญหานี้ เขาย่อมเคยคิดมาก่อนแล้ว
พิทักษ์องค์รัชทายาทอะไรนั่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องไม่จริง อำนาจที่แท้จริงที่อยู่ในมือยังคงเป็นงานราชการที่ถูกสั่งให้ไปทำของกองบัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน และตำแหน่งนี้ก็อาศัยความไว้วางใจจากฮ่องเต้
แต่ปัญหาก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ จะไว้วางใจผู้ช่วยคนสนิทของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้อย่างไร
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้เช่นเขา ความหวังเดียวก็คือ หวังให้ฮ่องเต้มีพระชนม์ชีพยาวนาน ทางที่ดีที่สุดคือมีชีวิตยาวนานกว่าเขา
และในระหว่างนี้ เขายังต้องพยายามรักษาความเชื่อใจที่ฮ่องเต้มีต่อเขาเอาไว้ด้วย
“เห็นแบบนี้แล้ว ลูกก็รู้สึกว่า จะล่วงเกินหรือไม่ล่วงเกินล้วนเหมือนกัน”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลืออด ใช้มือใหญ่ราวกับพัดซึ่งทำจากต้นปาล์มขยี้ศีรษะลั่วเซิง “เซิงเอ๋อร์ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสมควรกังวล เรื่องในภายภาคหน้า พ่อจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้พวกเราไม่สามารถทำไหแตกแล้วแตกอีกได้[1] จำได้หรือไม่”
“อ้อ” ลั่วเซิงฝืนรับคำและไม่ได้เอ่ยว่าจำได้หรือไม่ นางยกกล่องอาหารขึ้นมา “ท่านพ่อ ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
รอลั่วเซิงจากไป แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใจ
เขาเข้าใจนิสัยของบุตรีดี เห็นคนคนหนึ่งแล้วขัดตาก็จะใช้โอกาสที่ได้รับมาอย่างคุ้มค่าในการจัดการสักรอบถึงจะคลายโมโห
ไม่ได้ เขาต้องจับตาดูทางอวี้เสวี่ยนซื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เซิงเอ๋อร์ไปก่อเรื่อง
แม่ทัพใหญ่ลั่วเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาอย่างรวดเร็วแล้วสั่งการลงไปเงียบๆ
ในฐานะอนุภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานขององค์รัชทายาท และเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่องค์รัชทายาทพามาร่วมงานล่าสัตว์ การตายของเฉาฮวาจึงไม่สามารถปิดบังได้หมด
เว่ยเชียงยังคงกัดฟันมารายงานเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิหย่งอัน
“คิดไม่ถึงว่าอวี้เสวี่ยนซื่อจะลอบสังหารลูกกลางดึก ระหว่างการหลบเลี่ยงอย่างตื่นตระหนกลูกจึงพลั้งมือทำร้ายนาง…”
จักรพรรดิหย่งอันได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตรัสเรียบๆ ว่า “กลับไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเชียงถวายความเคารพ ค้อมกายถอยออกไป
ฝนนี้ตกๆ หยุดๆ เป็นเวลาหนึ่งวัน ถึงยามค่ำคืนถึงได้หยุด
เช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าสดใสและปลอดโปร่งเย็นสบาย
แต่แม่ทัพใหญ่ลั่วที่ได้รับข่าวคราวจากผู้ใต้บังคับบัญชา อารมณ์ไม่ได้ดีขนาดนั้น
อวี้เสวี่ยนซื่อถึงกับตายแล้ว!
เมื่อวานเซิงเอ๋อร์เพิ่งจะบอกว่า จะไปหาเรื่องอวี้เสวี่ยนซื่อ สุดท้ายวันนี้ก็ได้ยินข่าวการตายของอวี้เสวี่ยนซื่อ หากว่าเขาไม่ได้ส่งคนไปจับตาดู คงนึกว่าบุตรีเป็นคนทำ!
ไม่ได้การ ต้องรีบไปบอกเซิงเอ๋อร์แล้ว
เขาครุ่นคิดถึงบุตรีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราววิ่งแจ้นไปก่อเรื่องที่ตำหนักองค์รัชทายาทแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกว่าไม่สามารถล่าช้าได้
ลั่วเซิงเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ หงโต้วก็วิ่งเข้ามาถ่ายทอดวาจา “คุณหนู ทางแม่ทัพใหญ่มีคนมาเชิญท่านไปหาเจ้าค่ะ”
เพราะเฝ้าคิดกังวลถึงเฉาฮวา ลั่วเซิงจึงนอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน โชคดีที่อายุยังน้อย ใต้ตาจึงไม่มีรอยดำ
เมื่อได้ยินหงโต้วมารายงาน ลั่วเซิงก็เร่งเท้าเดินไปหาแม่ทัพใหญ่ลั่ว รอจนผ่านประตูโค้งจึงค่อยผ่อนฝีเท้า มองดูแล้วสงบนิ่งและใจเย็น
แม่ทัพใหญ่ลั่วในชุดขี่ม้าปราดเปรียวยืนอยู่กลางลาน ดูท่าจะไปเข้าร่วมการล่าสัตว์ในวันนี้
แสงอรุณรุ่งปกคลุมไปทั่วลานเล็กๆ ต้นไม้ใบหญ้ากลางลานผ่านการชะล้างจากน้ำฝนจึงมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น แต่บุปผาที่ผลิบานเมื่อวานนี้กลับแทบจะร่วงหล่น กลายเป็นดินโคลนกลิ่นหอมเกือบหมด
ลั่วเซิงเดินเข้าไป ย่อเข่าเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าท่านพ่อมีเรื่องอันใดถึงเรียกลูกมาแต่เช้าเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกว่า ข่าวนี้ไม่นับว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับบุตรี ดังนั้นจึงไม่ได้กรุยทางอะไร แต่เข้าสู่ประเด็นทันที “เซิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้โกรธอวี้เสวี่ยนซื่อเลย พ่อได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอวี้เสวี่ยนซื่อแล้ว”
“เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงจิตใจหนักอึ้ง น้ำเสียงกลับสงบนิ่งจนน่าตกใจ
“ว่ากันว่าเป็นโรคเฉียบพลัน สิ้นชีพไปเมื่อวาน…”
ลั่วเซิงสมองดังวิ้งๆ สติที่ตึงเครียดตั้งแต่เมื่อวานขาดผึง
“ท่านพ่อ สิ้นชีพหมายความว่าอันใดเจ้าคะ” นางถามเสียงเบา
แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติจึงทอดถอนใจ “เจ้าเด็กโง่งมยังตกใจ ไม่ได้สติอีก สิ้นชีพก็คือคนไม่อยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้อย่าได้คิดจะไปหาเรื่องอวี้เสวี่ยนซื่ออีก…”
แพขนตาลั่วเซิงสั่นไหวแผ่วเบา น้ำเสียงราบเรียบ “ลูกยังตกใจไม่ได้สติเจ้าค่ะ…”
วันก่อนเฉาฮวายังดีๆ อยู่ เมื่อวานก็ไม่ได้เจอหน้า วันนี้มาบอกว่า นางตายไปแล้ว
นางจะรู้สึกตัวได้อย่างไร
สิ้นชีพแล้ว…
คนไม่อยู่แล้ว…
ลั่วเซิงกัดริมฝีปาก จ้องแม่ทัพใหญ่ลั่วเขม็ง “เป็นโรคเฉียบพลันจริงๆ หรือเจ้าคะ วันก่อนอวี้เสวี่ยนซื่อยังมาที่นี่อยู่เลย”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นว่าบุตรีคล้ายจะถูกทำให้ตกใจไปแล้วจึงขยี้เรือนผมนางอย่างเอาใจ “ดังนั้นถึงได้เรียกว่าโรคเฉียบพลันอย่างไรเล่า”
“ข้าไม่เชื่อ” ลั่วเซิงมุมปากเรียบตึง ปลายเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
“เด็กคนนี้นี่” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยเสียงเบาลง “เซิงเอ๋อร์ เจ้าจำเอาไว้ว่า เรื่องในราชวงศ์ ไม่ว่าสถานการณ์ภายในจะเป็นเช่นไร พวกเราทำได้แค่เชื่อข้อมูลที่แจ้งออกมาเท่านั้น”
องค์รัชทายาทตรัสว่านางเป็นโรคเฉียบพลัน เช่นนั้นก็ต้องสิ้นชีพจากโรคเฉียบพลัน แม้ว่าจะมีเงื่อนงำอะไร ขอแค่ฮ่องเต้ไม่ตรัสอันใด ขุนนางจะโวยวายตรวจสอบคดีให้ได้หรือ
แม้ว่าพระชายาในองค์รัชทายาทเองก็เช่นกัน เกรงว่าคงจะปล่อยให้จบแบบที่ไม่มีบทสรุปเช่นกัน นับประสาอะไรกับซื่อเชี่ยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
“เซิงเอ๋อร์ ราชวงศ์นั้นต่างจากปกติ หลังจากนี้ก็เข้าไปยุ่งให้น้อยหน่อย”
ลั่วเซิงหลุบตา พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็กลับไปเตรียมตัวสักหน่อยเถอะ อีกประเดี๋ยวจะออกเดินทางไปล่าสัตว์แล้ว”
“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยอบกายเล็กน้อย เดินออกจากที่พักของแม่ทัพใหญ่ลั่วไปทีละก้าวๆ
เมื่อกลับไปถึงเรือนที่คุ้นเคยในหลายวันมานี้ ลั่วเซิงก็หยุดพิงกำแพงที่ล้อมรอบอันเย็นเยียบ
[1] หมายถึง เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ไม่คิดแก้ไข ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม