ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 242 น่าตกใจ
ตอนที่ 242 น่าตกใจ
ตอนเว่ยหานเดินเข้ามา ในใจมีความลิงโลดอยู่หลายส่วน
เขามานี่เพราะแค่จะลองมาดูเท่านั้น ไม่คิดว่าวันนี้หอสุราจะเปิดกิจการแล้ว
เขาเห็นลั่วเซิงนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนชายชราคนหนึ่ง เว่ยหานมองประเมินแล้วเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “หมอเทวดาก็อยู่หรือ”
น้ำเสียงหมอเทวดาหลี่ฟังดูไม่สนใจ “ท่านอ๋องก็มาดื่มสุราหรือ”
เว่ยหานใช้หางตาเหลือบมองเว่ยเซิงแล้วพยักหน้า
หมอเทวดาช่างถามได้ประหลาดนัก ที่นี่เป็นหอสุรา เขาไม่มาดื่มสุราแล้วจะมาทำอะไร
อย่างไรก็คงไม่ได้มาหาคุณหนูลั่วกระมัง
ในห้องโถงใหญ่จุดตะเกียงไว้ ช่วยแต่งเติมอาภรณ์สีเรียบของเด็กสาวให้ส่องประกายส้ม ทำให้สีหน้าที่ดูนิ่งเฉยของนางมีแววอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
แสงไฟอบอุ่น คนก็ดูอบอุ่น ชวนให้คนรู้สึกอยากเข้าใกล้ขึ้นมา
อยู่ๆ เว่ยหานก็เกิดความลังเล
หากว่าในหอสุราไม่มีอาหาร มีเพียงคุณหนูลั่ว ไม่แน่ว่าก็เขาอาจจะมาเช่นกัน
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในภวังค์ ขณะนั่งลงตรงข้ามหมอเทวดาหลี่
หมอเทวดาหลี่เพ่งมองอีกฝ่ายทันที
เจ้าเด็กนี่ช่างมารยาทเป็นเลิศเสียจริง เขาเอ่ยปากเชื้อเชิญแล้วหรือ
หมอเทวดาหลี่ดื่มชาอึกหนึ่ง เอ่ยถามน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “ท่านอ๋องตามหานกหลวงเจอหรือยัง”
เว่ยหานพยักหน้า “หาพบแล้ว เพียงแต่จะต้องดูแลอีกสักเดือนถึงจะได้”
“ท่านอ๋องโชคดีทีเดียว”
เว่ยหานหันไปมองลั่วเซิงทีหนึ่ง อดระบายยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ “ใช่แล้ว ข้าค่อนข้างโชคดีมาตลอด”
หมอเทวดาหลี่ไม่อยากเสวนากับเจ้าหนุ่มผู้นี้
สือเยี่ยนถามอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่าน ท่านรับอะไรดีขอรับ”
“มีอะไรบ้าง”
“บะหมี่พะโล้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็บะหมี่พะโล้สามชามกับสุราหนึ่งกา” เว่ยหานไม่ระวังมารยาทสักนิดแม้มีหมอเทวดาหลี่อยู่ด้วย
มือที่ถือถ้วยชาของหมอเทวดาหลี่ถึงกับสั่น
เจ้าเด็กนี่กินเก่งนักนะ
ช้าก่อน
หมอเทวดาหลี่เหลือบมองด้านหลังเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินไปแล้วพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เสี่ยวเอ้อร์ร้านคนนั้นเป็นองครักษ์ของท่านอ๋องกระมัง”
เว่ยหานพยักหน้า
“เหตุใดถึงมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ร้านอยู่ที่นี่ได้”
เว่ยหานอธิบายให้ฟังหน้าตาเฉยว่า “ข้าส่งเขามาทำงานข้างกายคุณหนูลั่วชั่วคราว เสี่ยวเอ้อร์ร้านเป็นเพียงงานรองเท่านั้น งานหลักคือเลี้ยงห่าน”
“แค่กๆๆ…” หมอเทวดาหลี่ถึงกับสำลักน้ำชา
ที่แท้นกหลวงที่ไคหยางอ๋องต้องการอยู่ในมือนังหนูนี่นี่เอง
“บะหมี่พะโล้มาแล้วขอรับ” สือเยี่ยนถือถาดอาหารมาข้างละถาด ยกเข้ามาอย่างมั่นคง เพียงพริบตาก็เอาอาหารออกมาวางจนเต็มโต๊ะ
หงโต้วที่ตามมาทางด้านหลังทำได้เพียงเอาบะหมี่พะโล้ชามที่สามวางที่โต๊ะข้างๆ
หมอเทวดาหลี่มีเพียงความคิดเดียว ไคหยางอ๋องเป็นจอมตะกละโดยแท้
พอเว่ยหานเริ่มกินบะหมี่ หมอเทวดาหลี่ก็เสริมอีกประโยคในใจว่า ซ้ำยังเป็นจอมตะกละที่ปิดบังความตะกละไว้ด้วยท่วงท่าสง่างามเสียด้วย
ในเวลานั้นที่หน้าประตูมีเสียงคนดังมา
เสนาบดีจ้าวดมกลิ่นหอมเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี “คิดไม่ถึงว่าวันนี้หอสุราจะเปิดด้วย!”
พอเอ่ยทักทายเว่ยหานเสร็จ เสนาบดีจ้าวที่หันมาเห็นหมอเทวดาหลี่ก็ทั้งดีใจทั้งสงสัย “ท่านใช่…”
หมอเทวดาหลี่อยู่ต่อไม่ได้อีก เขาวางถ้วยน้ำชาแล้วลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าเป็นหมอของโรงหมอแห่งหนึ่ง”
นังหนูนี่หลอกเขา
บอกไม่มีใครรู้ว่าหอสุราเปิดร้านวันนี้ ตอนแรกมีไคหยางอ๋องมาก็บอกว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น เวลานี้มีเจ้าหนวดขาวมาอีกแล้ว เขาก็ไม่เหมือนคนอื่นเช่นกันหรือไร
เพิ่งเดินมาถึงหอสุราก็มีอีกคนเดินมาอีกแล้ว
หมอเทวดาหลี่ไม่คิดจะสนทนาด้วย ก้าวยาวๆ เดินออกไป
เสนาบดีเฉียนไม่ทันสังเกตเห็นหมอเทวดาหลี่ ความสนใจทั้งหมดถูกเสนาบดีจ้าวที่นั่งอยู่ในโถงใหญ่ดึงดูดไปหมดแล้ว
สิ่งแรกที่เสนาบดีเฉียนคิดคือหันหลังวิ่งหนี
แต่เขายังไม่ทันได้มีโอกาสทำเช่นนั้น โค่วเอ๋อร์ก็เข้ามาเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ท่านลูกค้า เชิญด้านในเจ้าค่ะ สหายของท่านลูกค้า เสนาบดีจ้าวก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
เสนาบดีจ้าวเงยหน้ามาก็สบตากับเสนาบดีเฉียนที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดี
จังหวะนั้นทั้งสองคิดขึ้นพร้อมกันว่า ใครเป็นสหายของเขากัน!
“หึหึหึ สหายเฉียนไม่ได้บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมาหรือ”
เสนาบดีเฉียนถามกลับ “สหายจ้าวก็ไม่ได้คิดจะมาพรุ่งนี้เหมือนกันหรือ”
“ข้าแค่เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยแล้วบังเอิญเดินมาแถวนี้ ไม่คิดว่าแสงไฟในหอสุราจะสว่างอยู่เสียด้วย” เสนาบดีจ้าวอธิบาย
ที่มาวันนี้ไม่ใช่เพราะอยากหลบที่ต้องเลี้ยงข้าวพรุ่งนี้หรือ!
เสนาบดีเฉียนเดินเข้ามา ข่มความเก้อเขินเอ่ยว่า “ข้าก็เช่นกัน”
บะหมี่พะโล้ของทั้งสองเพิ่งยกมาไม่เท่าไร หลินจี้จิ่วก็พาหลานคนรองหลินซูเดินเข้ามา
เสนาบดีจ้าวหันมองไปด้านนอกแล้วอดถามไม่ได้ว่า “หลินจี้จิ่ว เหตุใดถึงไม่พาหลินเถิงมาด้วยเล่า”
หลินจี้จิ่วที่จิตใจสงบนิ่งมาตลอด บนใบหน้ากลับปรากฏความแปลกประหลาด “ข้านึกว่าหลินเถิงกินที่ศาลาว่าการแล้วน่ะ”
เสนาบดีจ้าวเจ้าคนขี้เหนียวนี่ เอาหลานคนโตเขาไปใช้งานเยี่ยงทาสแล้วยังไม่ยอมดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารอีก นี่ยังมีหน้ามาถามเขาอีกหรือ
คนกินเก่งอย่างหลานคนโตนั่น เขาไม่กล้าพามาหรอก
ถึงอย่างไรคนหนุ่มร่างกายแข็งแรง ไม่ได้กินของอร่อยสักหน่อยคงไม่ถึงกับผอมหรอก
เสนาบดีจ้าวกลับยิ้มเยาะอยู่ในใจ
ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ก็ช่างกล้า เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่าแต่กลับทำใจพาหลานมากินไม่ได้แล้วยังคิดจะให้เขาเลี้ยงข้าวอีก
เสนาบดีจ้าวกินบะหมี่ ไม่สนใจจะพูดคุยต่ออีก
อร่อยเหลือเกิน ไว้พรุ่งนี้จะมาอีก
อาจเพราะได้เก็บเงินส่วนตัวกันมาหนึ่งเดือน ในถุงเงินของเหล่าใต้เท้าจึงตุงขึ้นมาก กลับเป็นน้ำมันในกระเพาะที่เหือดแห้งไป
ลูกค้าเก่าคนหนึ่งตามมาเพราะอยากลองมาดู พอเห็นว่าแสงไฟในหอสุราสว่างอยู่จึงเหมือนได้โชคก้อนใหญ่ เดินเข้ามาด้วยความยินดี
ลูกค้าเก่าอีกคนเดินเข้ามาด้วยความยินดี
ตามด้วยลูกค้าเก่าอีกคนที่เดินเข้ามาด้วยความยินดีเช่นกัน…
ตอนแรกหงโต้วยังมีรอยยิ้มเต็มหน้า มาตอนหลังใบหน้าเริ่มเคร่งขรึมลง
“โค่วเอ๋อร์ ข้าสงสัยว่าน้ำพะโล้ที่เตรียมไว้จะไม่พอเสียแล้ว”
โค่วเอ๋อร์เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเพราะความยุ่งเม้มปากเอ่ยว่า “จะสงสัยเฉยๆ ไม่ได้นะ ต้องมีหลักฐานด้วย”
“แล้วอย่างไร” พอได้ยินคำพูดติดปากของโค่วเอ๋อร์ หงโต้วก็ยิ่งร้อนรน
“เพราะอย่างนั้นข้าก็เลยไปดูที่ห้องครัวมาแล้วน่ะสิ น้ำพะโล้ไม่พอแล้วจริงๆ”
หงโต้ว “…”
นางอยากจะฉีกปากโค่วเอ๋อร์นัก!
ลั่วเฉินได้ยินสองคนพูดคุยกันก็พลันไม่เหลือแรงทำงานอีก เขาวางผ้าขี้ริ้วลงบนโต๊ะแล้วเดินไปทางลานด้านหลัง
ยามปกติเวลาหอสุราเปิดเสี่ยวชีจะไม่อยู่ในโถง แต่ไปทำงานจิปาถะอยู่ทางด้านหลัง
เหนื่อยมาทั้งเย็นแล้วยังอาจจะไม่มีข้าวกินอีก เขาจึงอารมณ์เสียไม่น้อย ออกมาดูเจ้าเด็กตัวดำเช็ดถาดล้างจานสักหน่อย ไม่แน่ว่าอารมณ์อาจจะดีขึ้นก็ได้
ลั่วเฉินเดินเข้าห้องครัวไปด้วยความคิดเช่นนี้ แต่พอเข้าไปเห็นว่าเสี่ยวชีกำลังก้มหน้ากินบะหมี่อยู่
อารมณ์เลยยิ่งแย่กว่าเดิม!
ซิ่วเย่ว์ที่กำลังตักบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วหันมาเห็นลั่วเฉิน
“คุณชายเหตุใดจึงเข้ามานี่หรือเจ้าคะ”
“เข้ามาดูเฉยๆ”
หากไม่มานี่จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเด็กตัวดำมาแอบกินอยู่นี่น่ะ
“คุณชายคงหิวแล้วกระมัง ยังเหลือน้ำพะโล้อีกนิดหน่อย ข้าต้มบะหมี่ให้ท่านชามหนึ่งแล้วกัน”
ลั่วเฉินแค่นเสียงในใจ
อาซิ่วลำเอียง หากเขาไม่เข้ามาที่นี่ นางคงไม่คิดจะทำให้เขากิน
เดิมทีคิดจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ก็จนใจที่ดมกลิ่นหอมมาแล้วตั้งนาน แรงต่อต้านจึงไม่ค่อยมีนัก
เด็กหนุ่มเพียงลังเลเล็กน้อยก็พยักหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ไม่นานบะหมี่พะโล้ชามหนึ่งก็ลงไปอยู่ในท้อง
“ขอบคุณอาซิ่ว ข้าออกไปก่อนล่ะ” ลั่วเฉินเช็ดมุมปากแล้วยกเท้าเดินออกไป
เสี่ยวชีกินเสร็จแล้ว เดิมทีกำลังรอลั่วเฉินอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายเดินออกไปจึงรีบตามไปด้วย
ในลานลมเย็นพัดมา ต้นพลับต้นใหญ่แทบจะทิ้งใบจนหมดต้น เหลือเพียงลูกพลับไม่กี่ลูกที่ห้อยอยู่บนกิ่ง
ลั่วเฉินไม่ได้กลับไปที่โถงร้าน เขายืนอยู่ข้างต้นพลับพลางเงยหน้ามองฟ้า
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ได้อยู่ด้วยกันที่เป่ยเหอ ถึงแม้เสี่ยวชีจะเป็นคนไม่ช่างสังเกต แต่ก็มองออกว่าลั่วเฉินกำลังอารมณ์ไม่ดี
หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจัง ในที่สุดเด็กหนุ่มหน้าดำก็คิดเหตุผลออก “คุณชายลั่ว ท่านกินไม่อิ่มใช่หรือไม่”