ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 235 อ้อมกอด
ตอนที่ 235 อ้อมกอด
แสงบนม้วนหนังสือวูบผ่านไปอย่างรวดเร็วตามการสั่นไหวของเปลวเทียน
ลั่วเซิงวางม้วนหนังสือแล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
ผ้าโปร่งบางบนหน้าต่างนั้นมีเงาเลือนรางไหววูบ มองเห็นไม่ชัด
นางยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปผลักหน้าต่างให้เปิดออก
สายลมยามค่ำคืนพลันพัดเข้ามา พัดเรือนผมสีดำที่ทิ้งตัวลงของนางกับชายอาภรณ์และกระโปรงจนพลิ้วไหว
นอกหน้าต่างมีชายคนหนึ่งยืนอยู่
เขาเปลี่ยนไปสวมชุดดำทั้งตัว แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด ขับเน้นให้ดวงหน้าขาวเนียนเย็นชาไร้ความรู้สึก
ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง โดยมีหน้าต่างกั้น ชายหนุ่มเอ่ยปาก
“หาเจอแล้ว”
“ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่” ลั่วเซิงเอ่ยจบก็ก้าวเท้าเดินไปยังห้องตะวันออก
เว่ยหานยืนอยู่นอกหน้าต่าง มองพิจารณาภายในห้อง
บนโต๊ะมีเชิงเทียนวางอยู่หนึ่งคู่ ส่องแสงในห้องให้สว่างไสว
ด้านในจัดแต่งเป็นห้องหนังสือที่พบเห็นบ่อยๆ สะอาดเรียบร้อยและสง่างาม มุมหนึ่งมีพิณตัวหนึ่งวางอยู่
คุณหนูลั่วดีดพิณเป็นหรือ
เว่ยหานเกิดความสงสัยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เขาเคยเห็นมือคู่นั้นจับช้อนและเคยเห็นมือคู่นั้นเหนี่ยวสายธนูจึงจินตนาการท่าทางที่มือเปล่าคู่นั้นบรรเลงพิณไม่ออกอยู่บ้าง
แน่นอนว่าเป็นเพราะอยู่ไกลเกินไปจึงมองไม่เห็นฝุ่นบนตัวพิณ
ลั่วเซิงไปที่ห้องตะวันออก ก็เห็นว่าหงโต้วนอนหลับอยู่บนตั่งนอกห้องไปแล้ว
“หงโต้ว“ นางเรียกเสียงเบา
“เจ้านอนต่อเถอะ ข้าจะออกไปทำธุระหน่อย”
“เช่นนั้นบ่าวจะไปเป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ” หงโต้วศีรษะหนักอี้ง เตรียมปีนลงมา
“ไม่ต้อง ไคหยางอ๋องจะไปเป็นเพื่อนข้า” ลั่วเซิงอธิบายจบก็หมุนตัวเดินกลับไปห้องตะวันตก
หงโต้วหลับตาอีกครั้ง ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็พลันลุกขึ้นมานั่ง
ไคหยางอ๋องไปทำธุระเป็นเพื่อนคุณหนูหรือ
สาวใช้ลุกขึ้น ลงจากตั่ง ใส่รองเท้าเหยียบส้น วิ่งไปยังห้องตะวันตก
ห้องตะวันตกว่างเปล่า ไร้เงาคน มีเพียงแค่ม้วนหนังสือที่วางอยู่บนหัวเตียงเงียบๆ
หงโต้วเดินวนอยู่ในห้องหลายรอบแล้วนั่งแหมะลง เริ่มเหม่อลอย
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องระวังแม่ครัว ยังต้องระวังบุรุษผู้มีความคิดลึกซึ้งยากจะคาดเดาจากด้านนอกด้วยหรือ
อยากรักษาตำแหน่งสาวใช้ที่ดีที่สุดเอาไว้นั้นยากเกินไปแล้ว
สำหรับเรื่องที่คุณหนูของตนเองออกไปข้างนอกกับบุรุษในยามวิกาลนั้น…ไม่เป็นอันใด ถึงอย่างไร คุณหนูก็ไม่ได้เสียเปรียบ
หงโต้วกลุ้มใจอยู่พักหนึ่ง ความง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามา นางขยี้ตาแล้วหลับต่อ
การที่คุณหนูไม่พานางไปด้วยย่อมมีเหตุผลที่ไม่พาไป นางไม่ต้องกลุ้มใจให้เสียเปล่าหรอก
ลั่วเซิงตามเว่ยหานออกจากเรือนรับรองมาได้อย่างราบรื่น
เทียบกับเวลากลางวัน ทุ่งหญ้าในยามค่ำคืนทำให้ผู้คนใจสั่นอยู่บ้าง ความมืดที่กว้างไกลไร้ขอบเขตเช่นนี้ก่อตัวเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ยากจะอธิบาย กดทับลงบนจิตใจของคนที่อยู่ในนั้น
ลั่วเซิงไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น
นางมีเพียงความเร่งรีบอยากจะพบเฉาฮวา
เบื้องหน้าคือป่าทึบแห่งหนึ่งซึ่งมีกิ่งก้านใบไม้แผ่ออกในยามค่ำคืน มองจากที่ไกลๆ นั้นคล้ายกับเงาคนที่มีรูปร่างผิดปกติรางๆ
สายลมพัดมา นำพาความเหน็บหนาวมาด้วย
“อยู่ในป่าหรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงเอ่ยปากถาม
เว่ยหานพยักหน้าเล็กน้อย เผยให้เห็นความกังวลในแววตาหลายส่วน
“เช่นนั้นก็พาข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้”
สองคนเดินเคียงไหล่กันเข้าไปในป่าทึบ
เทียบกับลมพัดใบหญ้าไหวด้านนอก ในป่าคล้ายจะเงียบและมืดยิ่งกว่า
เพราะฝนตกในครั้งนี้ ต้นหญ้าในป่าจึงเปียกชุ่มและอ่อนนุ่มเล็กน้อย เมื่อเหยียบอยู่ด้านบน ก็ยิ่งทำให้หัวใจว่างเปล่า ไร้ที่ยึดเหนี่ยว
ลั่วเซิงเหยียบลงไปแล้ว ร่างก็เซเล็กน้อย
มือใหญ่ข้างหนึ่งกุมมือนางเอาไว้แน่น ทำให้นางรักษาร่างกายให้มั่นคงได้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึกแล้วดึงมือกลับ
เว่ยหานกำมือตัวเองแน่น คล้ายกับต้องการคว้าความหนาวเย็นที่ทิ้งไว้กลางฝ่ามือเอาไว้
มือของคุณหนูลั่วเย็นเกินไปแล้ว เย็นเสียจนทำให้เขาไม่อยากปล่อยไป
เมื่อเดินเข้าไปถึงส่วนลึกในป่า เว่ยหานก็หยุดอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง
อาศัยแสงจันทร์ลั่วเซิงเห็นสีของดินโคลนบริเวณนั้นต่างจากที่อื่นๆ ได้อย่างชัดเจน
หัวใจคล้ายถูกมือใหญ่ล่องหนกำเอาไว้ มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เจ็บปวดเสียจนยากจะหายใจ
ดวงหน้านางซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ สีหน้ากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงเท่าใด ขณะยื่นมือค้ำต้นไม้ต้นนั้นเอาไว้ก็ถามชายหนุ่มข้างกายว่า “อวี้เสวี่ยนซื่ออยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ”
เว่ยหานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ใช่”
ลั่วเซิงค่อยๆ นั่งยองๆ แล้วยื่นมือไปขุดดินโคลน
มือใหญ่ข้างนั้นยื่นออกมากดมือนางเอาไว้
ลั่วเซิงมองเขานิ่งๆ
“ข้าทำเอง” เว่ยหานนำจอบออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้
ลั่วเซิงยื่นมือออกไปรับจอบมาแล้วเริ่มขุดดินโดยไม่เอ่ยอันใด
เว่ยหานนำจอบออกมาอีกเล่มหนึ่งแล้วปักลงไปในดิน
เพราะเพิ่งจะฝนตกไปไม่นานและมีการพลิกหน้าดินมาก่อน ดินโคลนจึงร่วนมาก ไม่นานหนักก็แตะถูกบางสิ่งเข้า
ลั่วเซิงหยุดความเคลื่อนไหว เหม่อมองไปตรงนั้น
สิ่งที่ปรากฏออกมาเลือนรางก็คือเสื่อกก
ตอนนี้นางเกือบจะน้ำตาไหลแล้ว
เฉาฮวาของนาง จำยอมติดตามเจ้าคนชั่วมาสิบสองปี สุดท้ายก็มีจุดจบเช่นนี้
เสื่อกกบรรจุศพ กระทั่งโลงศพง่ายๆ ก็ไม่มี
เว่ยเชียง!
นางกัดริมฝีปากจนลิ้มรสคาวเลือด
เว่ยหานไม่ได้หยุดขุดดิน ในไม่ช้าก็เผยให้เห็นศพที่ถูกห่อไว้ในเสื่อ
ลั่วเซิงสูดลมหายใจลึก ยื่นมือออกไปเปิดเสื่อกกออก
เรือนผมยาวยุ่งเหยิง ดวงหน้าที่ชวนให้ผู้คนตกใจกลัว
ลั่วเซิงพลันชักมือกลับมา จ้องดวงหน้านั้นอย่างตื่นตะลึง
ไม่ใช่เฉาฮวา!
ตอนนี้นางปลาบปลื้มดีใจ อดมองไปทางชายหนุ่มข้างกายไม่ได้
เขาจำผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เฉาฮวา!
นี่คือชิงเอ๋อร์ นางกำนัลรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของเฉาฮวา
บางทีแม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็อาจจะเข้าใจผิดเช่นกัน เฉาฮวาของนางยังไม่ตาย
เว่ยหานหลุบตา หยิบจอบขึ้นมาขุดดินต่อ
ไม่นานนัก หลุมดินก็ใหญ่และลึกขึ้น เผยให้เห็นเสื่อกกอีกผืนที่ถูกทับอยู่ข้างล่าง
ศีรษะของศพอีกร่างที่ถูกห่ออยู่ในเสื่อกกปรากฏขึ้นตรงหน้า
ลั่วเซิงกำหมัดแน่น จ้องมือที่ปรากฏออกมานอกเสื่อกก
กำไลประณีตงดงามคุ้นตาบนข้อมือทำให้นางหัวใจแตกสลาย
นั่นคือกำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีของนางซึ่งเป็นคู่กับกำไลที่เฉาฮวาพยายามรักษามันเอาไว้สุดชีวิตตลอดสิบสองปี
นางยื่นมือที่สั่นระริกออกไปเปิดเสื่อกก
นางไม่ใช่ท่านหญิงที่มีบิดามารดาคอยปกป้อง สูงศักดิ์ บริสุทธิ์ และไร้ความกังวลคนนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะยากแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะหลบหนี
มีเพียงแต่ต้องเผชิญหน้า
ดวงหน้าคุ้นเคยปรากฏเข้าสู่ครรลองตา ไม่ได้บิดเบี้ยวดุร้ายเหมือนในจินตนาการ มุมปากถึงขั้นมีรอยยิ้มประดับอยู่
ลั่วเซิงจ้องดวงหน้านั้น ลืมแสดงปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ
เว่ยหานเตือนเสียงเบา “คุณหนูลั่ว สถานที่แห่งนี้ไม่สะดวกรั้งอยู่นาน”
ลั่วเซิงได้สติคืนมา เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าต้องการยืนยันว่านางตายได้อย่างไร”
เว่ยหานชี้ไปบริเวณลำคอของศพนิ่งๆ
ลั่วเซิงมองตามไป ก็เห็นร่องรอยช้ำเขียวชวนให้ผู้คนตกตะลึง
เฉาฮวาถูกบีบคอตาย!
ลั่วเซิงนัยน์ตาหดวูบ เผยให้เห็นโทสะและความเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่อยู่
โทสะและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นมีพลังมหาศาล สองคลื่นอารมณ์แผดเสียงดังก้อง กดนางเอาไว้ใต้นั้นอย่างไร้ความปรานี โดยไม่สนเลยว่าร่างเพรียวบางนั้นจะสามารถแบกรับได้หรือไม่
น้ำตาหยดหนึ่งรินไหลลงมาในที่สุดและกระทบลงบนเสื่อกกเย็นเยียบที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
จากนั้นก็มีหยดที่สอง หยดที่สาม…
ลั่วเซิงคิดอย่างอึ้งๆ ดูเหมือนนางจะร้องไห้เสียแล้ว
ป่าเงียบเชียบมีลมพัดมาระลอกหนึ่ง ใบไม้ร่วงเสียงดังสวบสาบ ล่องลอยก่อนร่วงหล่น
แต่ภายในป่าคล้ายจะเงียบยิ่งกว่าเดิม เงียบเสียจนทำให้เว่ยหานสามารถได้ยินเสียงน้ำตาที่หยดลงมาของเด็กสาว
น้ำตาคล้ายจะไม่ได้ร่วงลงบนดินโคลนเปียกชื้นและเน่าเปื่อย แต่กระทบลงบนหัวใจเขา
คุณหนูลั่วร้องไห้แล้ว
คุณหนูลั่วดูแล้ว…เสียใจมาก
เว่ยหานยื่นมือออกไปรั้งเด็กสาวที่ร่ำไห้เข้ามาในอ้อมแขนเงียบๆ