ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 246 จริงเท็จ
ตอนที่ 246 จริงเท็จ
คนสุขุมเช่นลั่วเซิงเวลานี้ยังถึงกับหน้าถอดสี “อะไรนะ”
ซิ่วเย่ว์บอกเล่าคำพูดที่เสี่ยวชีเอ่ยกับนางให้ฟังอีกครั้ง ก่อนจะลังเลเอ่ยว่า “คุณหนู นี่จะบังเอิญเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
ลั่วเซิงหลับตา ระลอกคลื่นในดวงตากลับคืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง “ใช่ บังเอิญเกินไปจริงๆ”
ถึงจะบอกว่าหากไม่มีความบังเอิญคงไม่กลายเป็นเรื่องราว แต่นั่นก็ต้องแล้วแต่สถานการณ์ด้วย
หากลั่วเฉินกับเจิ้นหนานอ๋องไม่มีความเกี่ยวพันกันเลยสักนิด ย่อมสามารถถือเป็นเรื่องบังเอิญที่แค่ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไปได้
แต่กระนั้นบิดาของลั่วเฉินดันเป็นแม่ทัพใหญ่ลั่วและแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เป็นผู้นำในการนำคนไปล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋องเมื่อสิบสองปีก่อน
เรื่องนี้…จะมีเงื่อนงำใดอยู่หรือไม่
ในใจลั่วเซิงเกิดระลอกคลื่นซัดโหม แทบอยากจะพุ่งตัวไปถามเรื่องราวที่แท้จริงต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ลั่วเสียตอนนี้ให้ได้
แต่ก่อนหน้านั้น นางยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ
ลั่วเซิงก้าวยาวๆ ไปทางห้องตะวันตก
ภายในห้องตะวันตก คุณชายสามเซิ่งกำลังใส่กางเกงให้ลั่วเฉินอยู่แล้วอยู่ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิด
คุณชายสามเซิ่งตะลึงค้าง “น้องลั่ว เจ้าเข้ามาทำไมหรือ”
ลั่วเฉินรีบดึงกางเกงขึ้นมาปกปิดร่างกาย สีหน้าเขียวแดงผสมปนเปกันไปหมด
“ท่านพี่ ท่านช่วยออกไปก่อนนะ ข้ามีบางอย่างจะพูดกับลั่วเฉิน”
“รอให้ข้าใส่กางเกงให้น้องชายเสร็จแล้วค่อยพูดกันไม่ได้หรือ” เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของเด็กหนุ่ม คุณชายสามเซิ่งรู้สึกทนไม่ได้
น้องลั่วทำเช่นนี้จะดีหรือ…
“อาซิ่วบอกว่าอบขนมเปี๊ยะพันชั้นไส้เนื้อเอาไว้”
คุณชายสามเซิ่งกระแอมทีหนึ่ง “เช่นนั้นข้าออกไปก่อน”
พอหันไปส่งสายตาอยากช่วยแต่ไม่อาจทำได้ให้ลั่วเฉินเสร็จ คุณชายสามเซิ่งก็เดินตัวปลิวออกไปทันที
ลั่วเฉินทั้งอายทั้งโมโห ถามเสียงเย็นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
เขาล่ะอยากรู้นักว่ามีเรื่องใหญ่อะไรที่ทำให้ลั่วเซิงต้องบุกเข้ามาในเวลานี้
ลั่วเซิงน้ำเสียงสงบนิ่ง “ได้ยินเสี่ยวชีบอกว่าที่ก้นเจ้ามีรอยแผลเป็นอยู่รอยหนึ่ง”
ลั่วเฉินกำหมัดแน่น
ไอ้เจ้าเด็กดำนี่ ข้าจะทุบเจ้าให้ตาย!
“ท่านมาเพื่อถามเรื่องนี้หรือ” เด็กหนุ่มตัวเกร็งไปทั้งตัว อยากไล่ตะเพิดอีกฝ่ายออกไปแทบทนไม่ไหว
ลั่วเซิงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ถามอย่างมีเหตุมีผลว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
ลั่วเฉินโกรธจนไม่พูดอะไรไปพักใหญ่
ฟังเข้านี่ใช่ภาษาคนหรือ เหตุใดเขาถึงมีพี่สาวเช่นนี้!
ขณะที่กำลังโมโห อยู่ๆ เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น
ลั่วเฉินอึ้งไป หันไปมองลั่วเซิง
เด็กสาวหลุบสายตา ท่าทางดูเสียใจเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่พี่สาวที่ดีเลยจริงๆ กระทั่งน้องชายเคยบาดเจ็บก็ยังไม่รู้…”
ลั่วเฉินนิ่งไปโดยพลัน ในใจมีความรู้สึกประหลาดเอ่อล้นขึ้นมาหลายส่วน
นี่ลั่วเซิงกำลัง…เป็นห่วงเขาหรือ
เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ไฟโทสะของเด็กหนุ่มที่ลุกโชนขึ้นมาค่อยๆ จางหาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “ท่านเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ทำไมกัน เคยได้ยินท่านพ่อบอกว่าข้าเคยได้แผลตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ ท่านโตกว่าข้าเพียงสองปี จะไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก”
ลั่วเซิงกะพริบตา “แต่ข้าก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี”
“ท่านอย่าทำตัวประหลาดเช่นนี้…” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเพื่อกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วน ตกใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายขอบตาแดง
เด็กหนุ่มตกใจระคนยินดีขึ้นมาหลายส่วน ตีหน้าดุเอ่ยว่า “ข้ายังจำไม่ได้แล้วเลย มีอะไรน่าเสียใจกัน”
ลั่วเซิงเม้มปาก “ข้าอยากเห็นรอยแผลเป็นนั่นหน่อย”
“ไม่ได้!” ลั่วเฉินโพล่งออกไปทันที เมื่อเห็นขอบตาแดงๆ ของลั่วเซิง เขาก็เงียบไปเพราะความลังเล
ให้ดู ไม่ให้ดู ให้ดู ไม่ให้ดู…
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทำหน้าตึงเอ่ยว่า “ให้ดูแวบเดียวนะ!”
ลั่วเซิงยกริมฝีปาก “ตกลง”
นางยังคิดว่าสุดท้ายต้องใช้ไม้แข็ง คิดไม่ถึงว่าจะตอบตกลงง่ายๆ เช่นนี้
ลั่วเฉินไม่มองนางอีก
โอกาสดีไม่อาจพลาดได้ แน่นอนว่าลั่วเซิงไม่มีอะไรให้ต้องลังเล ดึงผ้าห่มขึ้นทันที
พอรู้สึกถึงลมเย็นวาบ ลั่วเฉินก็อดหูแดงไม่ได้ เขารออยู่พักหนึ่งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีก “ท่านรีบออกไปเลยแล้วให้ญาติผู้พี่เข้ามาช่วยเปลี่ยนชุดให้ข้า ข้าอยากกลับจวนไปพักผ่อนแล้ว”
อย่างน้อยวันนี้ เขาก็ไม่อยากเห็นหน้าลั่วเซิงอีก
ลั่วเซิงเดินออกไปอย่างสงบนิ่ง
“คุณหนู…” ซิ่วเย่ว์อ่านสีหน้าลั่วเซิงไม่ออกสักนิด นางทำท่าจะเอ่ยบางอย่างแต่นิ่งไป
ลั่วเซิงมองเปลวเทียนที่สั่นไหวขณะเอ่ยเสียงเบาว่า “ตำแหน่งเดียวกันจริงๆ ขนาดก็พอๆ กัน”
ซิ่วเย่ว์ดูตกใจ “นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเรื่องอะไร” ลั่วเซิงพึมพำ
บนตัวเสี่ยวชีมีจั๊กจั่นหยกของซิ่วเย่ว์อยู่ ตรงก้นในตำแหน่งที่เดิมควรมีปานนั้นมีรอยแผลเป็น
ลั่วเฉินเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ตรงก้นในตำแหน่งปานก็มีรอยแผลเป็นเช่นเดียวกัน
เช่นนั้นพวกเขาสองคน ใครกันแน่ที่เป็นเป่าเอ๋อร์น้องชายของนาง
ลั่วเซิงในเวลานี้มึนงงเล็กน้อย
หากดูที่รูปลักษณ์ นางอาจจะเอนเอียงไปทางลั่วเฉินว่าคือเป่าเอ๋อร์ของนาง แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสืบสายเลือดและความแค้นยิ่งใหญ่ของจวนเจิ้นหนานอ๋อง จะตัดสินใจผิดไม่ได้
นางต้องไปพบแม่ทัพใหญ่ลั่ว!
“อาซิ่ว ห่อขนมเปี๊ยะพันชั้นไส้เนื้อให้ข้าที”
“ท่าน…จะไปพบแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือ” ซิ่วเย่ว์ถามด้วยท่าทีลังเล
ถึงแม้นางจะไม่ฉลาดเท่าพวกเฉาฮวา แต่ก็ไม่ทึ่มทื่อถึงขั้นรับรู้ไม่ได้ถึงความผิดปกติในเรื่องนี้
ลั่วเซิงพยักหน้า
ซิ่วเย่ว์กลับเป็นกังวล “ถึงอย่างไรแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน หากเกิดสงสัยขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
ลั่วเซิงคลี่ยิ้ม “ข้าจะระวัง ไปเจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เวลานี้นางมีเพียงความบุ่มบ่ามที่อยากไปเจอแม่ทัพใหญ่ลั่ว ส่วนที่ว่าเจอแล้วจะพูดกับเขาอย่างไรนั้นนางยังไม่ได้คิด
ยามนี้แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังนั่งฟังบุตรบุญธรรมอวิ๋นต้งเอ่ยรายงานอยู่ในห้องหนังสือ
“พ่อบุญธรรม เรื่องก่อนหน้านี้ที่ท่านมอบหมายให้มีความคืบหน้าแล้ว”
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังถือขวานไม้ท้อความยาวไม่ถึงสามชุ่นเล่นอยู่ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ว่ามา”
เขาอยากรู้นัก คนที่กล้ามาไล่สังหารบุตรสาวเขาเป็นเทพเซียนมาจากไหนกันแน่
“ลูกตามสืบไปจนเจอกลุ่มลึกลับแห่งหนึ่งที่ตั้งขึ้นเพื่อทำภารกิจที่บอกใครไม่ได้เพื่อแลกเงินโดยเฉพาะ ที่ห้อยอยู่กับขวานไม้ท้ออันนี้ก็คือของสำคัญของคนกลางกลุ่มพวกเขา…”
“กลุ่มนี้มีคนอยู่มากน้อยเพียงใด ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
อวิ๋นต้งส่ายหน้า “คนในกลุ่มนี้ระวังตัวกันมาก เรื่องนี้ลูกยังสืบไม่พบ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำขวานไม้ท้อในมือแน่น เอ่ยเสียงดุว่า “เทียบกับเรื่องนี้แล้ว ข้าอยากรู้มากกว่าว่าคนที่ว่าจ้างให้กลุ่มนี้ทำงานเป็นใคร”
อวิ๋นต้งก้มหน้างุด “ลูกไร้ความสามารถ”
“สืบต่อไป!”
“ขอรับ”
อวิ๋นต้งถอยออกจากห้องหนังสือแล้วเห็นว่าผิงลี่ยืนรออยู่ข้างนอก
“พี่ใหญ่” อวิ๋นต้งเอ่ยทักทายเรียบๆ
ผิงลี่คลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าน้องห้าจะอยู่ด้วย”
“ข้ามารายงานเรื่องบางอย่างต่อพ่อบุญธรรมน่ะ”
“อ้อ ข้าก็มีเรื่องจะรายงานพ่อบุญธรรมเช่นกัน” ผิงลี่พูดพลางเคาะประตู เปล่งเสียงดังขึ้น “พ่อบุญธรรม ลูกมีเรื่องจะรายงาน”
ภายในห้องมีเสียงราบเรียบดังขึ้น “เข้ามา”
ผิงลี่พยักหน้าให้อวิ๋นต้งแล้วยกเท้าเดินเข้าไป
“เรื่องอะไร”
ผิงลี่ประสานหมัด “เรียนพ่อบุญธรรม ลูกน้องที่คอยคุ้มครองหอสุราส่งข่าวมาว่าคุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บขอรับ”
ตาแม่ทัพใหญ่ลั่วพลันหดเกร็ง รีบถามว่า “บาดเจ็บได้อย่างไร อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“ด้วยคำสั่งของท่าน พวกเขาจึงไม่กล้าไปดูที่เรือนหลังหอสุรา แต่ดูจากปฏิกิริยาของคุณชายญาติผู้พี่แล้ว น่าจะไม่เป็นอะไรมาก”
ระหว่างที่ตอบผิงลี่ก็รำพึงรำพันในใจไปด้วยว่า พ่อบุญธรรมช่างรักใคร่คุณหนูสามถึงกระดูกจริงๆ เป็นกังวลว่าจะมีคนไปก่อความวุ่นวายที่หอสุราเลยส่งองครักษ์จิ่นหลินไปลอบคุ้มครองอยู่เงียบๆ แต่ก็กลัวว่าคุณหนูสามรู้เข้าจะไม่พอใจจึงไม่อนุญาตให้คนเหล่านั้นเข้าใกล้จนเกินไปนัก
แม่ทัพใหญ่ลั่วนั่งลงอีกครั้ง โบกมือบอกว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
ผิงลี่ถอยออกไปเงียบๆ
แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นแล้วนั่งลงอีกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวออกมา
ช่างเถิด รอให้เซิงเอ๋อร์กลับจวนมาแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน