ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 243 เหยียบพลาด
ตอนที่ 243 เหยียบพลาด
ลั่วเฉินพินิจมองเสี่ยวชี
หรือว่าคนโง่จะมีโชคของคนโง่ ลั่วเซิงถึงได้มองเจ้าเด็กดำนี่ต่างจากคนอื่น
คนอื่นอาจไม่ได้สังเกต แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าลั่วเซิงให้ความสำคัญกับเสี่ยวชี
เป็นการให้ความสำคัญแบบที่เหมือนเฉยเมยแต่มักคอยสังเกตอยู่เสมอ
อย่างน้อยลั่วเซิงก็ให้ความสนใจกับเสี่ยวชีมากกว่าที่ให้เขามากนัก
ลั่วเฉินยื่นมือไปจับต้นลูกพลับ จมลงสู่ความคิดของตน
เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่เขาต่างหากที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของลั่วเซิง ซ้ำยังหน้าตาน่ามองกว่าเจ้าหน้าดำนี่อีก
“ข้าเดาถูกสินะ!” เสี่ยวชีดูตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
ถึงอย่างไรเขาก็มีช่วงหัวไวเช่นนี้ไม่บ่อย
เด็กหนุ่มหน้าดำหันมองซ้ายขวา เงยหน้ามองลูกพลับที่ไหวเอนอยู่บนกิ่งไม้
ลูกพลับสีแดงฉ่ำ กลมเกลี้ยงทั้งน่ามองและน่ากิน
เสี่ยวชีถูไม้ถูมือ “คุณชายลั่ว ข้าเด็ดลูกพลับให้ท่านกินแล้วกัน”
“ลูกพลับ?” ลั่วเฉินขมวดคิ้ว
เสี่ยวชียื่นมือชี้ “ท่านดูสิบนต้นไม้ยังมีลูกพลับอีกตั้งหลายลูก ลูกพลับที่เหลือมาถึงตอนนี้หวานมากเลยนะ”
ลั่วเฉินเงยหน้ามองตาม ภายใต้แสงจันทร์และแสงไฟที่สาดส่องจึงพอมองเห็นลูกพลับไม่กี่ลูกที่เหลืออยู่ได้
ในค่ำคืนที่แสงจันทร์สลัว ลูกพลับสีแดงดูคล้ายก้อนทับทิมเม็ดใหญ่ ดึงดูดคนให้เด็ดดึง
“สูงเพียงนี้จะเด็ดอย่างไร”
เสี่ยวชีตบหน้าอก “ข้าปีนต้นไม้ได้นะ คุณชายลั่วเคยปีนต้นไม้กระมัง”
ลั่วเฉินเม้มปากไม่พูดอะไร
ปีนต้นไม้ได้นี่เก่งมากหรือ
“คุณชายลั่วท่านรอเดี๋ยวนะ” เสี่ยวชีถูไม้ถูกมือ สองมือเกาะอยู่ที่ต้นแล้วปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วราวกับลิงน้อย
เขาปีนขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปเด็ดผลลูกพลับแล้วโบกให้ลั่วเฉินดู “คุณชายลั่วดูสิ เด็ดได้แล้ว”
ลั่วเฉินเงยหน้ามอง นัยน์ตามีแววอิจฉาจางๆ เอ่อขึ้นมา แต่ปากกลับบอกว่า “เด็ดได้ก็ได้สิ ลูกพลับลูกเล็กเท่านี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่อร่อย”
“ไม่หรอก” เสี่ยวชีกัดลูกพลับไปคำหนึ่งแล้วหรี่ตา “หวานมาก อร่อยมาก”
ลั่วเฉินหน้าตาดำคล้ำ
เสี่ยวชีถึงเพิ่งนึกได้ “บอกว่าจะให้คุณชายลั่วกิน เหตุได้ข้าถึงมากินเองเสียได้”
พอเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็หันมาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มข้างล่างอย่างเก้อเขิน “ในเมื่อกัดไปแล้ว เช่นนั้นข้ากินให้หมดเลยก็แล้วกัน”
ดังนั้นลั่วเฉินจึงมองเด็กหนุ่มหน้าดำนั่งลงบนต้นไม้กินลูกพลับทั้งลูกจนหมด กระทั่งเปลือกก็ไม่ปอก
นี่คงรังแกที่เขาปีนต้นไม้ไม่เป็นสินะ ลั่วเฉินคิดในใจด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เสี่ยวชีกินลูกพลับเสร็จก็เอามือเช็ดเสื้อ คลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณชายลั่วรอก่อนนะ เดี๋ยวข้าเด็ดลูกใหญ่ที่สุดไปให้”
เขามองสำรวจซ้ายขวา ไม่เท่าไรก็หมายตาลูกพลับลูกที่ห้อยอยู่ด้านบนสุดแล้วปีนขึ้นไปอย่างว่องไว
ลั่วเฉินเงยหน้าเล็กน้อย พอเห็นเด็กหนุ่มหน้าดำปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากได้ลูกนั้น ลูกที่อยู่ไม่ไกลจากมือเจ้าลูกนั้นน่ะ ดูน่ากินอยู่นะ”
เสี่ยวชีหันไปโบกมือให้ลั่วเฉิน “คุณชายลั่วท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว ยิ่งลูกพลับลูกที่อยู่สูงจะยิ่งได้รับแสงอาทิตย์มากเลยจะทำให้มันหวานมากขึ้น”
ริมฝีปากบางของลั่วเฉิงเม้มจนเป็นเส้นตรง
บอกว่าเขาไม่รู้อะไรอีกแล้ว
เหตุใดเขาต้องรู้ด้วยว่าลูกพลับลูกไหนหวาน
“เจ้ารีบลงมาเถิด ข้าไม่อยากกินแล้ว” ลั่วเฉินเอ่ยเสียงเรียบ
ปีนขึ้นมาสูงเพียงนี้เพื่อเด็ดลูกพลับลูกเดียว ช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย
เสี่ยวชียังคิดว่าลั่วเฉินรอนานจนรำคาญเลยยิ่งเร่งความเร็วปีนขึ้นไปใหญ่ ระหว่างนั้นยังหันมาบอกว่า “คุณชายลั่วท่านรออีกเดี๋ยว เดี๋ยวก็ไปถึงแล้ว…”
ลั่วเฉินเงยหน้ามองเสี่ยวชีอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ากิ่งที่เสี่ยวชีเกาะอยู่ดูสั่นไหวไม่หยุด
ชั่วขณะนั้นเขาตะโกนออกไปอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ว่า “ระวัง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง กิ่งไม้ก็หัก เท้าเสี่ยวชีเลยลื่นตกลงมา
ลั่วเฉินแทบจะก้าวเข้าไปพร้อมยื่นมือไปรับตัวอีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ
เสี่ยวชีตกลงมากระแทกลั่วเฉินอย่างแรง
เสียงร้องดังก้องไปหมด
ชายร่างกำยำที่ผ่าฟืนอยู่รีบวางขวานแล้ววิ่งมาทันที
ชายมีหนวดที่ล้างจานอยู่ในครัวก็รีบวิ่งตามออกมา ตามมาด้วยซิ่วเย่ว์
ในห้องโถงใหญ่มีลูกค้ามาก เสียงจึงค่อนข้างดัง
ลั่วเซิงนั่งอยู่ข้างตู้คิดเงิน ได้ยินเสียงดังจากทางลานด้านหลังแว่วๆ ไม่รู้เหตุใดใจพลันกระตุก ลุกขึ้นเดินไปด้านหลัง
เว่ยหานที่ถือจอกสุราอยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงร้องลั่นดังมาจากลานด้านหลังของหอสุรา หากฟังไม่ผิดน่าจะเป็นเสียงของคุณชายลั่วกับเสี่ยวชี
เว่ยหานวางจอกสุราลงบนโต๊ะแล้วตามลั่วเซิงไป
เสนาบดีจ้าวดื่มจนเมาเล็กน้อย เขาหันไปถามสือเยี่ยนที่กำลังจะตามไปอีกคนว่า “ท่านอ๋องไปไหนหรือ เหตุใดถึงไปทางนั้นเล่า”
“ท่านอ๋องไปล้างมือน่ะขอรับ” สือเยี่ยนหาเหตุมาอ้างไปเรื่อยเปื่อยแล้วรีบเร่งฝีเท้าตามไป
ในลานวุ่นวายกันไปหมด
มีลั่วเฉินที่เป็นเบาะมนุษย์รองอยู่ด้านล่าง เสี่ยวชีจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน เพียงแต่ยังไม่หายตกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงงุนงงทำอะไรไม่ถูก
ชายมีหนวดรีบดึงตัวเสี่ยวชีขึ้นมา ปากก็พูดไม่หยุดว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว…”
หากเสี่ยวชีทับคุณชายลั่วจนตายเข้า พวกเขาจะไม่หัวหลุดจากบ่ากันหมดหรือ
“คุณชายลั่ว คุณชายลั่ว…” มีหลายคนกรูกันเข้ามาพลางร้องเรียก
ลั่วเฉินนอนหลับตาแน่นอยู่กับพื้น หน้าตาขาวซีด สีหน้าดูเจ็บปวด ท่าทางไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เสียงของลั่วเซิงดังขึ้น
ซิ่วเย่ว์รู้สาเหตุในทันที รีบบอกว่า “เสี่ยวชีตกจากต้นไม้ลงมาทับคุณชายลั่วเจ้าค่ะ…”
ชายกำยำเอามือตบหน้าตนเองทีหนึ่ง “ข้าผิดเอง! ตอนเสี่ยวชีปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บลูกพลับข้าเห็นแล้ว ข้าคิดว่าเด็กเล่นสนุกสักหน่อยก็เป็นเรื่องดีจึงไม่ได้ห้ามปราม ไม่คิดว่าเสี่ยวชีจะก้าวพลาดตกลงมาได้ คุณชายลั่วยื่นมือจะไปรับ ก็เลย…”
ลั่วเซิงหูฟังอีกฝ่ายอธิบายไปพลางก้มหน้าดูอาการลั่วเฉินไปพลาง
“ลั่วเฉิน” นางตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง
เด็กหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
“เถ้าแก่ เดี๋ยวข้าอุ้มคุณชายลั่วเข้าห้องก่อนก็แล้วกัน” ชายมีหนวดบอกอย่างรู้สึกผิด
นี่มันเรื่องอะไรกันหนอ เสี่ยวชีปีนต้นลูกพลับตกลงมา คุณชายลั่วที่จะเข้าไปรับถูกเขากระแทกจนไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย…
เสี่ยวชีเจ้าเด็กบ้านี่ เดี๋ยวเถอะกลับไปจะฟาดให้หนักๆ เลย
มีเสียงหนึ่งดังลอยมา “อย่าเพิ่งขยับไปไหน”
เว่ยหานก้าวยาวๆ เข้ามา ย่อตัวลงสำรวจตามร่างกายของลั่วเฉินพลางเอ่ยกับลั่วเซิงว่า “ซี่โครงไม่หัก ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่คงต้องไปตรวจสอบอีกที…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้สายตาเขาก็หดลงทันที รีบยื่นมือไปถกชายเสื้อลั่วเฉินขึ้น
ลั่วเฉินวันนี้สวมชุดสีขาวนวล รอยเลือดตรงชายเสื้อจึงมองเห็นได้ชัดเจน
เว่ยหานรีบวิเคราะห์ทันที “น่าจะถูกอะไรคมๆ บาดเข้า”
“แผลอยู่ที่ใด” ลั่วเซิงดูแล้วยังถือว่าสงบนิ่ง
ไม่ใช่ว่านางไม่เป็นห่วง เพียงแต่หลังจากประสบพบเจอเรื่องราวมามากมาย อารมณ์เป็นห่วงหรือร้อนรนเหล่านี้ นางสามารถเก็บซ่อนไว้ได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่นางลืมตาตื่นมาเป็นคุณหนูลั่ว นางก็มีความเกี่ยวพันกับลั่วเฉินแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่นางตกน้ำแล้วลั่วเฉินเป็นฝ่ายกระโดดลงน้ำไปช่วยนาง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่อาจมองเด็กหนุ่มที่ดูแปลกแต่จิตใจดีคนนี้เป็นคนแปลกหน้าได้
นางไม่อยากเห็นเด็กหนุ่มเป็นอะไร
ดูจากตำแหน่งรอยเลือดตรงชายเสื้อแล้ว แผลจะอยู่ที่เอวหรือแขนล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
หากเป็นแผลที่เอวจริงๆ เช่นนั้นก็คงพูดยาก
“ข้าจะอุ้มเขาเข้าไปในห้องก่อน คุณหนูลั่วให้คนไปเชิญหมอจากโรงหมอฝั่งตรงข้ามมาที”
ฝั่งตรงข้ามก็คือโรงหมอแห่งหนึ่งที่หมอเทวดาหลี่เป็นเจ้าของ เมื่อคิดถึงความยากในการเชิญตัวหมอเทวดาหลี่แล้ว เว่ยหานจึงคิดว่าให้ลั่วเซิงเป็นคนออกหน้าดูจะได้ผลมากกว่า
“ลำบากท่านอ๋องแล้ว” ลั่วเซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย