ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 233 ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 233 ขอความช่วยเหลือ
ฝนตกทั้งวัน กำแพงจึงเปียกชื้นและเย็นเยือก แต่กลับไม่ได้หนาวเหน็บไปกว่าหัวใจของนางในตอนนี้
ลั่วเซิงถึงขั้นรู้สึกว่า ยังอยู่ในความฝัน
เฉาฮวาตายแล้ว
ครั้งหนึ่ง นางเคยนึกว่า เฉาฮวาตายไปนานแล้ว ตายในโศกนาฏกรรมอันเลวร้ายเมื่อสิบสองปีก่อนเหมือนกับซูเฟิงและเจี้ยงเสวี่ย
แต่ในภายหลังถึงรู้ว่า เฉาฮวายังมีชีวิตอยู่และกลายเป็นซื่อเชี่ย[1]ของเว่ยเชียง
เพื่อระมัดระวังไว้ก่อน นางก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่หัวใจของเฉาฮวาจะเอนเอียงไปทางเว่ยเชียง
ไม่ใช่ว่านางขี้ระแวง แต่การฟื้นคืนจากความตายนั้นไม่ง่าย ในภาคภายหน้า แผนการทุกอย่างนั้นสำคัญ จะประมาทไม่ได้
แต่ทว่า แม้ว่าจะคิดถึงความเป็นไปได้นี้ นางก็ยังรู้สึกโชคดีที่เฉาฮวายังมีชีวิตอยู่
คนมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับนาง แต่ก็ดีกว่าไม่อยู่แล้ว
หลังจากนั้นก็มาถึงเป่ยเหอ บนทุ่งหญ้ากว้างไกลไร้ขอบเขตแห่งนี้ นางกับเฉาฮวาได้รู้จักกันอย่างราบรื่น
แต่นางคิดไม่ถึงว่า เพิ่งรู้จักกันไม่นานก็ต้องลาจากตลอดกาล
ยังมีอะไรที่ทำให้ผู้คนเจ็บปวดปานจะขาดใจเหมือนกันการสูญเสียอีกครั้ง หลังจากได้คืนกลับมาจากการสูญเสีย
ลั่วเซิงพิงกำแพงเย็นเยือกเสียดแทงกระดูก แววตาว่างเปล่า ไร้น้ำตา เพียงแค่มองต้นไม้เก่าแก่กลางลานตอนนั้นอย่างเลื่อนลอย
ใบไม้ของต้นไม้เก่าแก่ร่วงไปกว่าครึ่ง มืดมนและโศกเศร้า
เงาร่างร่าเริงวิ่งเข้ามา
“คุณหนู ทำไมท่านถึงมายืนที่นี่ล่ะเจ้าคะ”
สิ่งที่ปรากฏเข้าสู่ม่านตาลั่วเซิงคือ ดวงหน้าเยาว์วัยและพริ้มเพราของหงโต้ว
ลั่วเซิงขยับลูกตา สีหน้าเหม่อลอย
หงโต้วกะพริบตา เอ่ยด้วยความระมัดระวัง “คุณหนู ท่านร้องไห้หรือเจ้าคะ”
ดวงหน้าคุ้นเคยปรากฏขึ้นในครรลองตา แววตาของลั่วเซิงถึงค่อยๆ กลับคืนสู่ความกระจ่างใส
“อาซิ่ว” นางเอ่ยเรียก
ซิ่วเย่ว์เขยิบเข้าไปใกล้อย่างกระวนกระวาย
ท่าทางของท่านหญิงผิดปกติมาก
ลั่วเซิงยื่นมือออกมา
ซิ่วเย่ว์ยื่นมือออกไปอย่างไม่ลังเลแล้วจับมือข้างนั้นเอาไว้
ความเย็นที่แล่นเข้าสู่มือทำให้หัวใจนางหนักอึ้ง
ส่วนหงโต้วก็มองมือสองข้างของทั้งสองคนจับกันเอาไว้อย่างตะลึงค้าง
เริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่คุณหนูสนิทสนมกับอาซิ่วเช่นนี้
คุณหนูยังไม่เคยจับมือนางแบบนี้เลยนะ
เดิมคิดจะเอ่ยแขวะซิ่วเย่ว์สักสองประโยค แต่บรรยากาศจริงจังที่ไหลวนอยู่รอบกายทำให้สาวใช้ไม่ส่งเสียงอะไรอย่างรู้ความ
“อาซิ่ว“ ลั่วเซิงเรียกอีกครั้ง
“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”
หงโต้วพลันเบิกตากลมโต
อาซิ่วไม่ใช่คนของจวนแม่ทัพใหญ่ ทำไมถึงกล้าเรียกตนเองว่าบ่าวกับคุณหนูได้
นี่ นี่เห็นได้ชัดว่า วางแผนจะเลื่อนตำแหน่งมาตลอด!
สาวใช้จ้องซิ่วเย่ว์ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยการเตรียมป้องกัน
ในสายตาซิ่วเย่ว์กลับมีแค่ท่านหญิง
“วันนี้อยู่ที่นี่ อย่าออกไป”
ซิ่วเย่ว์ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่นางเชื่อฟังวาจาของท่านหญิงโดยไร้เงื่อนไขเสมอ
“จำเอาไว้ล่ะ รอข้ากลับมา” ลั่วเซิงออกแรงจับมือซิ่วเย่ว์แล้วคลายออกทันที พร้อมกับตะโกนเรียก “หงโต้ว”
“เจ้าค่ะ!” หงโต้วรับคำเสียงกังวาน
“ไปล่าสัตว์กับข้า”
หงโต้วปรายตามองซิ่วเย่ว์อย่างลำพองใจแวบหนึ่งแล้วรีบวิ่งเข้าไปหยิบเสื้อคลุมในห้องตัวหนึ่ง “คุณหนู วันนี้อากาศเย็นเล็กน้อย…”
แต่กลับค้นพบว่า ไม่เห็นเงาของลั่วเซิงนานแล้ว
“คุณหนูล่ะ”
ซิ่วเย่ว์จงใจทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของหงโต้ว ขณะเดินเหม่อเข้าไปในห้องครัวเล็ก
หงโต้วเกาศีรษะ เร่งฝีเท้าตามออกไป
วันนี้คุณหนูกับอาซิ่วล้วนแปลกๆ อยู่บ้าง
พักผ่อนไปวันหนึ่ง ทุกคนกลับคืนสู่ความกระตือรือร้นในการล่าสัตว์จึงไปรวมตัวกันในที่หนึ่งนานแล้ว
ลั่วเซิงกำบังเหียนแน่น พลางมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเว่ยเชียง
ก้นบึ้งนัยน์ตานางมีประกายเย็นชา แทบจะกัดริมฝีปากล่างจนโลหิตรินไหลออกมา
เสียงเป่าแตรเขาสัตว์ดังขึ้น ม้าพันธุ์ดีแต่ละตัวห้อตะบึงพุ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดสายตา
ม้าพุทราแดงตัวหนึ่งในบรรดานั้นวิ่งเร็วสุด บนหลังม้ามีเงาร่างเพรียวบางสีดำ
เว่ยหานมองเงาร่างที่ห้อตะบึงไปข้างหน้าสายนั้น เมื่อตบม้าสีขาวใต้ร่าง มันก็ไล่ตามไปราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู
ม้าพันธุ์ดีสองตัวค่อยๆ เข้าใกล้กัน
เว่ยหานรู้สึกว่า ความเร็วของม้าพุทราแดงตัวนั้นเร็วเกินไปเล็กน้อย ทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า เด็กสาวที่อยู่บนหลังม้าจะถูกสะบัดลงมา
ม้าสีขาวตัวใหญ่กลับรู้สึกว่า การวิ่งห้อตะบึงสุดกำลังเช่นนี้น่าพอใจยิ่ง กระทั่งส่งเสียงร้องยาวเป็นกำลังใจให้ม้าพุทราแดงครั้งหนึ่ง
ม้าพุทราแดงวิ่งเร็วกว่าเดิมแล้ว
เว่ยหานฟาดฝ่ามือใส่ม้าสีขาวตัวใหญ่อย่างแรง
ม้าสีขาวตัวใหญ่ยกขาร้องฮี้ นึกว่าได้รับคำชมจากเจ้าของ
ม้าสองตัวที่ไล่ตามกันค่อยๆ ห่างไปจากสายตาเหล่าผู้คน
ม้าสีขาวตัวใหญ่ก็ลดความเร็วตามไปด้วย ใช้ปากใหญ่ดุนศีรษะของสหายอย่างงุนงง
สัญชาตญาณของเว่ยหานบอกว่าวันนี้อารมณ์ของคุณหนูลั่วไม่ดียิ่งจึงตบเตือนม้าสีขาวตัวใหญ่ เป็นสัญญาณบอกมันว่า อย่าก่อเรื่อง
ม้าพุทราแดงหยุดนิ่งในที่สุด
ลั่วเซิงพลิกร่างลงจากม้า ปล่อยบังเหียนแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างไร้เป้าหมาย
พื้นหญ้าเขียวขจีเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าผลิบานที่ไม่รู้ชื่อ ถักทอกันกลายเป็นพรมบุปผาผืนใหญ่ที่มองไม่เห็นปลายทาง ไม่ไกลกันคือธารน้ำไหลกับน้ำตกที่เหมือนแถบผ้าไหมสีขาว
น้ำตกที่ไหลเป็นสายยาวตกกระทบกับหินก้อนยักษ์ นี่คือที่มาของเสียงที่ดังที่สุดในโลกใบเล็กแห่งนี้
ลั่วเซิงเดินไปทางน้ำตกทีละก้าวๆ
หยดน้ำที่กระเซ็นลงบนปลายผมและชายเสื้อของนางนั้นเย็นถึงกระดูก
เสียงเจือความเป็นห่วงของคนที่ยืนอยู่ข้างกายดังขึ้น
“คุณหนูลั่ว เป็นอันใดไปหรือ”
ลั่วเซิงซึ่งจ้องน้ำตกอยู่นานพลันหันหน้ามามองเขา “ท่านอ๋องยังจำได้สินะเจ้าคะ ว่าเคยรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่งกับข้า”
เว่ยหานพยักหน้า “คุณหนูลั่วเคยบอกว่า ในตอนที่เจ้าต้องการ ให้ข้าช่วยเหลือเจ้าภายในขอบเขตความสามารถของข้าเรื่องหนึ่ง”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็โค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณหนูลั่วไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าอยู่เหนือขอบเขตความสามารถของข้าหรือไม่หรอก บอกเงื่อนไขมาก็พอ”
นึกถึงไข่อบกระเจี๊ยบที่ส่งมาเมื่อวาน แววตาของชายหนุ่มก็อ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
เขาส่งลูกพลับเดือนหกตะกร้านั้นไปเพียงเพื่อชดเชยที่กินลูกพลับเดือนหกลูกหนึ่งของคุณหนูลั่วไป คิดไม่ถึงเลยว่า คุณหนูลั่วใช้ลูกพลับเดือนหกทำอาหารใหม่แล้วจะส่งมาให้เขาด้วย
ชายหนุ่มมองเด็กสาว น้ำเสียงอ่อนโยนและแน่วแน่ “ข้ายินดีมากที่จะช่วยคุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงเบนสายตามองไปยังที่ห่างไกล พลางเอ่ยเสียงเบาเสียจนเกือบถูกเสียงน้ำตกกลบทับ “ท่านอ๋องได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่า อวี้เสวี่ยนซื่อ ซื่อเชี่ยขององค์รัชทายาท…สิ้นชีพเพราะโรคเฉียบพลันเมื่อวาน”
นางสูญเสียมากเกินไป ครอบครองน้อยเกินไป การที่ต้องยอมรับความจริงว่า นางสูญเสียคนที่สำคัญมากไปอีกครั้งนั้นยากเกินไปสำหรับนาง
“คุณหนูลั่วต้องการให้ข้าทำสิ่งใด” เว่ยหานมองนาง พลางเอ่ยถาม
“ข้าอยากขอให้ท่านอ๋องช่วยข้าตามหาอวี้เสวี่ยนซื่อให้พบ ไม่ว่าจะเป็นคนของนาง…หรือว่าศพ”
เมื่อได้ยินประโยคที่ว่า อวี้เสวี่ยนซื่อตายเพราะโรคเฉียบพลันจากปากแม่ทัพใหญ่ลั่ว นางจะยอมได้อย่างไร
มีชีวิตอยู่ต้องพบคน ตายก็ต้องพบศพ
ไคหยางอ๋องรู้เรื่องบางอย่างที่นางไม่สามารถเอ่ยกับคนภายนอกได้ สามารถกล่าวได้ว่า ตอนนี้เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่นางสามารถขอร้องได้
และนางก็เคยรับปากว่าจะมอบกระสายยาให้ไคหยางอ๋อง การขอให้เขาทำเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้นานแล้ว
ชาตินี้ สิ่งต่างๆ ที่นางแบกรับนั้นหนักหนาเกินไปจึงไม่อยากจะแบกรับสิ่งอื่นอีก แม้ว่าจะเป็นน้ำใจของมนุษย์ที่มีต่อกัน
เว่ยหานมองนางแล้วเอ่ยแค่คำเดียว “ได้”
“เช่นนั้นข้าจะรอข่าวจากท่านอ๋อง” เมื่อเห็นเขารับปากอย่างรวดเร็วและไม่ถามนู่นนี่นั่น อารมณ์ที่แย่อย่างยิ่งยวดของลั่วเซิงก็ไม่ได้แย่ลงไปมากกว่านี้ นางหมุนตัวเดินไปทางม้าพุทราแดงที่กำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์
ม้าขาวตัวใหญ่กำลังสะบัดหางไล่แมลงแทนม้าพุทราแดง
ลั่วเซิงขัดการแสดงความรักใคร่ซึ่งกันและกันของม้าสองตัวอย่างไร้ความปรานี โดยการพลิกตัว กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า
[1] ซื่อเชี่ย หมายถึงสาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียง แล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุภรรยา